พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 236 เรื่องดี
ประตูทางทิศใต้ของหอเป่าเฉวียนในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันสนุกสนานของเหล่าหญิงสาว
แม้ว่าหอเป่าเฉวียนจะไม่หรูหราเหมือนร้านค้าชื่อดังหลายแห่งในเมือง แต่ก็ดีกว่าร้านที่อยู่นอกประตูเมือง มีพื้นที่กว้างขวาง อาคารสร้างออกมาได้ดีและยังมีสวนอันเงียบสงบ เป็นสถานที่คลายร้อยในคิมหันต์ฤดูได้เป็นอย่างดี
ทันทีที่คันเบ็ดเหวี่ยงออกไป สาวๆ รอบกายแม่นางเฉินสิบแปดต่างก็หัวเราะอย่างมีความสุข
“ได้อีกตัวแล้วๆ” พวกนางปรบมือ หัวเราะพลางเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดใส่ปลาลงในอ่างลายครามขนาดเล็ก ในนั้นมีปลาน้อยใหญ่สองหรือสามตัวแหวกว่าย
เฉินตันเหนียงกระทืบเท้า
“หยุดเอะอะโวยวายได้แล้ว” นางพูดอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าทำให้ปลาของพี่เฉิงตกใจหนีไปหมดแล้วเนี่ย”
สาวใช้ทุกคนต่างปิดปากและหัวเราะคิกคัก มองเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ตรงนี้
นางเป็นคนเสนอเองว่าจะมาตกปลากัน สุดท้ายครึ่งชั่วยามผ่านไป นางกลับนั่งนิ่งเหมือนไม้สน ไม่เคยยกเบ็ดตกปลาขึ้นเลยสักแอะ
“พี่เฉิง ไม่อย่างนั้นเราไปที่อื่นกัน ปลาที่นี่ตกใจหนีกันไปหมดแล้วกระมัง” เฉินตันเหนียงกระซิบแนะนำ
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เฉิงตันเหนียงมองอ่างลายครามที่ว่างเปล่า แล้วมองไปที่แม่นางเฉินสิบแปดที่รายล้อมไปด้วยเด็กสาวที่กำลังหยอกล้อกันอยู่
“แต่ แม่นางสิบแปดตกได้เยอะมากเลย” นางอดไม่ได้ที่จะพูดอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้อยากมาตกปลาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เฉินตันเหนียงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านพี่ไม่ได้บอกว่าจะมาตกปลาหรอกหรือ” นางถาม
ปั้นฉินที่นั่งเล่นพันเชือกอยู่บนหินอีกด้านหนึ่งชะงักลง
“ตกปลาที่นายหญิงบอก ไม่ได้มาเพื่อปลา แต่มาเพื่อตกปลา” นางยิ้มพลางเอ่ย
สาวใช้เอื้อมมือไปจับเชือก ก่อนจะพันจนกลายเป็นดอกไม้ออกมา
“เมื่อก่อนนายหญิงเคยเล่นแบบนี้ไหมเจ้าคะ” นางถาม
ปั้นฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
อย่าว่าแต่เล่นเลย แต่ยังทำให้ท่านชายในตระกูลตกใจกลัวแทบตายเพราะคิดว่าเจอผี
ขณะที่พวกนางพูดคุยกันอยู่ ก็มีเสียงโห่ร้องจากฝั่งของแม่นางเฉินสิบแปดอีกครั้ง เฉินตันเหนียงกระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ หันไปเห็นพี่น้องสองสามคนนั่งดื่มชาอยู่ในศาลา
“พี่สิบหก” นางตะโกนขึ้นเมื่อคิดบางสิ่งบางอย่างได้
ชายหนุ่มรูปงามในเสื้อสีเขียวครามหยุดพูดหยอกล้อ ก่อนจะหันมา เขามองไปที่เฉินตันเหนียงก่อน จากนั้นก็มองเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งหันหลังให้อีกด้านหนึ่ง
“พี่สิบหกช่วยเราที” เฉินตันเหนียงโบกมือหยอยๆ แล้วร้องเรียก
ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พี่น้องที่อยู่ข้างๆ ต่างหัวเราะ
“สิบหกรีบไปเถิด มีแม่นางเฉิงอยู่ แถมแม่นางสิบเก้ายังต้องการความช่วยเหลือ แสดงว่าเจอกับปัญหาใหญ่แล้วล่ะ” พวกเขาเอ่ย
ชายหนุ่มเพิ่งจะได้ก้าวเท้าออกมา
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เขาหยุดยืนอยู่ด้านนอก ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
เฉินตันเหนียงวิ่งมาแล้วเอื้อมมือไปดึงเขาให้เดินมาที่สระน้ำ
“พี่สิบหก พี่ตกปลาเก่ง รีบช่วยเราหน่อย” นางบอก “ปลาวันนี้แปลกมาก ไม่กินเบ็ดเลย”
ชายหนุ่มถูกดึงให้เดินไปข้างหน้า และยืนอยู่ข้างกายเฉิงเจียวเหนียง
หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ แสงแดดส่องรำไร ดวงตากลมโตนั้นส่องประกายดั่งแสงอาทิตย์
ชายหนุ่มรีบละสายตา
“ละ แล้วจะให้ช่วยอย่างไร” เขาเอ่ย “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อดทนรอก็พอ”
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นเก็บเบ็ด
เฉินตันเหนียงดีใจมาก ก่อนที่เสียงโห่ร้องยินดีจะจบลงก็เห็นเบ็ดตกปลาที่ว่างเปล่า ก่อนจะส่งเสียงเย้อีกครั้ง
“ข้ามีความอดทน แต่ข้าไม่สามารถทำให้ปลามาติดเบ็ดได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วยื่นคันเบ็ดให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย พลางเอื้อมมือไปรับไว้
“อันที่จริงไม่มีเคล็ดลับอะไร คือการทำรังแล้วปล่อยเบ็ด…” เขาพูดพร้อมกับก้มไปหยิบเหยื่อปลา ก่อนจะโยนออกไปแล้วเหวี่ยงคันเบ็ดลงไป
เฉินตันเหนียงยิ้มอย่างมีความสุข
เฉิงเจียวเหนียงก็ดูอย่างตั้งใจ
นางมองไปที่เบ็ดตกปลา ไม่ใช่ตัวเขาเสียหน่อย เหตุใดจึงต้องลุกลี้ลุกลน
ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงเหงื่อที่จมูก
พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองลูกด้วย พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองลูกด้วย
“ว้าว”
เสียงโห่ร้องยินดีของเฉินตันเหนียงดังขึ้น แม่นางเฉินสิบแปดมองมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเห็นปลาตัวใหญ่บนคันเบ็ดที่ชายหนุ่มยกขึ้นมา
เฉิงเจียวเหนียงเองก็เผยรอยยิ้มออกเช่นกัน
“เก่งจริงๆ ด้วย” นางเอ่ย
ชายหนุ่มโล่งใจ แต่เคอะเขินมากกว่าเดิม
“หามิได้ หามิได้ ทักษะเล็กน้อยเท่านั้น ทักษะเล็กน้อยเท่านั้น” เขาเอ่ย
เฉินตันเหนียงตื่นเต้นรอบรรดาสาวใช้ใส่ปลาลงในอ่างลายคราม
“พวกเราเก่งมาก พวกเราเก่งมาก” นางปรบมือพลางตะโกน พร้อมกับโบกมือให้แม่นางเฉินสิบแปดด้วยความภาคภูมิใจ “ปลาของพวกเราตัวเดียวเทียบเท่าห้าตัวของเจ้าเลย”
“พวกเจ้าสามคนอย่างไรก็ต้องเก่งกว่าข้าคนเดียวอยู่แล้วสิ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยพลางยิ้ม
“ไม่จริงหรอก นี่เป็นความเก่งกาจของท่านชายผู้นี้เพียงคนเดียว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมกับมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
นางไปที่ตระกูลเฉินเพียงไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งก็ไปแค่ที่เรือนของนายใหญ่เฉิน จึงไม่รู้จักพี่น้องของแม่นางเฉินสิบแปด
หากไม่รู้ชื่อเสียงเรียกนามของพวกเขาก็คงไม่แปลก
“นี่คือท่านชายสิบหกของตระกูลนายเฉินสี่” สาวใช้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยพลัน
ท่านชายสิบหกได้ยินดังนั้นจึงรีบคำนับแสดงความเคารพ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับตอบ
มารยาทเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กๆ ของตระกูลเฉิน พวกเขาได้รับการสั่งสอนจากคำพูดและการกระทำของพ่อแม่ นอกจากนี้ยังได้รับการอบรมสั่งสอนขนบธรรมเนียมการใช้ชีวิตโดยอาจารย์ตั้งแต่จำความได้
นี่คือกิริยาท่าทางของคนจากตระกูลใหญ่ พวกเขามีมารยาทในการพูดคุยและประพฤติตัวกับผู้คน มิจำเป็นต้องฝืนทำเพราะถูกหล่อหลอมอยู่ในตัวตนอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าใครที่ไหนบนโลกนี้ทำได้
ทว่าหญิงผู้นี้ป่วยเป็นบ้ามาตั้งแต่เล็ก แต่กลับรู้จักมารยาทไม่มีขาดตกบกพร่อง ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนไม่ต่างจากพวกเขาที่เคยได้พบปะพูดคุยหญิงชายมากหน้าอย่างไร้ข้อกังขา หรืออาจจะสง่างงามเสียยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป
“วัดเฉี่ยถิง เรื่องศิลาจารึกของเฉี่ยถิง ท่านก็เล่าได้ดี” นางเอ่ย
ตั้งแต่ร่างกายฟื้นตัว ความจำของนางก็ดีมาก เพียงแค่ดูผ่ายตาก็จำได้ขึ้นใจ
วันนั้นที่นางไปวัดเฉี่ยถิงพร้อมกับทายาทตระกูลเฉิน ก็มีชายหนุ่มผู้นี้ด้วยเช่นกัน
หญิงสาวที่ดูห่างเหินกับผู้อื่นนับพันลี้ ผู้ที่อยู่ใกล้ทว่าไม่อาจสัมผัสได้ กลับจำตัวเองได้ ชายหนุ่มดีใจมากจนใบหน้ายิ้มแย้มสดใส
“หามิได้ หามิได้ เป็นเพียงทักษะเล็กน้อยๆ เท่านั้น” เขาพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านชายมีทักษะเล็กน้อยมากมายเพียงนี้ ก็ถือว่าเก่งมากจริงๆ” สาวใช้ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าต่างคนต่างพูด แต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องปลาแล้ว แม่นางเฉินสิบแปดก็อดยิ้มไม่ได้ หันสายตาไปหาพี่ชายตัวเองและเฉิงเจียวเหนียง หัวใจพลันเต้นตึกตัก
ในตอนนี้ไม่ใช่นางคนเดียวที่ใจเต้นแรง แต่สะใภ้ของตระกูลเฉินทั้งสองคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ก็หันมาเห็นภาพนี้เช่นกัน
ฮูหยินของนายเฉินสี่หรี่ตาลงเล็กน้อย
สะใภ้ทั้งสองนั่งลงในศาลาข้างๆ เพื่อคลายร้อนในคิมหันต์ฤดู มีเพียงหญิงสาวใช้ข้างกาย ส่วนคนอื่นๆ ก็ปล่อยให้ไปวิ่งเล่น
สายลมพัดจากที่สูงผ่านสระน้ำกลายเป็นลมเย็นแสนสบาย
หญิงสาวและชายหนุ่มที่ตกปลาริมสระน้ำกระจัดกระจายหายไปหมดแล้ว ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะดังมาจากอีกด้านหนึ่งของสวน
“พี่สะใภ้ ข้าเคยถามท่านพี่ก่อนหน้านี้ว่า แม่นางเฉิงผู้นี้ยังไม่ได้ออกเรือนใช่ไหม” ฮูหยินเฉินสี่ถามพลางโบกพัดไปมา
ฮูหยินเฉินเซ่าเหลือบมองนางทีหนึ่ง
หญิงที่หลายปีก่อนนั้นสติไม่สมประกอบ จะออกเรือนได้อย่างไร ใครจะมาสู่ขอนางกัน
นางเข้าใจดีว่าฮูหยินของเฉินสี่จะสื่อถึงอะไร
พูดได้ว่าเฉิงเจียวเหนียงคนนี้ทำให้นางรู้สึกทั้งขอบคุณ ทั้งรักและทะนุถนอม ผู้หญิงคนหนึ่งหากออกเรือนแล้ว ก็ถือว่าทั้งชีวิตนี้มั่นคงแล้ว ตอนที่นางกำลังวางแผนเรื่องการแต่งงานของลูกตัวเองอยู่นั้น ก็จะคิดถึงหญิงผู้นี้เช่นกัน
ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของนางวางแผนชีวิตเรื่องการแต่งงานของนางไว้อย่างไร
คงจะดีไม่น้อยหากได้พบคนที่รู้ตัวตนของตนเอง
เพียงแต่แม่นางคนนี้…
“เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม” นางถามด้วยรอยยิ้ม
เสียงหัวเราะหยอกล้อของเด็กๆ ใกล้เข้ามา ขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่
“เราค่อยไปคุยกันที่บ้าน” ฮูหยินเฉินสี่พูดพลางมองไปที่ชายหนุ่มหญิงสาวที่มาด้วยกัน “นั่งพักก่อน เรากินข้าวที่นี่กันเถอะ”
ช่วงบ่ายหลังจากกล่าวลาสมาชิกตระกูลเฉินทุกคนแล้ว เฉิงเจียวเหนียงเพิ่งจะเดินเข้าไปในบ้านไม่ทันไร กำแพงข้างๆ ก็เกิดเสียงดังตึงตังขึ้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งจะยืดตัวโผล่ออกมาก เผยรอยยิ้มให้กับเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ในสวน
สาวใช้และปั้นฉินเห็นเรื่องแปลกตานี้จนไม่รู้สึกอะไรแล้ว ก่อนจะแยกย้ายออกไปทำงานของตนเอง
“ช่วงนี้เจ้ายุ่งมากหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “หลายครั้งแล้วที่เจ้าไม่อยู่ วันนี้หากเจ้ายังไม่กลับมาอีก ข้าก็คงทำได้เพียงกลับไป”
“ใช่แล้ว ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางมองเขา “ท่านมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเผยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เปล่า ข้าก็แค่ออกมา แล้วก็ไม่รู้จักใคร ไม่มีที่ไปด้วย รู้จักเพียงแต่เจ้า ก็เลยอยากมาเยี่ยม” เขาเอ่ย พร้อมกับนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะเลิกคิ้ว “อ๋อ กำลังยุ่งอยู่กับการดูตัวใช่ไหม ไปดูกับตระกูลไหนมาเล่า ข้าจะช่วยเจ้าดู”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว
“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ข้ายุ่งอยู่กับการเปิดร้าน วันนี้มีเพิ่มมาอีกสองร้านแล้ว”
“เปิดร้านหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม พยายามถดตัวเข้ามาใกล้ “เจ้าทำการค้าเป็นด้วยหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ พร้อมพยักหน้ารัว
“ข้าก็ยุ่ง ช่วงนี้ข้าท่องหนังสือได้สองเล่มแหนะ” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“เช่นนั้นก็เก่งจริงๆ” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ในเมื่อต่างก็มีเรื่องที่น่ายินดี ไม่อย่างนั้นเรามาฉลองกันดีไหม” เขาเอ่ย
ฉลองหรือ
ฉลองอย่างไร
สาวใช้วางเสื้อผ้าในมือลงแล้วมองออกไป
ปั้นฉิน สาวใช้และจินเกอร์กำลังยุ่งอยู่ที่ลานบ้าน ยังคงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
บนกำแพงไม่มีชายหนุ่มคนนั้นแล้ว
“เมื่อก่อนเจ้าเคยทำโคมลอยไหม”
เสียงชายหนุ่มดังมาจากกำแพง
เฉิงเจียวเหนียงถือตะแกรงไม้ไผ่อยู่ในมือ ก่อนจะหยุดลง
“ข้าจำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะเคย” นางเอ่ย
“เพราะเจ้าทำได้ใช่ไหม” เสียงจากกำแพงถาม
“ใช่” เฉิงเจียงเหนียงตอบ การเคลื่อนไหวของมือยังคงดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหล
“ข้าไม่เคยทำ” ชายหนุ่มอีกฟากของกำแพงเอ่ย “แต่ข้าจำได้ว่าแม่ข้าเคยทำให้ตอนเด็กๆ แต่ว่าข้าเด็กเกินไป ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า พวกเราต่างจำไม่ได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เสียงหัวเราะดังขึ้นที่อีกฟากกำแพง
“นั่นน่ะสิ พวกเราทุกข์ยากในเรื่องเดียวกัน” ชายหนุ่มเอ่ย
สาวใช้เม้มปาก แปลกประหลาดเสียจริง ใครที่ไหนเขาปล่อยโคมลอยกันกลางวันแสกๆ เล่า ดูเหมือนว่าหนุ่มเจ้าสำราญผู้นี้จะเสียสติไปแล้วจริงๆ
ช่วงบ่ายแสงแดดแผดจ้า บนท้องถนนมีผู้คนมากมาย คนที่นั่งยองๆ กำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่ใต้ร่มไม้ต่างพากันสงสัย
“ดูนั่นสิ มีคนปล่อยโคมลอยอยู่ตรงนั้น”
หลังจากเสียงตะโกน ก็มีคนมาดูมากขึ้นกว่าเดิม มองเห็นโคมลอยสองดวงกำลังส่ายไปมาเคียงคู่กันอยู่ในเรือนที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
เพราะฟ้ายังสว่างอยู่ มองไปแล้วจึงดูแปลกตานัก
“ลูกบ้านไหนเล่นซนกันอีกละเนี่ย”
ทุกคนละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว โคมลอยก็ไม่ใช่ของแปลกประหลาดเสียหน่อย
เฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ในลานบ้าน มองขึ้นไปยังโคมลอยที่ลอยขึ้นสูงไปเรื่อยๆ
“เจ้า อธิษฐานให้ใคร”
เสียงของชายหนุ่มดังมาจากอีกด้านของกำแพง
เฉิงเจียวเหนียงมองไปบนท้องฟ้า
“ข้าไม่รู้” นางพูด
เสียงหัวเราะขึ้นจากอีกฟาก
“บังเอิญเสียจริง” ชายหนุ่มเอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้”
อีกด้านหนึ่งของกำแพงเงียบไปครู่หนึ่ง โคมลอยบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ ลอยออกไปไกล ไม่นานก็ลับตาไปบนท้องฟ้าสดใส
ขณะเดียวกันประตูของสำนักก็ถูกเปิดออก เหล่าบัณฑิตรีบวิ่งออกมา ราวกับนกที่ถูกกักขังอยู่ในกรงมานาน
“ท่านชายสี่ ในที่สุดเราก็ออกไปเดินเล่นได้เสียที” บ่าวตะโกนออกมาอย่างดีใจ พร้อมกับมองกลับไปที่สำนักภายใต้ร่มเงาสีเขียว แต่ในใจยังคงหวาดผวา “อาจารย์เจียงโจวน่ากลัวเกินไปแล้ว แต่หวังว่าจะไม่ได้เรียนเช่นนี้ในครั้งต่อไปอีก กักขังคนอื่นไว้เป็นครึ่งเดือน เล่นเอาเกือบตายเลย”
“พูดอะไรเนี่ย” ท่านชายเฉิงสี่ถลึงตาพร้อมกับตำหนิ “ไม่เคารพอาจารย์”
บ่าวแลบลิ้นออกมา
“มีคนมากมายที่อยากโดนขังแบบนี้ แต่ทำไม่ได้” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย “ถ้าไม่ไปซื้อของใช้ที่ตลาด ข้าก็จะไม่ออกไปจากสำนัก อยากจะเรียนต่อไปด้วยซ้ำ”
ประโยคสุดท้ายทำให้บ่าวตกใจกลัว และยอมรับผิดทันที เขาไม่กล้าไปพูดมากกว่านี้อีกแล้ว กลัวว่าจะต้องหันกลับเข้าไปจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นเขาคงอึดอัดตายได้จริงๆ
“ท่านชายสี่!”
เสียงของสำเนียงท้องถิ่นที่คุ้นเคยดังมาจากริมถนน ท่านชายเฉิงสี่และบ่าวที่กำลังเอะอะโวยวายอยู่ ก็หันไปมองโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะตะลึงโดยพลัน
รถม้าจอดอยู่ใต้ร่มไม้ข้างทาง ทันใดท่านชายหนุ่มน้อยผู้หนึ่งก็กระโดดลงมาพร้อมกับโบกพัดไปมา
“เมืองหลวงรุ่งเรืองมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่เปลี่ยวเช่นนี้ ข้าหาแทบแย่”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางบ่น
ท่านชายเฉิงสี่มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา พอได้ยินคำพูดนั้นถึงได้สติ
“จะ เจ้า สิบเจ็ด เจ้ามาได้อย่างไร” เขาตะโกน
…………………………