พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 263 ตามกฎ
‘ทหารกล้าสังกัดป้อมปราการจย้าสือในเว่ยโจว ฟ่านเจียงหลิน ฟ่านสือโถ่ว ทหารม้าสวีซื่อเกิน สวีล่าเย่ว์ ทหารกล้าฟ่านซานโฉ่ว…’
‘เศษสวะอย่างพวกเจ้า! มีปัญญาหนีทัพ มีปัญญาเอาพี่น้องของตนมาเป็นโล่ มีปัญญามากนักก็มาสู้กับข้า…
‘เหตุใดเล่าเจ้าผู้กล้า ห้าวหาญชำนาญศึก นำทัพบุกทำลาย เจ้าดูสิว่ายามนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ …’ เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
สาวใช้และปั้นฉินกอดกันกลม ตัวสั่นงันงก พอหันไปเห็นรอยยิ้มของนายหญิงผ่านม่านน้ำตา ก็ยิ่งตกตะลึงกว่าเดิม
เวลาเช่นนี้ยังยิ้มได้อยู่อีกหรือ
“รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย มองลงมาจากหน้าต่างไปที่เรือน สายตาตกอยู่ที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สง่างามผู้นั้น
แม้จะดูห้าวหาญดิบเถื่อน แต่ก็ละเอียดรอบคอบไม่น้อย การพูดการจาสะเทือนอารมณ์และฟังดูมีเหตุมีผล คล้ายกับกำลังข่มขู่ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการปลุกใจ กระตุ้นฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ ให้รู้สึกฮึกเหิม
พอเห็นฟ่านเจียงหลินกับคนอื่นๆ ชะงักไปก่อนมือจะตกลงข้างลำตัว เฉิงเจียวเหนียงก็หันหลังเดินจากไป
สาวใช้กับปั้นฉินรีบเช็ดน้ำตาแล้วตามไป
นอกเรือนไท่ผิงเต็มไปด้วยผู้คนที่ล้อมเอาไว้ สีหน้าตกอกตกใจชี้มือชี้ไม้พลางวิพากษ์วิจารณ์
“ทหารลาดตระเวนกำลังจับกุมทหารหนีทัพ… ผู้ไม่เกี่ยวข้องอย่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่…”
เหล่าทหารขวางฝูงชนที่กรูเข้ามาด้วยหอกพลางตะโกนเอ่ยขึ้น
ประตูด้านข้างเรือนหลังที่เชื่อมต่อกับโถงด้านหน้าก็ถูกบรรดาทหารขวางเอาไว้ เพื่อป้องกันฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ หนีออกทางนี้ เหล่าบรรดาลูกค้ารวมถึงคนงานในร้านของเรือนไท่ผิงจึงถูกขวางเอาไว้เช่นกัน
หลี่ต้าเสาเองก็อยู่ในนั้น มือซ้ายของเขากำลูกเหอเถาสองลูก[1]ไว้แน่น
“พวกเจ้ามาจับผิดคนแล้ว!” หลี่ต้าเสาตะโกนบอกแล้วฝ่าเข้าไปจับหอกยาวของทหารนายหนึ่งเอาไว้ “พวกเจ้าจับผิดคนแล้ว!”
“ถอยไป! บังอาจมาขัดขวาง จะนับว่ามีความผิดร่วมด้วย!” เหล่าทหารตะคอกแล้วสลัดเขาออก
หลี่ต้าเสานั่งลงไปกองกับพื้น เหล่าคนงานในร้านรีบเข้าไปพยุงเขาไว้ พลางปลอบประโลม ก่อนจะมองไปอีกฝั่งอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าไปใกล้
หากเป็นเรื่องวุ่นวายดังก่อน พวกเขาก็ยังจะร่วมกันต่อต้านได้ แต่ยามนี้เป็นทางการที่ประกาศจะจับกุมทหารหนีทัพตั้งแต่แรก ไม่ใช่การหาเรื่อง และก็ไม่ความแค้นส่วนตัว
“ถอย ถอย”
เสียงหญิงนางหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ผู้คนต่างหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่ามีหญิงสาวอีกนางห้อมล้อมอยู่ด้านหลังหญิงผู้นั้น
หญิงผู้นี้แม้พวกเขาจะไม่คุ้นเคย แต่ก็รู้จัก
นางคือน้องสาวของเหล่าเถ้าแก่ในเรือน
แน่นอนว่าไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ
นางมาอยู่ที่นี้ได้ไม่นาน หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้วก็ไม่รู้ว่ามาติดตามเหล่าชายพวกนี้ผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันได้เช่นไร
คนงานในร้านหลีกทางตามสัญชาตญาณ
“นายหญิง” หลี่ต้าเสาเอ่ยเรียก รีบตามนางมา
เหล่าทหารเห็นผู้คนหลีกทางไป พอหญิงสาวผู้นี้เดินมาก็ต่างตกตะลึง
ยามนี้แม้แต่เหล่าหญิงสาวก็ชอบแส่เรื่องวุ่นวายไม่กลัวตายกันแล้วหรือ
“ถอยไป!” พวกเขาตะโกนบอก
“ข้าเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของเรือนไท่ผิง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองภายในเรือน “ข้าต้องการพบหัวหน้าของพวกเจ้า”
เถ้าแก่ใหญ่ของเรือนไท่ผิง!
เจ้าน่ะหรือ
แม่นางน้อยผู้นี้น่ะหรือ
ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าทหารที่เบิกตาโพรง แม้แต่คนงานในร้านก็ต่างเบิกตากว้างเช่นกัน
“เถ้าแก่ใหญ่รึ”
แม่ทัพหลิวได้ยินก็ตะลึงงันหันมามอง พอเห็นหญิงสาวยืนอยู่หน้าประตู ดวงตาพลันเบิกกว้าง
เป็นนางนี่เอง!
สาวใช้และปั้นฉินร้องไห้พลางช่วยกันทำแผลให้ชายที่ถูกธนูยิงที่หัวไหล่
“พวกพี่เป็นทหารหนีทัพหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“พะ…พวกเราโดนใส่ร้ายมาตั้งแต่แรก ไอ้ขี้ขโมยนั่นมันต้องการจะแย่งความดีความชอบของเรา พี่ใหญ่ไม่สนใจ ไปทุบตีมัน แต่ไอ้เด็กนั่นมันตายเองนะ กลับหาโทษมาให้เรา พวกเรา…” พี่น้องคนหนึ่งกล่าวขึ้น
แม่ทัพหลิวกอดอกยืนอยู่อีกฝั่ง มองพวกเขาคุยกันด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าไม่ได้ดุด่าหรือเย้นหยันอันใด
ทหารหนีทัพคนไหนบ้างเล่าจะไม่อ้างความยากลำบากและเหตุสุดวิสัย แม้กระทั่งเขาก็ยังพูดแทนได้เลยว่าเจ้าพวกนั้นจะเอ่ยคำใดต่อมา
“แล้วได้หนีหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามขัดขึ้น
พวกเขาต่างนิ่งอึ้ง
“ใช่ แต่ในตอนแรก…” เขากล่าว
“เป็นทหารหนีทัพ” เฉิงเจียวเหนียงขัดเขาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า
ชายคนนั้นทำท่าจะพูดอะไรต่ออีก แต่ถูกฟ่านเจียงหลินดึงไว้
“ใช่ พวกเราเป็นทหารหนีทัพ” เขาพยักหน้าเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองแม่ทัพหลิว
“ท่านมาจับทหารหนีทัพหรือ” นางถาม
แม่ทัพหลิวโบกหนังสือราชการในมือไปมา
“ถูกต้อง ตรวจสอบหนังสือราชการแล้วว่าเป็นความจริง” เขาบอก “ทหารลาดตะเวน จับกุมคนชั่ว มีหน้าที่ไล่ล่ามาให้ได้”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ลำบากใต้เท้าแล้ว” นางกล่าวพลางหลีกทางให้ “ในเมื่อตรวจสอบแล้วว่าเป็นความจริง ก็ขอใต้เท้าทำตามในหนังสือเถิด ต้องการให้เรือนไท่ผิงทำอะไรก็ให้รีบบอกมา”
กล่าวจบ คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างนิ่งชะงักกันหมด
“นายหญิง…” หลี่ต้าเสาเอ่ยปากด้วยความกังวลอย่างอดไม่ได้
แม่ทัพหลิวพินิจพิเคราะห์เฉิงเจียวเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง
“แม่นางไม่คิดว่าพวกเราจับผิดคนหรือ” เขาเอ่ยถาม
“ใต้เท้าทำตามกฎหมายบ้านเมือง มีที่ใดไม่ถูกต้องหรือ” เฉิงเจียวเหนียงย้อนถาม
เหตุใดกลับมาเป็นเขาที่ถูกนางไล่ถามด้วย เขากลายเป็นฝ่ายถูกสงสัยเสียแล้ว
แม่ทัพหลิวกระแอมขึ้น
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ถามพวกเขาว่าทำไมจึงหนีทัพ” เขากล่าวขึ้นอีก “อาจจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ได้”
เฉิงเจียวเหนียงมองท่าทางเคร่งขรึมของเขา
“ต่อให้จะมีเหตุสุดวิสัย พวกเขาก็เป็นคนหนีทัพไม่ใช่หรือ” นางเอ่ย “เพียงแค่หนีทัพก็ผิดวินัยแล้วไม่ใช่หรือ”
แม่ทัพหลิวตะลึงไปอีกครั้ง
“ใช่” เขาตอบอย่างอดไม่ได้
ยามนี้เขาเหมือนทหารผู้น้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับกับท่านนายพลผู้ฝึกทัพ
ถุย
แม่ทัพหลิวได้สติแล้วถุยน้ำลายอยู่ในใจ
พูดจาเหมือนรักความยุติธรรม มีเหตุมีผล ไม่ใช่เกรงกลัวว่าจะโดนลากเข้าไปเกี่ยวด้วย แต่ในใจคงมีแผนการชั่วร้ายแฝงอยู่เป็นแน่!
รักษาวินัย บนโลกนี้ไม่เคยมีผู้ใดรักษากฎระเบียบวินัยได้สักคนหรอก นอกจากคนที่ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมแล้ว ก็เหลือแต่คนที่ใช้กฎระเบียบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ก็เท่านั้น
“พาตัวไป” แม่ทัพหลิวโบกมือหันหลังเดินจากไป
ฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ ถูกผลัก ก่อนจะถูกตะคอกให้เดินไปอยู่ด้านหน้า ยามเดินผ่านเฉิงเจียวเหนียงก็หยุดฝีเท้าลง
“น้องสาว พี่ขอโทษ พวกเราปิดบังเจ้ามาโดยตลอด” ฟ่านเจียงหลินกล่าว
“ข้ารู้จักเพียงพวกท่านที่เป็นพี่ชายของข้าในตอนนี้ ส่วนอดีตนั้นไม่เกี่ยวกับข้า” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางพลางเอ่ย “ข้าไม่ต้องการรับรู้”
เช่นนั้นวันหน้าเล่า
ฟ่านเจียงหลินเอ่ยขึ้นมาในใจ
“น้องสาวรักษาตัวด้วย พวกเราทำเจ้าลำบากแล้ว” ในที่สุดเขาก็หยักยิ้มเอ่ยขึ้น
“ไม่ลำบากหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว ค้อมกายคำนับ “พวกพี่ๆ รักษาตัวด้วย”
เหล่าทหารจากไปแล้ว ฝูงชนที่มามุงดูเรือนไท่ผิงกลับยังไม่แยกย้ายไป ชี้มือชี้ไม้เอียงหน้าซุบซิบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ผู้ดูแลร้านคนใหม่ของที่นี่เรียกคนงานมาเก็บกวาดร้าน พลางยิ้มเชิญลูกค้าให้ไปนั่ง
“ผู้ดูแล เถ้าแก่ของพวกเจ้าถูกจับไปหมดแล้วเช่นนี้ ยังจะเปิดกิจการต่อได้อีกหรือ”
บรรดาลูกค้าต่างเอ่ยถามกันวุ่น
เรือนไท่ผิง[2]ตั้งชื่อนี้อย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ เสียแล้ว ตั้งแต่เปิดกิจการมาจนถึงตอนนี้ ไม่เคยสงบสุขเลยแม้แต่น้อย
เกิดเรื่องวุ่นไปแล้วตั้งเท่าใด หากไม่ใช่เรื่องที่ถูกพวกอันธพาลมาหาเรื่องถึงที่ ก็เป็นเรื่องฆ่าคน ยามนี้ก็ถูกทางการมาล้อมแล้วจับกุมไปอีก
นี่ใช่ร้านอาหารจริงหรือ คงไม่ใช่รังโจรและบรรดาลูกสมุนหรอกกระมัง
ผู้ดูแลหัวเราะออกมายกใหญ่
“บางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ หนำซ้ำผู้ที่ถูกจับไปก็ไม่ใช่พ่อครัว” เขาตอบพลางชี้มือชี้ไม้ “อีกทั้ง เถ้าแก่ใหญ่ของพวกเราก็ยังอยู่”
สายตาของผู้คนมองไปยังภายในเรือนอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวที่มองดูคนงานเก็บกวาดกันอย่างรีบเร่งผู้นั้น สีหน้าเรียบเฉยนัก ท่าทางมั่นอกมั่นใจเหมือนเตรียมแผนเอาไว้แล้ว
ดูจากการแต่งตัวแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดา ก็จริง เปิดกิจการร้านอาหารเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังเอาตัวรอดในเหตุการณ์แต่ละครั้งได้ ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังก็ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ที่แท้นางก็คือเถ้าแก่ที่แท้จริงของเรือนไท่ผิงนี่เอง
“เจอเรื่องเช่นนี้เข้าก็ต้องลดราคาให้สักหน่อยแล้วกระมัง” มีคนตะโกนขึ้น
ผู้ดูแลหัวเราะลั่น
“พูดได้ดี พูดได้ดี” เขาหัวเราะฮ่า
เรือนไท่ผิงค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม ลูกค้ากลุ่มนี้ออกไป ลูกค้ากลุ่มใหม่ก็เข้ามา เรื่องนี้ก็ค่อยๆ จางหายไปดั่งสายน้ำ เหมือนดั่งที่ผู้ดูแลร้านได้พูดไว้ หนึ่งคือคนที่โดนจับไปไม่ใช่พ่อครัว สองนั้นเจ้าของที่แท้จริงยังอยู่ ทุกอย่างยังคงสงบสุขเหมือนดั่งเคย ทางการมาตามจับทหารหนีทัพต่างหาก ไม่ใช่กับเรือนไท่ผิงเสียหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
หลี่ต้าเสาไม่รู้ว่าตัวเองนั่งในเรือนอยู่นานเท่าใด พอเขาเงยหน้าขึ้น รอบด้านก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เสียงหัวเราะพูดคุยดังอยู่ภายในร้าน เหล่าพนักงานเดินเข้าออก เร่งอาหาร ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“อย่ากังวลไปเลย” ไม่รู้ว่าซุนไฉมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด เขาเอ่ยขึ้น “มีนายหญิงอยู่ ต้องไม่เป็นไรแน่นอน”
“แต่ละวันช่างยากจะหาความสงบสุขได้จริงๆ” เขาเอ่ย
“ความสงบสุขได้ตายไปแล้ว” ซุนไฉหัวเราะคิกคักแล้วพูดขึ้นต่อ “แต่ว่าคนกลับไม่ยอมตายจากไปเสียที”
หลี่ต้าเสาส่งเสียงถุยแล้วหัวเราะออกมา
“ปากเสียนัก พูดจาไม่เป็นมงคล!” เขาเอ่ยขึ้น พอได้หัวเราะออกมาก็ผ่อนคลายความกังวลภายในใจไปได้ไม่น้อย
“อย่ากังวลไปเลย เรื่องร้ายกลายเป็นดีแน่นอน” ซุนไฉยิ้มกล่าว
หลี่ต้าเสาพยักหน้า คลึงลูกเหอเถาในมือไปมา
“นายหญิง…” เขาหันไปมองนอกประตู “ชีวิตก็ไม่ง่ายเลยนะ…”
คราวนี้จะทำอย่างไรดีนะ
แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือ นายหญิงต้องไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้เป็นแน่
……………………..