พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 199 เรื่องจริง
แม้ชุนหลานจะเอ่ยพึมพำ แต่ท่านชายสิบเจ็ดที่เหม่อลอยอยู่กลับได้ยินอย่างชัดเจน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ มีคนผู้นี้ด้วยหรือ” เขาถามอย่างตกใจ “แล้วยังเป็นพี่น้องตระกูลเจ้าอีกหรือ”
ชุนหลานได้สติ จึงรีบถอยหลังไปก้มหน้าไม่กล้าตอบ
“บ่าวดูผิดไปเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงอ้อมแอ้ม
ท่านชายสิบเจ็ดถ่มน้ำลาย ก่อนจะใช้พัดเคาะหัวชุนหลาน
“เห็นข้าโง่หรือไร! รีบบอกข้ามาว่าเป็นนางคือผู้ใด! ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ท่านอาหญิงขายเจ้าเสีย!” เขาเอ่ยเสียงเหี้ยม
ชุนหลานทั้งร้อนรนทั้งน้อยใจทั้งหวาดกลัวในขณะเดียวกัน
ฮูหยินใหญ่เฉิงตามใจหลานชายฝั่งแม่ผู้นี้มาตลอด หลานชายผู้นี้เกเรระรานผู้อื่นไปทั่ว หากเป็นเรื่องขึ้นมา แม้ตนจะไม่ถูกขาย แต่ด้วยนิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่ชอบเอาคืนของท่านชายผู้นี้แล้ว ก็อย่าหวังว่าตนจะได้อยู่ข้างกายท่านชายสี่อีกต่อไปเลย
สาวใช้น้ำตาแทบไหล
“บ่าวจำไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ แค่รู้สึกว่าเหมือนกับแม่นางใหญ่ของบ้านนายรองก็เท่านั้น” นางเอ่ยสะอื้น
“โกหก พี่น้องบ้านนายรอง ข้าล้วนเคยเจอแล้วทั้งนั้น มีหญิงงามเช่นนี้ที่ไหนกัน” ท่านชายสิบเจ็ดเอ่ย แล้วเดินเข้าไปด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดอีกครั้ง เขายื่นมือขึ้นมาจับคอเสื้อของตน ก่อนจะกลอกตามองดูสาวใช้พลางหัวเราะ “หากเจ้ายังไม่บอกอีก ข้าจะบอกท่านอาหญิงว่าเจ้ายั่วยวนข้า!”
ชุนหลานตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ทั้งยังเห็นว่าท่านชายสิบเจ็ดยื่นมือออกมากระชากคอเสื้อของนางจนหัวไหล่แทบเปิดออก นางจึงกรีดร้องออกมาแล้วทรุดตัวลง
แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าสาวใช้มักถูกข่มขู่ว่าหากไม่ทำตามสั่ง จะจัดการพวกนางเช่นนั้นเช่นนี้ก็ว่ากันไป แต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่ถูกข่มขู่ว่าหากไม่ทำ จะฟ้องว่าพวกนางทำอะไรผู้อื่น
แม้ผู้ถูกกระทำจะแตกต่างกัน แต่สำหรับสาวใช้แล้วผลลัพธ์เหมือนกัน บางครั้งอย่างหลังยังน่ากลัวกว่าเสียอีก
“แม่นางใหญ่ของบ้านนายรองเจ้าค่ะ เพราะนางสติไม่สมประกอบ จึงเลี้ยงไว้นอกบ้านตั้งแต่เล็ก เพิ่งจะกลับมาปีที่แล้ว ตอนนี้คนบ้านท่านยายของนางก็รับไปอีก ท่านชายสิบเจ็ดย่อมไม่เคยพบเจ้าค่ะ” นางร่ำไห้
ท่านชายสิบเจ็ดร้อง ‘เอ๊ะ’
เรื่องที่บ้านรองตระกูลเฉิงเลี้ยงเด็กบ้าเอาไว้นั้นเขาก็เคยได้ยินคนในบ้านพูดทีเล่นทีจริงอยู่บ้าง
“เด็กบ้าคนนั้นหรือ” เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจึงหันไปมองภาพวาดอีกครั้ง
หญิงงามในภาพมองดูเขาอย่างนิ่งเฉย เหมือนดั่งภาพลวงตา
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ท่านชายเฉิงสี่ก้าวเข้ามาเห็นชุนหลานคุกเข่าอยู่กับพื้น พร้อมกับท่านชายสิบเจ็ดยืนอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วขึ้นมา
“ชายสิบเจ็ดมาแล้วหรือ นั่งเร็ว” เขาปกปิดความไม่พอใจแล้วเอ่ยขึ้น
ท่านชายสิบเจ็ดเห็นเขาสายตาล่อกแล่ก จึงยื่นมือเขาไปใกล้
“พี่สี่ คนบ้าลูกท่านอารองที่ท่านวาดไม่เหมือนตัวจริงเลยสักนิด” เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่เหมือนตรงไหน นางก็หน้าตาเช่นนี้นั้นแหละ” ท่านชายเฉิงสี่โพล่งออกมา
ยามเมื่อเขาพูดออกมา ก็เห็นสีหน้าของท่านชายสิบเจ็ดทำท่าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ท่านชายสี่สบถอยู่ในใจที่โดนหลอกถาม
“ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้วาดนาง” เขารีบแก้ตัว
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ท่านชายสิบเจ็ดไม่ได้สนใจเขาแล้ว เขาหันกลับไปยืนตรงหน้าภาพวาด จ้องมองหญิงงามในภาพด้วยสายตาตกตะลึง
“ที่แท้ คนบ้าก็งดงามได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาเอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย
นอกห้องครัวของนายใหญ่เฉินนั้น เหล่าสาวใช้และแม่นมยืนเบียดเสียดกันอยู่ด้านหน้าประตู พวกนางพากันยื่นหน้าเข้ามาดูด้านใน ยุดยื้อฉุดกระชากกัน บ้างก็ว่าเจ้าบังข้า บ้างก็ว่าข้าบังเจ้า เสียงดังเอะอะวุ่นวาย
ยามมองผ่านซอกหน้าต่างก็จะเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านใน เส้นผมของนางถูกผ้าคลุมไว้ แขนเสื้อกว้างก็ถูกรวบขึ้น ท่าทางกำลังบดบางสิ่งอย่างใจจดใจจ่ออยู่
ด้านหน้าของนางมีสาวใช้สองคนกำลังยกถาดรองออกมาสามถาด ในนั้นมีอาหารเรียกน้ำย่อยและอาหารอื่นๆ จัดวางอยู่
เฉิงเจียวเหนียงบดใบชาแล้วนำมาย่างอีกฝั่งหนึ่ง ปั้นฉินนำชาที่ย่างเสร็จแล้วโรยบนอาหารจานหนึ่ง
“เสร็จแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงมองดูนางโรยชาเสร็จก็เอ่ยพลางลุกยืนขึ้น
จากนั้นก็มีสาวใช้สองคนรีบเข้ามาคำนับพวกนางพร้อมยกถาดรองขึ้น พวกนางรอให้เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้เดินออกไปก่อนแล้วจึงตามไป
สาวใช้และแม่นมด้านนอกต่างรีบเบียดตัวเข้ามาดู
“ทำได้ประณีตยิ่งนัก…”
“นั่นคือปลาอะไร…”
“ทอดผลไม้ได้ดีนัก…”
“ดมแล้วไม่ได้กลิ่นอะไร ไม่รู้ว่ากินแล้วจะเป็นอย่างไร…”
พวกนางถกเถียงหัวเราะพูดคุยกัน พลางมองดูเหล่าสาวใช้ยกอาหารเข้าไปในห้องโถงของเรือนนายใหญ่เฉิน
ยามนี้เฉินเซ่าและฮูหยินต่างก็กินอาหารกันเสร็จแล้ว ทั้งสองนั่งพูดคุยกันต่อเรื่องที่ค้างอยู่เมื่อครู่
“นางกับแม่นางสิบแปดอายุไล่เลี่ยกัน แต่ข้ารู้สึกว่านางรู้งานกว่าแม่นางสิบแปดนัก” ฮูหยินเฉินเอ่ย
“จะเหมือนกันได้อย่างไร” เฉินเซ่าส่ายหน้า “แม่นางสิบแปดโตมาอย่างไร แล้วนางโตมาอย่างไร”
ฮูหยินเฉินพยักหน้า
“นางเติบโตมาเป็นเช่นนี้ได้ ช่างดียิ่งนัก” นางเอ่ยและยิ้ม “เพราะเทพเซียนคุ้มครองแท้ๆ”
เฉินเซ่าเหม่อลอยเล็กน้อย
หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะสุภาพอ่อนโยน แต่กลับแข็งกร้าวยิ่งนัก แม้จะสงบเสงี่ยมไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหวทำการสิ่งใด แต่ทุกอย่างกลับเหมือนดั่งอยู่ในกำมือของนาง
อย่างเช่นเรื่องที่ตระกูลโจวอาศัยเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นรับนางกลับมาโดยที่นางไม่เต็มใจ แต่ผลเป็นอย่างไรเล่า นอกจากจะเกิดเรื่องวุ่นวาย สุดท้ายแล้วนางก็ยังได้เข้าไปอาศัยในเรือนหลังนั้นอยู่ดี ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนการของนาง เพียงแต่ทอดเวลาออกไปช่วงหนึ่งเท่านั้น
นี่คือความเด็ดเดี่ยวที่ฝึกฝนมาจากการไร้ที่พึ่งพิง การที่แม่ตายจาก การที่ถูกพ่อทอดทิ้งอย่างนั้นหรือ
บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่อยากจะยืนด้วยลำแข้งของตน แต่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้
คนที่ฉลาดมาแต่กำเนิดนั้นก็มี แต่สติไม่สมประกอบมาแต่กำเนิดแล้วกลับกลายมาเป็นคนฉลาดนั้น คงไม่ใช่เพราะลิขิตฟ้า แต่เป็นเพราะมานะตน
เฉินเซ่านั่งเหยียดตัวตรงในทันใด
“หวังว่าจะได้ข่าวในเร็ววัน” เขาเอ่ย
ฮูหยินเฉินไม่เข้าใจ
“ข่าวอะไรหรือ” นางถาม
“คนจากปิ้งโจว” เขาตอบ
ตระกูลเฉินส่งคนไปสืบเรื่องของแม่นางเฉิง ฮูหยินเฉินเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และคิดว่าเป็นเรื่องที่สมควร
สองสามีภรรยาคุยกันเสร็จก็มายังเรือนของนายใหญ่เฉิน ยามเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงพูดของเฉินตันเหนียง
“ยังมีอีกหรือไม่ ข้าอยากกินอีกสักถ้วย” นางเอ่ย
พอได้ยินแม่นมบอกว่าไม่มีแล้วนั้น เด็กน้อยก็อารมณ์เสีย วางตะเกียบแรงไปหน่อย
“เสียมารยาท” เฉินเซ่ารีบตำหนิ
เฉินตันเหนียงสำนึกผิด ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร
เฉินเซ่าและฮูหยินต่างก็ไม่คาดคิดว่าแม่นางเฉิงจะกลับไปก่อนแล้ว
“พี่เฉิงบอกว่ามาเลี้ยงอาหารพวกเรา เลี้ยงเสร็จนางก็ไป” เฉินตันเหนียงเอ่ย
เฉินเซ่ายิ้ม
“เพราะเหตุใดกัน ไม่ฟังคำวิจารณ์ของแขกก่อนหรือ” เขาถาม
“เห็นน้ำใจกันแล้ว ค่อยว่ากันน่ะ” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางมองดูหลานสาวทั้งสองข้างกาย “ไม่ต้องฟังก็รู้อยู่แล้ว”
เฉินตันเหนียงยังเป็นเด็กอยู่ นั่งมองดูจานเปล่าตาละห้อยอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แม่นางเฉินสิบแปดแม้จะโต
กว่าหลายปี แต่ก็ยังลอบกลืนเนื้อปลาชิ้นสุดท้ายในจานไปอย่างเสียดาย
“ฝีมือดีเพียงนั้นเชียวหรือ” เฉินเซ่าถาม
นายใหญ่เฉินพยักหน้าอย่างทอดถอนใจ
‘นายหญิงของข้าเป็นคนสอนเจ้าค่ะ’
ภาพของสาวใช้เอ่ยคำนั้นด้วยใบหน้าอิ่มเอิบใจยามเมื่อได้พบกันครั้งแรกลอยเข้ามาให้หัวเขา
ใช่แล้ว ใช่แล้ว
คำพูดที่เคยคิดว่าเป็นการประจบเอาใจจอมปลอมนั้น หากแต่ออกมาจากปากของคนข้างกายนายหญิงเฉิง
ก็คงต้องตั้งใจฟังเสียแล้ว เพราะว่านั่นคือความจริง
รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงยังคงเป็นรถที่เช่ามาจากร้านหัวสะพาน เมื่อเห็นเหล่าแม่นมออกมาส่งเฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้ คนขับรถม้าที่ถือถ้วยน้ำชาดื่มมาครึ่งค่อนวันอยู่ในห้องหน้าประตูเรือนตระกูลเฉินก็รีบกระเด้งตัวออกมา จนกระทั่งเคลื่อนสู่ถนนใหญ่ เขาถึงได้ผ่อนคลายลงราวกับปลาได้น้ำ
คิดไม่ถึงเลยว่านายบ่าวจากต่างเมืองที่อาศัยอยู่เรือนที่ไม่สะดุดตา นายหญิงน้อยที่ออกไปไหนมาไหนด้วยรถเช่า จะเป็นแขกคนสำคัญของบ้านอำมาตย์เฉิน
“ค่าเช่ารถม้าร้านข้าแม้จะแพงกว่าเจ้าอื่นในเมืองหลวง แต่รถม้าของข้าสะอาดสะอ้าน ข้ากลับไปขัดล้างอยู่ทุกวัน” คนขับรถม้าเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
สาวใช้ที่นั่งอยู่หน้ารถหัวเราะ
“ข้ารู้ มิเช่นนั้นข้าจะเช่าร้านเจ้าอยู่บ่อยๆ ทำไมเล่า” นางยิ้ม
คนขับรถม้าได้รับการชื่นชมก็โล่งใจ
“นายหญิงจะไม่ซื้อรถม้าสักคันหรือ” เขาทำเป็นใจกล้าลองเสนอแนะ
สามารถเข้าออกบ้านอำมาตย์เฉินได้เช่นนั้น เหตุใดจะซื้อรถม้าสักคันไม่ได้
“เช่นนั้นก็ต้องจ้างคนขับอีก” สาวใช้เอ่ย “พวกข้าไม่แน่ใจว่าจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน อีกอย่างก็ไม่ค่อยได้ออกบ้านนัก จึงไม่ได้ซื้อ”
นายหญิงเหมือนจะไม่ชอบให้ใครรู้ร่องรอยการเดินทางของตน และไม่ชอบรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์พิเศษ
เมื่อให้จ่ายเงินตรงหน้าประตูเรียบร้อย คนขับรถม้าก็จากไปอย่างดีอกดีใจ
เมื่อได้ยินเสียงรถ จินเกอร์ก็เปิดประตูออก ก่อนจะเข้ามารับอย่างดีใจ แต่ทว่าเด็กชายเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว
ก็มีอีกคนพุ่งตัวออกมาจากด้านข้าง เบียดเขาจนกระเด็นไปอีกทาง
“ท่านอีกแล้วหรือ!” สาวใช้ตะโกน มองดูชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความโมโห นางจ้องเขาตาเขม็ง “ท่านชายโจว ท่านจะทำอะไรกันแน่! ยังถูกสั่งสอนไม่พออีกหรือ! ท่านไม่มีสหายคนอื่นแล้วหรือไร”
ตีคนอย่าตีหน้า ด่าคนอย่าด่าข้อด้อย คำพูดนี้หากจะพูดกลับกันได้ก็ย่อมได้
นายเป็นอย่างไร บ่าวอย่างนั้นจริงๆ
คนหนึ่งไม่พูดไม่จา คนหนึ่งปากจัดเสียเหลือเกิน ล้วนน่าชังนัก
ท่านชายโจวหกหน้าดำคร่ำเครียด ยื่นกล่องยัดใส่มือนางในทันที
“นี่คืออะไร” สาวใช้ขวางเขาไว้ไม่ทันจึงถูกยัดของใส่มือ นางตะโกนออกมาแล้วก้มหน้ามองไป
จินเกอร์และปั้นฉินที่คุ้มกันอยู่ข้างกายเฉิงเจียวเหนียงอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดก็มองมาเช่นกัน
นั่นคือขนมกล่องหนึ่ง ด้านบนสลักตราสัญลักษณ์ไว้
“วัดเสวียนเมี่ยว” สาวใช้อ่านออกมาแล้วหัวเราะเย้ยหยัน “มีดีอย่างไร…”
นางยังไม่ทันพูดจบ จินเกอร์ที่อยู่ด้านข้างก็ร้องขึ้นมา
“วัดเสวียนเมี่ยว! วัดเสวียนเมี่ยว!” เขาตะโกน กระโดดโลดเต้นราวกับเห็นของแปลกประหลาด “นายหญิงขอรับ
วัดเสวียนเมี่ยว!”
ตอนปั้นฉินจากไปนั้น เจียงโจวยังมีวัดเสวียนเมี่ยวอยู่สองแห่ง ยามที่สาวใช้มาถึง วัดเสวียนเมี่ยวก็เพิ่งจะเริ่มมีชื่อ ยังไม่ทันได้แวะเวียนไปด้วยตนเองก็ต้องจากเจียงโจวมาเสียแล้ว
หากพูดถึงคนที่คุ้นเคยกับวัดเสวียนเมี่ยวมากที่สุดก็น่าจะเป็นจินเกอร์
เมื่อจินเกอร์ตะโกนออกมา สาวใช้ก็นึกขึ้นได้
“ของเจียงโจวหรือ” นางมองดูหนุ่มน้อยตรงหน้าแล้วถามอย่างลังเล
ที่แท้ตั้งใจนำของจากเจียงโจวมาให้นายหญิงคลายความคิดถึงบ้านเกิดหรอกหรือ
สีหน้าของนางแปลกประหลาดเล็กน้อย
‘ข้าจะสู่ขอเจ้าให้ได้…’
คำพูดนี้ยังคงอื้ออยู่ในหู สาวใช้อดขนลุกไม่ได้
ท่านชายโจวหกหันหลังแล้วเดินไป เขาขึ้นม้าแล้วออกตัวไปบนท้องถนนไม่หันหลังกลับ
สาวใช้ถือกล่องนั้นไว้ในมือ ก่อนจะหันมามองเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง อันนี้…” นางเอ่ย
“ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางอมยิ้ม
นายหญิงอาศัยอยู่ในวัดเสวียนเมี่ยว ดูเหมือนว่าตอนนั้นมักจะกินสิ่งนี้อยู่บ่อยๆ พอเห็นแล้วคงดีใจกระมัง
ก็คงมีแต่เรื่องนี้แหละหนาที่ท่านชายโจวหกจะทำเหมือนผู้เหมือนคนกับเขาบ้าง
สาวใช้ถือกล่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วเดินเข้าไปก่อน
“เช่นนั้นเราก็ลองชิมดูแล้วกัน ตอนอยู่บ้านข้าเคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยกินเลย” นางเอ่ย
ทุกคนเข้ามาในเรือน จินเกอร์ใส่สลักประตู ปั้นฉินรีบไปเตรียมน้ำ เฉิงเจียวเหนียงกำลังจะก้าวขึ้นบันไดไป กำแพงเรือนด้านซ้ายเกิดเสียงดังขึ้น ทำเอาคนทั้งเรือนตกใจจนนิ่งชะงักแล้วหันไปมอง
ฝ่ามือหนึ่งค่อยๆ ยื่นออกมาจากกำแพงสูงใหญ่
ฝ่ามือเรียวยาวภายใต้แสงแดดนั้นสะท้อนสายตายิ่งนัก ในยามนี้สายตาของทุกคนมีเพียงฝ่ามือนั้น
“ผีหลอก!”
จินเกอร์ตะโกนขึ้นมาคนแรก ก่อนจะนั่งลงแล้วกุมหัว
เมื่อเขาตะโกนขึ้น ปั้นฉินและสาวใช้ที่เดิมทีเอาแต่เหม่อมองก็ก็กรีดร้องออกมาเช่นกัน
เหมือนว่ามือนั้นจะตกใจเพราะเสียงกรีดร้องของเหล่าชายหญิงทั้งหลาย เขาสั่นเล็กน้อยแล้วเกาะกำแพงไว้ จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมาเกยกำแพง ก่อนศีรษะของใครคนหนึ่งจะโผล่พ้นกำแพงออกมา
เรียวคิ้วดกดำ ดวงตาเปล่งประกายดั่งแสงดาว สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากเรียวบาง ใบหน้าขาวดั่งหยกที่มองมาจากด้านบนปรากฏสู่สายตาของทุกคนในเรือน
“ตกใจหมดเลย! เกือบจะตกลงไปแล้ว! มีผีที่ไหนกัน” เขาถาม ยักคิ้วเรียวยาวเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองมาที่เฉิงเจียวเหนียง มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา พร้อมเสียงบ่นพึมพำ “ข้าต้องตกใจเพราะเจ้าอีกแล้ว!”
…………………………………………….