พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 250 พูดคุย
ม้าที่ควบมาอย่างเร็วไวหยุดลงอย่างกะทันหัน
จนปั้นฉินลำตัวโคลงเคลงไปมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ” นางถามพลางแหวกม่านรถออกมา
“มีคนมีมากินข้าวที่หอเต๋อเซิ่งแล้วไม่จ่ายเงิน เลยโดนไล่ออกมาน่ะ” คนขับรถม้าเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น พลางชะเง้อคอมองออกไป “ท่าทางดูเป็นพวกบัณฑิตเรียนหนังสือเสียด้วย พวกคงแก่เรียนก็ไส้แห้งเช่นนี้แล”
“ช่างเถอะ” สาวใช้เอ่ย “พวกเรายังมีธุระอีก”
คนขับรถม้ารีบหดคอลงไม่กล้าดูต่อ ก่อนจะเคลื่อนรถอ้อมฝูงชนไป
เมื่อม่านรถถูกปิดลง เสียงโหวกเหวกโวยวายจากภายนอกก็ไม่อาจแทรกเข้ามาได้อีกต่อไป
ยามขับผ่านชายหนุ่มสองคนที่ถูกไล่ตะเพิดออกมา คนขับรถม้าก็เหลือบมองและหัวเราะเยาะอย่างอดไม่ได้
“หน้าตาก็ดี” เขาพึมพำกับตัวเองพลางยักคิ้วให้ชายหนุ่มทั้งสอง “แต่ว่าสาวงามแห่งหอเต๋อเซิ่งไม่ได้ดูคนแค่ที่หน้าตาหรอกนะ”
ประโยคนั้นทำให้หนึ่งในชายหนุ่มหันมามองอย่างโกรธเคือง
ทว่าคนขับรถม้ากลัวเขาเสียที่ไหนกันเล่า
“พวกบ้านนอก!” เขาเอ่ยเสียงเย้ยหยันก่อนจะสะบัดแส้เร่งม้าออกไป
เขาตั้งใจเคลื่อนรถม้าผ่านชายหนุ่มทั้งสอง ทว่ากลับได้เสียงสถบด่ากลับมา
“คนเมืองหลวงหยาบคายไร้มารยาทนัก!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะเบนสายตากลับไปที่สาวใช้ “ข้าจะไถ่ตัวเจ้ากลับเจียงโจว เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
รถม้าเคลื่อนตัวผ่านไป เสียงจากด้านนอกที่ลอยผ่านม่านเข้ามาในตัวรถไม่นานก็จางหายไป แทนที่ด้วยเสียงตะโกนขายของและเสียงหัวเราะขับขัน
“คนขับรถม้าผู้นี้ใช้ไม่ได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ” สาวใช้กดเสียงเบา “นายหญิงเจ้าคะ เราควรซื้อรถม้าของเราเองได้แล้วนะเจ้าคะ จินเกอร์ก็โตแล้ว ก็ควรจะหัดเรียนรู้อะไรเสียบ้าง จะเที่ยวเล่นไปวันๆ คงไม่ได้แล้ว ต้องฝึกวิชาอะไรติดตัวเสียบ้างแล้ว ท่านชายสี่ก็บังคับม้าเก่งมากเลยนะเจ้าคะ ให้เขาสอนจินเกอร์ดีไหมเจ้าคะ”
“ท่านชายสี่บังคับม้าเป็นด้วยหรือ” ปั้นฉินถามอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้า สีหน้าแฝงไปด้วยความชื่นชม “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้สังเกตสักเท่าไหร่ ตอนนั้นที่เรือนไท่ผิงรถม้าเยอะนัก ม้าหลายตัวก็พากันพยศ พวกเด็กจูงรถม้าเองก็ทำอะไรไม่ถูก พอท่านชายสี่รู้เรื่องเข้าก็มาช่วย วนม้าตะโกนอยู่แค่สองรอบ ม้าทั้งหมดก็เชื่องราวกับกระต่ายขาวตัวน้อย”
ปั้นฉินหัวเราะขึ้นมา
“จริงๆ นะ ท่านอย่าหัวเราะสิเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยพลางเอื้อมมือไปเขย่าตัวเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิง นายหญิงก็เห็นใช่ไหมเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางแล้วพยักหน้า
“หลังจากนั้นข้าก็คอยสังเกต หากเป็นม้าที่ท่านขี่ ท่านชายไม่ต้องชี้นิ้วบอก ม้าก็เดินตามมาเองเลยล่ะ” สาวใช้พูด “แต่ก่อนข้าเคยได้ยินนายใหญ่บอกว่า ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีขุนนางทหารคนหนึ่งฝึกม้าได้ยอดเยี่ยมนัก แม้แต่ม้าที่แสนธรรมดา หากผ่านมือเขาแล้วล่ะก็จะกลายเป็นม้าชั้นดีเหมือนดั่งม้าจากแม่น้ำซีเหอเชียวล่ะ”
ปั้นฉินพยักหน้า เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“ท่านชายสี่เก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” นางเอ่ย
“เก่งทุกเรื่องเลย อย่าได้ดูถูกเชียวนะ” สาวใช้ตอบ
ระหว่างที่ภายในรถกำลังพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ไม่นานรถม้าก็ลัดเลาะผ่านถนนแล้วหยุดลงที่หน้าเรือนนางฟ้า
“น้องสาวมาตรวจตราหรือ” เสียงเอ่ยขบขันของสวีปั้งฉุยออกมาต้อนรับ จงใจเอ่ยหยอกล้อ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับเขา
“น้องสาวชอบล้อข้าเล่นแบบนี้นักเชียว” สวีปั้งฉุยรีบวิ่งหนีไป
เขากลัวการคำนับพิธีรีตองเช่นนี้เป็นที่สุด
“ไปร้านยามาหรือ” สวีเม่าซิวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ร้านยาเชิญหมอมาใหม่สองคน” นางเอ่ย
ผู้คนหลั่งไหลมารักษาที่อี๋ชุนถังมากมาย ทว่าเฉิงเจียวเหนียงยังไม่เคยรับรักษาเลยสักหน เพียงแต่กำชับให้ผู้ดูแลร้านตั้งใจจัดการงานในร้านยาเท่านั้น ยาต้องดี หมอต้องเก่ง แน่นอนว่าค่าตอบแทนก็ต้องสูงเช่นกัน
“โรคร้ายแรงถึงตายไม่ได้พบเจอบ่อยนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “แต่ก็เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก หากเทียบกันระหว่างวิชาการรักษากับวิชาแพทย์แล้ว อย่างไรเสียต้องยึดตำราวิชาแพทย์ไว้ก่อน แล้วค่อยใช้การรักษาเป็นตัวเสริม”
“น้องสาวช่างมีคุณธรรมนัก” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวมามองเขาก่อนจะเผยยิ้มบาง
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก” นางเอ่ย “อันที่จริงข้าไม่ได้ร้อนเงิน”
สวีเม่าซิวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่น
ทั้งสองเดินไปตามระเบียงพลางพูดคุยหัวเราะกัน ระหว่างทางเดินนั้นช่างเงียบสงบ มุมหนึ่งของระเบียงมีดอกบัวสำริดตั้งอยู่ กลุ่มควันจางๆ ลอยผุดมาจากด้านบนของดอกไม้ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วทั้งระเบียงทางเดิน
เรือนนางฟ้าขายเพียงแค่นางฟ้าผ่านทาง ยามฤดูร้อนเช่นนี้ลูกค้าไม่มากนัก ทว่าที่นี่มีเนื้อชั้นเลิศและผักชั้นดี ล้วนแต่เป็นของสดใหม่ที่ได้จากวันนั้น หลายคนคงเคยเห็นเรือนนางฟ้าทิ้งเนื้อและผักที่ขายไม่หมดในวันนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดให้ผู้คนมากมายมาคอยเฝ้าที่เรือนนางฟ้าเพื่อเก็บผักและเนื้อเหล่านั้น แต่พอร้านเปิดมานานเข้า เนื้อและผักที่นำมาทิ้งก็น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน
เนื้อและผักชั้นยอด เครื่องครัวและภาชนะล้วนแต่ทำจากเงินและทองคำแท้ ห้องส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม ย่อมดึงดูคนให้เข้ามา
แพงไม่กลัว คนบางกลุ่มกลัวไม่แพงเสียด้วยซ้ำไป
“ค่าใช้จ่ายเยอะเกินไป” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยพลางยื่นบัญชีให้ “คาดว่าอีกปีหนึ่งถึงจะเริ่มมีกำไร”
“จะกำไรหรือขาดทุนก็อย่าได้ใส่ใจ ทำให้สนุกก็พอ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ผู้ดูแลร้านอู๋ก็หัวเราะเช่นกัน
ไม่ว่าจะทำการใดบนโลกนี้ หากจะต้องการได้เงินก็ย่อมต้องเสียเงินก่อน เหมือนดั่งที่นายหญิงพูด ทองล้วนแลกมาด้วยเงินทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่สูญเสีย
ผู้ดูแลร้านเช่นเขานั้นกลัวที่สุดก็คือเถ้าแก่ที่ไม่ยอมเสียเงิน แต่อยากได้กำไรก้อนโต หรือไม่ก็พวกที่เพิ่งลงทุนได้ไม่นานก็ถามหากำไรเสียแล้ว
ทว่าคนประเภทที่มีเงินแต่ไม่หน้าเงินและมีความอดทนต่างหากที่ได้กำไรมากที่สุด
ได้พบเจ้ากับเถ้าแก่เช่นนี้ ก็เหมือนช่างฝีมือได้เพชรน้ำงามมาอยู่ในมือ พร้อมทั้งเครื่องมือที่เหมาะสมกับงาน และเวลาที่เพียงพอให้เขาเจียระไนชิ้นงานชั้นเลิศออกมา
เฉิงเจียวเหนียงมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่าที่ท้ายเรือนมีเป้าฟางตั้งอยู่
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ พวกเราเองก็ได้ใช้เหมือนกัน ก็เลยทำไว้อันหนึ่ง เช่นนี้แล้วอยากยิงเล่นเมื่อใดก็ได้” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางหันไปส่งยิ้มบางให้เฉิงเจียวเหนียง “ผอมแห้งเกินไปแล้ว ต้องตั้งใจฝึกแล้วละ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า พลางยกชายกระโปรงเดินออกไป
“คราวนี้ข้าจะใช้ธนูของท่านพี่”
ณ ท้ายลานบ้าน เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น ขณะที่สาวใช้กำลังช่วยมัดแขนเสื้อให้
“โธ่ เจ้าผอมบางทั้งตัวทั้งท่อนแขน จะใช้ธนูของพวกข้าได้อย่างไร” สวีปั้งฉุยเอ่ยพลางหัวเราะอยู่ข้างๆ
“ตอนเริ่มแรกพี่หกก็ใช้หน้าไม้สามหัวเลยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สวีปั้งฉุยหัวเราะทว่ากลับไม่เอ่ยคำใดต่อ
สวีเม่าซิวเองก็หยิบธนูของตัวเองขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าลืมหน้าไม้สามหัวไปได้เลย เขาเองก็เพิ่งง้างได้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง” เขาเอ่ย “หากเจ้าง้างธนูแปดโต่วคันนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงรับมาก่อนจะยืนตั้งมั่นแล้วง้างธนู เป็นไปดังคาดคันธนูหลุดจากมือของนาง
สวีปั้งฉิวหัวเราะออกมาในทันใดเมื่อเห็นนางพลาด
เฉิงเจียวเหนียงยืนให้มั่นอีกครั้ง นางสูดหายใจลึก แม้ร่างโซเซแทบจะล้มแต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ
“เพราะพี่สามนั่นแหละ มัวแต่ห่วงสนุกเฉพาะตัวเอง ไม่ยอมเตรียมธนูสำหรับเด็ก…” สวีปั้งฉุยหัวเราะยกใหญ่
สวีเม่าซิวถลึงตาใส่เขา
“เจ้าว่างนักรึ” เขาเอ่ย
สวีปั้งฉุยหัวเราะพลางป้องปาก
สวีเม่าซิวเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าคันธนูเอาไว้
“ออกแรงตรงนี้” เขาเอ่ยพลางจับที่คันธนู “เอาล่ะ จากนั้นก็ง้าง”
เฉิงเจียวเหนียงออกแรง นางดึงเส้นไหมของสายธนูจนร่างสั่นไหว ใบหน้าของนางเผยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เฉิงเจียวเหนียงหมดแรง สวีเม่าซิวรีบเข้าไปคว้าคันธนูไว้ ก่อนจะง้างสายออกพร้อมทั้งคีบลูกธนูไว้แน่น
เสียงผึ่งดังขึ้น ลูกศรเคลื่อนออกจากคันธนู ก่อนจะปักลงอย่างมั่นคงบนเป้าฟาง
“ไม่ไหวจริงๆ สินะ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มพลางเหลียวหลังไปพูดกับเขา
ภายใต้แสงอาทิตย์ ใบหน้าผ่องใสหมดจดของหญิงสาวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขานั้น ใกล้จนมองเห็นแม้กระทั่งขนตาเรียงเส้นบนใบหน้า
สวีเม่าซิวตกใจไม่น้อย เขารีบลดมือลงก่อนจะถอยหลังออกไป ตื่นกลัวเกินไปจนทำอะไรไม่ถูก
“ข้าเสียมารยาทเอง ข้าเสียมารยาทเอง” เขาเอ่ยอย่างรีบร้อน
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ข้าต่างหากที่เสียมารยาท” นางเอ่ยพลางหัวเราะ
สวีเม่าซิวก็หัวเราะเช่นกัน
“น้องสาวค่อยๆ ฝึก วันหน้าหากง้างธนูห้าโต่วหรือหกโต่วได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
เฉิงเจียวเหนียงกินข้าวที่เรือนนางฟ้า ขณะสองนายบ่าวสวีเม่าซิวและผู้ดูแลร้านอู๋ส่งเฉิงเจียวเหนียงกลับ ก็เป็นเวลาที่ลูกค้าเริ่มทยอยออกไปจากร้านพอดี ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งกำลังเข้ามาอย่างรีบร้อน
หญิงสาวคนหนึ่งมาพร้อมกับสาวใช้ ด้านหลังยังมีบ่าวที่เอาแต่ก้มหน้ารีบตามเข้ามาด้วย ทว่าระเบียงทางเดินนั้นคับแคบนัก สวีเม่าซิวและผู้ดูแลร้านอู๋จึงรีบหลีกทางให้ ทว่ายังไปทันจะเดินผ่านไป ประตูของห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ก้าวออกมา
“หน้าใหญ่นักนะ เจ้ามีเงินสักเท่าไหร่กันเชียว ถึงได้วิ่งโร่มากินข้าวที่นี่…” หญิงสาวเห็นเขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นในทันที นางกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
“ข้า ข้าไม่รู้นี่ว่าที่นี่จะแพงเช่นนี้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว ตั้งใจกดเสียงให้เบาลง “ก็ข้ามีเรื่องขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือนี่ ก็ต้องดูมีหน้ามีตาหน่อยมิใช่หรือ…”
“เจ้ามีหน้ามีตา แต่ข้าต้องขายหน้าต่อหน้าท่านพ่อ เงินเจ้าก็ไม่ใช่ เหตุใดถึงกล้ามือเติบเช่นนี้”
ยิ่งเสียงของนางดังขึ้นอีก ชายหนุ่มก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก พอสายตาเหลือบไปเห็นสวีเม่าซิวและผู้ดูแลร้านอู๋ก็ยิ่งกระอักกระอ่วน
“หยุดตะโกนได้แล้ว เข้ามาคุยข้างใน” เขากดเสียงให้เบา
หญิงสาวหันมามองสวีเม่าซิวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง
ผู้ดูแลร้านอู๋รีบเดินออกไป พอผ่านประตูไปก็ได้ยินเสียงประตูเปิดดังโครมขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ใหญ่สวีหรือ”
เสียงเรียกของหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านหลัง น้ำเสียงฟังดูราวกับกำลังเลลัง
สวีเม่าซิวหยุดชะงัก ทว่าไม่ได้หันไปในทันที
“ใช่สวีเม่าซิว พี่ใหญ่สวีใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยถาม พลางก้าวเดินออกมาจากประตู
ชายหนุ่มเองก็เดินตามออกมาด้วย สีหน้ายิ่งดูไม่สู้ดีกว่าเดิม
“เจ้าทักคนไปเรื่อย จำผิดคนแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา สายตายังคงจ้องมองอยู่ที่ร่างของสวีเม่าซิวที่ระเบียงทางเดิน ก่อนจะหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นเช่นนี้นี่เอง
สวีเม่าซิวหันหลังกลับไป พลางส่งยิ้มให้สองสามีภรรยาตรงหน้า
“สหายเซี่ยง พวกเจ้าเองหรือนี่” เขาเอ่ย แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ
………………….