พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 210 ผ่านเข้ามา
ทุกคนนั่งล้อมวงกันอยู่ภายในเรือนตระกูลเฉิง หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากฮูหยินใหญ่เฉิงแล้ว ทุกคนต่างก็เงียบจนถึงตอนนี้ ในหัวกำลังครุ่นคิดกันไปต่างๆ นานา
เหตุใดตระกูลโจวถึงจับจ้องบ้านตระกูลเฉิงของพวกเขาตาไม่กระพริบ หรือเพราะกลัวว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อคนบ้านั่นไม่ดีหรือ
ไม่ใช่หรอก เพราะสินเดิมของนางต่างหาก
ที่ตระกูลเฉิงและตระกูลโจวต้องมาพูดจาเชือดเฉือนน้ำใจกันอยู่เช่นนี้ ก็เพื่อแย่งสิทธิ์ในการดูแลคนบ้านั่นอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่หรอก เพราะสินเดิมของนางต่างหาก
หากแต่งคนบ้าเข้าเรือน ย่อมได้สินสอดของนางด้วย สองสิ่งนี้ไม่อาจแยกออกจากกันได้
แต่เหตุใดพวกเขาถึงคาดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วทั้งสองอย่างนั้นแยกออกจากกันได้
เพียงแต่ว่าหากคนบ้านั่นไม่แต่งงาน สินเดิมของนางก็จะเป็นของนางตลอดไป แต่หากแต่งงาน
ฝ่ายหญิงเองก็ย่อมต้องมีสินสอดทองหมั้น แล้วหญิงสาวเช่นนางจะไม่มีได้อย่างไร มีสินเดิมแล้วก็ยังหาคนมาแต่งด้วยไม่ได้ หากไม่มีสินเดิม ผู้ใดจะมาสู่ขอกัน
“ใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอน” เหล่าฮูหยินเฉิงเอ่ยพึมพำพร้อมกับหมุนลูกประคำในมือ
ใช่แล้ว ใดๆ ในล้วนไม่แน่นอน
ทุกคนครุ่นคิดอยู่ในใจ
“น้องสะใภ้ของเจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ” เหล่าฮูหยินเฉิงถามอีกครั้ง “พ่อแม่ของเจ้าเห็นด้วยหรือไม่”
สีหน้าของเหล่าฮูหยินเฉิงสับสน
หลานชายของนางถูกให้ท้ายจนเสียคน อยากได้สิ่งใดก็ต้องหามาให้ หากตระกูลเฉิงไม่ตกลงจะทำเช่นไรได้เล่า
แต่หากพูดเช่นนี้ออกไป ก็ดูเหมือนคนในบ้านไร้มารยาทสิ้นดี
“ทางบ้านของฝั่งพ่อแม่ข้าก็คิดเหมือนน้องสะใภ้ ว่าอยากแบ่งเบาภาระพวกเรา” นางเอ่ยเสียงอ้ำอึ้ง
หากลากฮูหยินรองเฉิงมาด้วยตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่สุด
เหล่าฮูหยินเฉิงส่งเสียงถุยออกมาดังคาด
“อย่างนางจะช่วยอะไรได้!” นางตะคอก “แบ่งเบาหรือ มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับข้า!”
ฮูหยินรองเฉิงที่ถูกกักบริเวณอยู่ ในยามนี้คนที่ถูกนางด่าก็มีเพียงนายรองเฉิง
“แต่ท่านชายสิบเจ็ดของตระกูลเจ้านั้นแตกต่าง…” เหล่าฮูหยินเอ่ยอย่างถอดใจ
เป็นถึงลูกผู้ดีแถมตระกูลก็มิได้ตกอับ จะว่าไปแล้วบนโลกนี้ใช่ว่าผู้ใดก็เกิดเป็นลูกผู้ดีได้
“แต่ในเมื่อพวกนางตั้งใจเช่นนี้ เราจะขัดได้อย่างไร” เหล่าฮูหยินเฉิงเอ่ยแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เด็กดีๆ คนหนึ่ง เราจะทำร้ายเขาได้อย่างไร”
“ข้าคิดดูแล้ว เจียวเหนียง…ก็ไม่บ้า…ขนาดนั้น” ฮูหยินใหญ่เฉิงฝืนยิ้ม “เพียงแต่ไม่ชอบพูด แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากแต่งงานไป ก็ไม่ต้องให้นางเข้าสังคม ก็ไม่ต้องให้นาง…”
ไม่ต้องให้นางมีบุตรสืบสกุล ว่ากันตรงๆ ก็เหมือนสิ่งของที่นำมาตั้งประดับไว้
“ไม่เอาสินเดิมจริงหรือ” เหล่าฮูหยินเฉิงกระแอมแล้วถามขึ้น
“จริงเจ้าค่ะ ไม่เอา” ฮูหยินใหญ่เฉิงตอบ
เหล่าฮูหยินเฉิงนั่งเอนกายพิงโต๊ะเตี้ยดังเดิม ลูกประคำในมือหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เอาสินเดิม เอาแต่คน
คงเป็นพระโพธิสัตว์อวตารลงมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยให้แก่มวลมนุษย์สินะ…
“ไปบอกกับตระกูลโจว” เหล่าฮูหยินเฉิงโบกมือเอ่ย
เช่นนี้แปลว่าเห็นด้วยแล้วสินะ
ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มอย่างกลุ้มใจ จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรเล่า
นายใหญ่เฉิงดีใจอย่างกลั้นไม่อยู่ เช่นนี้ดีแท้ เช่นนี้ดีแท้
นายรองเฉิงถึงแม้จะยังคอตก แต่ยามนี้หาทางแก้ไขปัญหาได้แล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
ไม่เอาสินเดิม คนเป็นพ่อเช่นเขาก็ต้องดูแลชีวิตหลังจากนี้ของบุตรสาว พยายามดูแลสินเดิมของลูก และเพิ่มพูนสมบัติให้กับนาง
ทั้งสองก้มหน้าขานรับ
เมื่อฟังนายใหญ่เฉิงพูดจบ นายใหญ่โจวกลับรู้สึกเหมือนกับเห็นผีไม่ปาน
ล้อเล่นหรืออย่างไร
“อย่าคิดว่าหาคนบ้าให้เจียวเหนียงแล้วเรื่องจะจบ!” เขาเอ่ยเสียงเคือง
“คนบ้าที่ไหนกัน รีบไปสืบดูที่ทิงโจวสิ ท่านชายสิบเจ็ดแห่งตระกูลหวังก็เป็นชายเจ้าเสน่ห์คนหนึ่ง” นายใหญ่เฉิงพูดอย่างไม่พอใจพลางหันหน้าไปมองทางนายใหญ่โจว “อย่าคิดว่าผู้อื่นจะเลี้ยงคนบ้าเหมือนตระกูลโจวสิ”
นายใหญ่โจวโกรธจัด ลุกขึ้นจ้องตาเขม็ง
“เฉิงจื้อโจว เจ้าพูดอะไร!” เขาตะโกนพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น “คนบ้านั่นแซ่เฉิง มิได้แซ่โจว”
“ลำบากนายใหญ่โจวแล้ว ท่านก็รู้หรือว่าคนบ้านั่นแซ่เฉิง มิได้แซ่โจว” นายรองเฉิงพูดจาไม่ไว้หน้า
คนสามคน หกดวงตา จ้องกันไปมาไม่มีลดละ
บรรยากาศภายในห้องตึงเครียด เหล่าสาวใช้ทั้งสองฝั่งต่างนั่งคุกเข่าก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา
“แบ่งสามต่อเจ็ด” นายรองเฉิงเอ่ยขึ้นทันที
“ตกลง เจ้าสาม พวกเราเจ็ด” นายใหญ่โจวรีบตอบ
นายรองเฉิงทำเสียงไม่พอใจ
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร! ช่างกล้าพูดนัก! ” เขาเอ่ยพลางจ้องตาเขม็ง
นายใหญ่โจวจับแขนของเขา
“เฉิงต้ง!” เขาส่งเสียงถุย “เห็นแก่เจียวเจียวที่แซ่เฉิง ข้าให้เจ้าสามส่วนก็นับว่าไม่เลวแล้ว! เจ้ายังกล้าที่จะเอาเจ็ดส่วนอีก! ”
นายรองเฉิงสะบัดมือเขาทิ้ง
“คนแซ่โจว เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก พวกเราไปเจรจากันที่ศาลาว่าการ ข้าหาคนดีให้เจียวเหนียง ทางกระกูลนั้นเขาไม่เอาสินเดิม ถือเป็นน้ำใจของเขา เจ้ามันหน้าไม่อาย คิดจะฮุบสินเดิมของหลานสาวตัวเอง ฝันไปเถิด! พวกเราไปพบทางการ! ให้คนทั่วหล้าช่วยกันตัดสิน” เขาตะโกน
“ตัดสินก็ตัดสินสิ พวกเขามิได้ต้องการสินเดิม แต่พวกเจ้าก็จะไม่ให้สมบัติติดตัวเจียวเจียวร์ไปเลยหรือ ข้าเก็บของเหล่านี้ไว้ก็เพื่อนาง หากมอบให้กับเจ้า ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายแล้วอาจตกเป็นของคนแซ่เผิงทั้งหมดก็เป็นได้” นายใหญ่โจวไม่อ่อนข้อ เอ่ยเสียงเย้ยหยัน
“แบ่งสี่ต่อหก” นายใหญ่เฉิงพูดขึ้นทันที
“เจ้าสี่ข้าหก” นายใหญ่โจวหันหน้าเอ่ย
“เจ้าสี่ข้าหก” นายใหญ่เฉิงจ้องเขม็งแล้วตะโกน
จังหวะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น บ่าวของนายใหญ่โจวรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“นายใหญ่ นายใหญ่ มีจดหมายจากฮูหยิน” เขาตะโกน
ทั้งสามที่กำลังจ้องหน้าฉุดกระชากแขนกันไปมาอยู่นั้น พอได้ยินที่บ่าวพูดก็สะบัดแขนเสื้อแล้วผละออกจากกัน
“ท่านชายบ้านไหนจะนิสัยใจคออย่างไร ใช่ว่าจะเป็นไปตามที่เจ้าพูด ล้วนแต่เป็นญาติของภรรยาพวกเจ้ากันทั้งนั้น ใครจะไปรู้ว่ามีเรื่องสกปรกที่มิอาจให้ผู้อื่นรู้หรือไม่ พวกข้าคงต้องหารือกันในตระกูลก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที” นายใหญ่โจวเอ่ย
เขายื่นมือไปรับจดหมาย
นายใหญ่เฉิงและนายรองเฉิงส่งเสียงฮึดฮัด
“รอเจ้าสืบก่อนก็แล้วกัน” พวกเขาเอ่ยพลางปัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
เดินได้ถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงของนายใหญ่โจวร้องตะโกนจากด้านหลัง เขารีบหันกลับมอง
นายใหญ่โจวเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก จ้องมองไปที่จดหมายในมือด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นไปได้อย่างไร” เขาตะโกนเสียงแหบแห้ง
“มีเรื่องอะไรหรือ”
แม้จะอยากให้นายใหญ่โจวนอนชักดิ้นชักงอตายไปเสียตรงนั้น แต่ด้วยความเป็นเจ้าบ้าน
นายใหญ่เฉิงจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
นายใหญ่โจวตั้งสติแล้วมองมาที่เขา ไม่พูดไม่จาก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้อง
สองพี่น้องของตระกูลเฉิงสบตากัน เบ้ปากไม่สนใจ ก่อนต่างคนต่างเดินจากไป
ยามพลบค่ำ ก็ได้ทราบข่าวว่านายใหญ่โจวต้องรีบกลับเมืองหลวง
นิสัยเจ้าเล่ห์แก้อย่างไรก็คงไม่หาย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ แถมยังท่าทางน่าชื่นตาบานอีกเสียด้วย ยามที่นายใหญ่เฉิงรู้ข่าว นายใหญ่โจวก็ขึ้นรถม้ากลับออกไปแล้ว แม้แต่เรื่องที่เจียวเหนียงจะแต่งงานก็ไม่พูดถึง รีบเร่งให้บ่าวออกเดินทางก่อนประตูเมืองจะปิด
ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ตระกูลเฉิงสงสัยไม่หาย
หรือว่าคิดลูกไม้อะไรใหม่ๆ มาเล่นงานพวกเขา
นายใหญ่เฉิงรีบให้บ่าวไปสืบ
แม้นายใหญ่โจวจะมีบ่าวรับใช้เป็นของตนเอง แต่พออาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลเฉิง เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจปกปิดได้ ไม่นานบ่าวก็ไปสืบจนได้ความ
“ถูกลดขั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “ถูกลดขั้นได้อย่างไร”
กว่านายใหญ่โจวกจะมาถึงขั้นนี้ ถึงแม้จะไม่สร้างคุณูปการ แต่เส้นทางสายราชการก็มั่นคงนัก ถึงแม้จะไม่ได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายก็ได้เลื่อนขั้นตามอายุและประสบการณ์ หากมิได้ทำความผิดร้ายแรง จะถูกลดขั้นได้อย่างไร
“เห็นท่าทางของนายใหญ่โจวแล้วก็ยิ่งแปลกใจ ก่อนเกิดเรื่อง ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยสักนิด” พ่อบ้านเอ่ย
“ไม่รู้ก็ไม่แปลก หากรู้ เขาคงไม่มาพูดพล่าม อาศัยอยู่บ้านเราที่เจียงโจวนานถึงเพียงนี้” นายใหญ่ตระกูลเฉิงพยักหน้า
สีหน้านายรองเฉิงเปลี่ยนไปในทันใดก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ต้องถูกเล่นงานลับหลังอย่างแน่นอน” เขาหัวเราะเอ่ย คิ้วขยับเหมือนกำลังเต้นระบำ ดีใจเมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์
ใช่ แน่นอนว่าต้องถูกคนเล่นงานลับหลังเป็นแน่ เช่นเดียวกับที่ตนเคยโดนมาก่อนหน้านี้
เวลาผ่านไปจะปีหนึ่งแล้ว ยามนอนกลางวันนายรองเฉิงยังคงฝันถึงเรื่องนั้นแล้วสะดุ้งตื่นอยู่เสมอ ในฝันเขาตื่นเต้นดีใจเมื่อได้รับสาสน์การเลื่อนตำแหน่ง แต่เมื่อเปิดมันออกกลับว่างเปล่า และหลังจากนั้นเหงื่อก็ท่วมกายก่อนจะตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ
นายรองเฉิงยกมือขึ้นลูบที่หน้าอกเพื่อปลอบใจตัวเอง เขายังคงจำได้ไม่เคยลืม ความเจ็บปวดและอึดอัดถูกกักเก็บไว้ในหัวใจ แต่ที่คับแค้นใจยิ่งกว่าคือ ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเล่นงานเขาลับหลังกันแน่!
ผู้ใดกันนะที่เล่นงานเขาลับหลัง ผู้ใดกัน ผู้ใดกัน!
…………………………..