พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 280 ไม่เหมือน
“นางไม่ได้หาอีกหรือ”
นายใหญ่เฉินเอ่ยถาม
บ่าวชราพยักหน้า
“พวกทหารหนีทัพถูกตัดสินโทษแล้วหรือ” นายใหญ่เฉินถาม
บ่าวชราพยักหน้า
“ตัดสินตั้งนานแล้วขอรับ ทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อกังขาใด” เขาตอบ
จะมีข้อกังขาหรือไม่ ก็คงต้องรอดูหลังจากประหารทหารหนีทัพเหล่านั้นแล้วต่างหาก
นายใหญ่เฉินเงียบไปครู่หนึ่ง
“นาง… ได้ไปหาผู้ใดอีกหรือไม่” เขาถาม
คราวนี้บ่าวชรากลับส่ายหน้า
“ไม่มีขอรับ” เขาตอบ พอพูดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะทำสีหน้าสงสัย “เหมือนจะไปมาครั้งหนึ่ง… ไปที่สำนักบัณฑิตของอาจารย์เจียงโจว”
จางฉุนอย่างนั้นรึ
หากจางฉุนเป็นคนออกหน้าพูด…
แต่ว่าบัณฑิตผู้ซื่อตรงเช่นนั้นจะมาออกหน้าแก้ตัวให้กับทหารหนีทัพได้อย่างไร
“ยังมีคนบอกว่า…. พี่ชายสี่ของนางเรียนอยู่ที่สำนักบัณฑิตแห่งนั้นด้วย สองพี่น้องพูดคุยกัน แถมพี่ชายยังให้เงินน้องสาวอีกต่างหาก…” บ่าวชราพูดต่อ
นายใหญ่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า
เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว ถึงได้บอกว่าอย่างไรเสียก็คงเป็นไม่ได้
นางคงไม่เหลือใครให้ไปหาได้แล้วกระมัง หากจะพูดให้ถูกก็คือไม่เหลือใครที่จะช่วยเหลือนางได้ให้นางไปหาแล้ว
หญิงผู้นี้เลื่องชื่อในเมืองหลวงนัก แต่เพราะต้องขอความช่วยเหลือในเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ จึงถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกับเจ้าใหญ่นายโตในเมืองหลวงถูกตัดขาด ผลลัพธ์ที่ได้ก็มิได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวเมืองหลวงดังแต่ก่อน สำหรับคนเมืองหลวงที่ชอบเรื่องราวแปลกใหม่แล้ว ยามนี้ชื่อเสียงของเฉิงเจียวเหนียงคงไม่ได้โด่งดังเหมือนปีกลายที่ผ่านมา แม้ยามนี้นางจะใช้วิชาแพทย์เที่ยวไปสานสัมพันธ์กับผู้ใดก็คงจะไม่ได้ผลเสียแล้ว
หญิงฉลาดเช่นนางคงรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจดี
“ความจริง แม่นางเฉิงก็เมตตาทั้งเจ็ดคนนั้นเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้แล้ว เรื่องนี้คงไม่ถูกสืบสาวมาถึงนางเป็นแน่ นางคงไม่โดนหางเลขใด แม่นางเฉิงคงวางใจได้แล้วกระมัง” บ่าวเฒ่าเอ่ย
นายใหญ่เฉินส่ายหน้า
“นางไม่คิดเช่นนั้นหรอก” เขาเอ่ย
นอกจากจะฉลาดหักแหลมแล้ว นางยังเป็นคนที่หยิ่งทะนงผู้หนึ่ง
คนที่ทะนงตนเช่นนั้นไม่เคยยอมแพ้
“ไหนเจ้าเล่ามาสิ ว่าในเมืองหลวงมีข่าวคราวอันใดบ้าง” เขาคิดอะไรได้บางอย่างจึงโพล่งถามขึ้นมา “เรื่องที่คนสะดุดล้มหัวฟาดตายอะไรนั่น”
“อ๋อ มีชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งอยู่ จู่ๆ ก็สะดุดล้มหัวฟาดตายที่หน้าเรือนนางฟ้า” บ่าวชราตอบ
เรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้นในเมืองหลวงมากมายไม่เว้นแต่ละวัน ยังดีที่นายใหญ่เฉินให้เขาติดตามเพียงแค่เรื่องคนและร้านที่เกี่ยวข้องกับแม่นางเฉิง
แม้คนสะดุดล้มหัวฟาดตายกลางถนนจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากเรื่องไม่เกิดที่หน้าร้านเรือนนางฟ้าพอดี บ่าวเฒ่าผู้นี้คงไม่เก็บมาใส่ใจ
ตอนที่ตอบนายใหญ่เฉินไป เขาเองก็เกือบลืมไปแล้วเช่นกัน
นายใหญ่เฉินนิ่งไปครู่ใหญ่
หรือว่าคนที่สะดุดล้มหัวฟาดตายจะเกี่ยวข้องกับนาง
“เขาเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยประจำประตูเมือง ติดการพนัน แถมยังเป็นเขยที่แต่งงานเข้าบ้านฝั่งภรรยาอีกต่างหาก ตอนนั้นถูกพ่อตาไล่ตะเพิด ตกใจจดสะดุดล้มหัวฟาดตายไป” บ่าวชราเล่าต่อ
ได้ยินเช่นนั้นนายใหญ่เฉินก็เข้าใจในทันที ก่อนจะเอ่ยพึมพำกับตนเองแล้วส่ายหน้า
หรือว่าตัวเขาจะคิดมากเกินไป ไม่ว่าผู้ใดล้มตายในเมืองหลวงขึ้นมา ถึงได้คิดถึงแม่นางผู้นี้ตลอด
เขาเหลียวไปมองฉากกั้นลมที่อยู่ในห้อง จุดกลมที่เคยทำเครื่องหมายบนนั้นแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่กลับยังคงสะดุดตาอยู่เช่นเคย
“ความจริงแล้ว หากทหารหนีทัพพวกนั้นไม่ตาย ก็คงไม่มีผลอันใดกับเหล่านายท่านใช่ไหมขอรับ” บ่าวเฒ่าถาม
นายใหญ่เฉินพยักหน้า
“ไม่มีผลอันใดหรอก เพียงแต่มันขัดใจน่ะ” เขาเอ่ยพลางสูดหายใจเข้าลึก “เพียงแต่คราวนี้พวกเขาไม่อยากจะขัดใจตัวเองไปใส่ใจเรื่อง…เรื่องเล็กพวกนี้ ไม่รู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน มนุษย์เราก็เช่นนี้แล ยอมสละบางสิ่ง เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตน แต่คนเรากลับเอาแต่แก่งแย่งเกียรติยศศักดิ์ศรี แต่ไม่ยอมสละสิ่งใด”
บ่าวชราพยักหน้าไม่เอ่ยคำใด
“อาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย ยากนักที่เรื่องราวจะเป็นไปตามใจหวัง” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางยืนขึ้น “คนหนุ่มหนอ หากต้องพบเจอเรื่องเช่นนั้นเพื่อขัดเกลาตนเองก็มีใช่เรื่องแย่อะไร”
“นายท่านเข้าวังหลวงหรือ” นายใหญ่เฉินถาม
บ่าวเฒ่าพยักหน้า
“ผ่านมาสามวันแล้ว คงถึงเวลาชี้แพ้ชี้ชนะแล้วสินะ” นายใหญ่เฉินเอ่ย ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินเหม่อมองท้องฟ้า
วันนี้เมฆดำมืดครึ้ม ท่าทางคงจะพัดพาดสายฝนแห่งสารทฤดูมาด้วย
“เราไปเดินเล่นที่วัดเฉี่ยถิงกันเถิด” นายใหญ่เฉินเอ่ย “จุดธูปไหว้พระ ฟังเทศน์เสียหน่อย”
ไม่ว่าคราวนี้จะแพ้หรือชนะก็ล้วนแต่วางใจไม่ได้ทั้งนั้น
แม้จะเคารพนับถือเทพเซียนจนไม่อยากจะรบกวนท่าน แต่พอพบเจอเหตุการณ์ไม่ขาดฝัน ผู้คนก็ยังอยากจะหาที่พึ่งพิงอย่างอดไม่ได้
บ่าวเฒ่ารับคำแล้วรีบไปเตรียมรถม้า
ในเวลาเดียวกัน ภายในวิหารเจ้าแม่กวนอิมของวัดผู่ซิวที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวงและสะดวกสำหรับการพระขอพรมากที่สุดก็อบอวลไปด้วยควันธูป
“ท่านพ่อ ไม่ต้องจุดธูปมากมายเช่นนั้นก็ได้กระมังเจ้าคะ”
เสียงไอสำลักตามมา แม่นางต่งยกมือขึ้นปัดควันธูป
“ทำอะไรของเจ้า! ยังไม่รีบก้มกราบอีก!” เขาตะคอก
แม่นางต่งเองก็ไม่ได้เต็มใจมาสักเท่าไหร่นัก แต่นายใหญ่ต่งก็เอาแต่เร่งให้เหล่าแม่นมพาหลานน้อยทั้งสองมาไหว้พระ เด็กน้อยจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร คงคิดว่ากำลังเล่นสนุกกระมัง ก้มกราบไปก็หัวเราะคิกคักกันไป จนนายใหญ่ต่งหันมาดุสั่งสอน
“ท่านพ่อ เด็กไม่รู้ความ ก้มกราบไปก็เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ” แม่นางต่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ให้ท้ายลูกชายทั้งสอง
“จะรู้หรือไม่รู้ก็ต้องไหว้ นี่มันเรื่องเป็นเรื่องตายของคนในบ้านเรานะ!” นายใหญ่ต่งตะโกนเสียงทุ้ม พลางถลึงตาใส่ “รีบคุกเข่าลง อธิษฐานขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองพวกสวีเม่าซิวให้ปลอดภัย!”
คำอธิษฐานนั้นตรงกับความตั้งใจของแม่นางต่งพอดี
หน้าวิหารเจ้าแม่กวนอิม คนเฒ่าคนแก่และลูกหลานทั้งตระกูลยืนกันเรียงราย จนคนอื่นที่จะมาจุดธูปไหว้พระต้องรอกันอีกนานโข เสียงตำหนิติฉินจึงดังขึ้นเรื่อยๆ
ณ วังหลวง ประตูฉงหวา ขันทีผู้หนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมทำไม้ทำมือส่งสัญญาณ ผ่านไปครู่หนึ่งจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ค่อยๆ เดินออกมาจากอีกทาง พอผ่านประตูวังก็เห็นว่าองค์ชายใหญ่เดินมาเช่นกัน
“เช้าเช่นนี้ ฝ่าบาทจะไปที่ใดหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะคำนับแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เช้าเช่นนี้อย่างนั้นรึ
องค์ชายใหญ่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า มีแต่คนไม่ทำการทำงานเท่านั้นแลถึงจะคิดว่ายังเช้าอยู่
“ท่านพ่อให้ข้าไปฟังคำตัดสินคดีที่ศาล”
แม้คร้านจะใส่ใจกับคนผู้นี้ แต่พอเห็นว่าเรื่องที่ตนจะทำควรค่าแก่การโอ้อวดไม่น้อย องค์ชายใหญ่จึงได้ตอบออกไป
นี่มิใช่ครั้งแรกที่องค์ชายใหญ่ในวัยสิบเจ็ดปีผู้นี้จะไปฟังคำตัดสินคดีแต่อย่างใด
“สนุกไหมพะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามอย่างใคร่รู้ “ได้ยินมาว่าพวกอำมาตย์ชั้นสูงมักจะทะเลาะกันเป็นประจำ โต้เถียงกันเสียดุเดือด”
สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีแล้ว การนั่งฟังการพิพากษาในศาลย่อมเป็นเรื่องน่าเบื่ออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบางคนกลับไม่มีโอกาสลิ้มรสความเบื่อหน่ายนี้เลยสักครั้งในชีวิต ทว่ายามนี้ความน่าเบื่อนั้นกลับกลายเป็นความเพลิดเพลิน
“แน่นอน เมื่อวานนี้อำมาตย์เฉินยืนเถียงเจ้ากรมกิจการเกาอยู่นานเป็นชั่วยาม เขาฟังจนเหนื่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด” องค์ชายใหญ่เอ่ย
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือพะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงตกใจอย่างปิดไม่มิด “เช่นนั้นก็คงเหนื่อยแย่”
พวกเขาพูดคุยกันจนเดินมาใกล้ตำหนักฉงเจิ้ง
“ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว ฝ่าบาทรีบไปเถิดพะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยด้วยความเห็นใจ
องค์ชายใหญ่พยักหน้าให้อย่างเย่อหยิ่ง
ไปเที่ยวเล่นเถิด เจ้าสวะ
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ จิ้นอันจวิ้นอ๋องรอจนกระทั่งองค์ชายใหญ่เดินเข้าตำหนักไป ก่อนจะเดินจากไป
ทุกคนล้วนแต่มาถึงโถงว่าการแล้ว มีทั้งเลขานุการฝ่ายตรวจการและขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็มากันพร้อมหน้า
ผู้คนที่มายังคงเป็นคนกลุ่มเดิม ไม่ได้แตกต่างจากสามวันก่อนเลยแม้แต่นิด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องท่าทางเป็นกังวลไม่น้อย ฝีเท้าจึงเร่งความเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าจู่เขากลับหยุดลงอย่างกะทันหัน แล้วมองไปยังเบื้องหน้า
ขุนนางร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า ท้องฟ้ายามนี้เต็มไปด้วยเมฆครึ้ม พร้อมกับเสียงฟ้าคำราม ทว่ากลับไม่มีผลต่อจังหวะการเดินของขุนนางผู้นั้นแต่อย่างใด เหล่าผู้คนที่พบเห็นมั่นใจว่าแม้สายฝนจะโหมกระหน่ำลงมายามนี้ ขุนนางผู้นี้ก็คงสงบนิ่งดังเดิม
“ท่านอาจารย์ก็มาด้วยหรือ…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหรี่ตามอง “ในที่สุดก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้วสินะ… ท่าทางที่ประชุมศาลวันนี้ คงโต้เถียงกันจนดังลั่นไปทั้งตำหนักเป็นแน่”
เขามองจนกระทั่งจางฉุนเดินเข้าไปในตำหนัก จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงได้ละสายตากลับมา
สายฟ้าผ่าบนท้องฟ้ารวมตัวกัน ไม่นานหยาดฝนก็พากันโปรยปรายลงมา
เสียงฟ้าร้องจากนอกตำหนักเริ่มเบาลง สายฝนที่โหมกระหน่ำเริ่มกลายเป็นปรอยละออง
น่าจะตกมาประมาณครึ่งชั่วยามได้กระมัง
หรืออาจจะนานกว่านั้น
องค์ชายใหญ่อยากจะหันไปดูสายฝนเสียหน่อย แต่สายตากลับเปลี่ยนทิศทางไป เพราะถูกคนที่นั่งบ้างยืนบ้างด้านหน้าบังสายตา
คนภายในตำหนักนับสิบกว่าชีวิต คนที่จะได้นั่งนอกจากฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่และคนที่เป็นองค์ชายแล้ว ก็มีเพียงใต้เท้ากรมตรวจการเท่านั้น
ปีนี้ใต้เท้ากรมตรวจการก็อายุห้าสิบกว่าปีได้ ใบหน้าของเขาคร่ำเคร่งไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด
นั่งหลังตรงเช่นนั้น เขาไม่เหนื่อยเลยหรืออย่างไร
องค์ชายให้ขยับท่านั่งอย่างอดไม่ได้ ขันทีที่นั่งอยู่ด้านหลังกระแอมขึ้นมาเบาๆ ส่งสัญญาณเตือนให้เขาระวังกิริยา
เหนื่อยชะมัด…
เหนื่อยกว่าตอนเรียนหนังสือเสียอีก
เสียงฟ้าร้องข้างหูเงียบหายไป ทว่าเสียงโต้เถียงในตำหนักกลับดังยิ่งขึ้น
“เป็นทหารแต่กลับไม่ซ้อมรบ มีเวลาว่างมากเช่นนี้ กระหม่อมได้ยินแล้วก็ตกใจอยู่เหมือนกัน…”
“เช่นนั้นย่อมต้องเพิ่มเวลาฝึกซ้อม คัดเหล่าทหารอ่อนแอออกไป พวกที่ใช้การได้ก็เหลือไว้… เจียงเหวินหยวนนั้นเก่งกาจยิ่งนัก คิดค้นยุทธวิธี จนคว้าชัยจากเว่ยโจวมาได้ ถือว่าเป็นการทำคุณต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง…”
“ทว่ายามที่ประจำอยู่เว่ยโจว เจียงเหวินหยวนไม่ห้ามปรามผู้ใต้บังคับบัญชา มีเรื่องทะเลาะจนผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ทั้งยังให้ท้ายด้วยการตัดสินว่าไม่มีความผิด คนเช่นนี้มิสมควรเก็บไว้ใช้งาน…”
“ใต้เท้าหลิว แล้วบ่าวเก่าของท่านที่ฆ่าคนกลางถนนผู้นั้นเล่า ท่านจะว่าอย่างไร เช่นนี้ก็เรียกได้ว่าคุณธรรมของท่านนั้นช่างบิดเบี้ยวนัก…”
องค์ชายใหญ่หาวหวอดอย่างอดไม่ได้
ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็เอาแต่ทะเลาะกัน ไม่มีผู้ใดสนใจเขาหรอก
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกเขาโต้เถียงเรื่องอันใดกัน ท่านพ่อมาว่าราชการทุกวันก็ต้องฟังเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง
อีกอย่างเรื่องเช่นนี้เถียงกันไปก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา สู้ลงไม้ลงมือกันสักตั้ง ใครชนะก็ว่าตามคนนั้นก็สิ้นเรื่อง
เป็นความคิดที่ไม่เลวนี่ องค์ชายใหญ่ได้สติขึ้นมาในทันใด เขามองดูผู้คนราวสิบชีวิตที่ถือแผ่นไม้ฮู่ป่าน ในมือ เถียงกันน้ำลายกระเด็น จนเอ็นขึ้นคอ ก่อนจะจินตนาการว่าหากพวกเขาชกต่อยกันขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จนเกือบเผลอหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นข้าขอถามรองเสนาบดีเฉินว่า หากเจียวเหวินหยวนไม่เหมาะสม แล้วผู้ใดถึงจะเหมาะสม!”
“หัวหน้ากองทหารม้าแห่งซีโจว จงเฉิงปู้…”
“จงเฉิงปู้เพิ่งจะอายุได้ยี่สิบแปดปี ทั้งยังใช้เส้นสายของพ่อเข้ารับราชการ จะมารับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ในตอนนั้นตระกูลจงรวมกำลังต้านศัตรู ชายหนุ่มสิบสามคนสิ้นชีพในศึก เหลือเพียงเฉิงปู้ที่มีชีวิตรอด เขาคือคนหนุ่มผู้ฉลาดหลักแหลมมีไหวพริบ เก่งทั้งทางบู้และทางบุ๋น แม้จะยังหนุ่มแต่สามารถนำทัพทหารทลายค่ายศัตรูและคว้าชัยกลับมา เก่งกาจดั่งฮั่วฉวี้ปิ้ง …”
“ท่านรองเสนาบดีเฉิน หากเก่งกาจดั่งฮั่วฉวี้ปิ้งนั้นก็ดี แต่อย่าได้ชีวิตสั้นดั่งฮั่วฉวี้ปิ้งเลย… อายุยังน้อยแต่ต้องแบกรับภาระใหญ่หลวงเช่นนี้ เกรงว่าจะอายุไม่ยืน ตายก่อนวัยอันควร”
เฉินเซ่าเดือดดาล
คนพวกนี้เล่นละครเก่งนัก โต้เถียงด้วยเหตุผลไม่ได้ก็ใช้คำพูดเพ้อเจ้อมาเถียงข้างๆ คูๆ ยกเรื่องไม่เป็นเรื่องมาอ้างจนคนฟังนึกขยาด!
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ก็กลับมีคนชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากจะขอทูล”
เสียงนั้นพาให้คนทั้งตำหนักเหลียวมามอง พอเห็นว่าเป็นผู้ใด ทุกคนก็ตกใจกันถ้วนหน้า
ผู้คนนับสิบภายในตำหนัก มีเพียงสองฝ่ายที่โต้เถียงกัน โดยมีเฉินเซ่าและเจ้ากรมกิจการเกาเป็นผู้นำ คนที่เหลือก็เพียงแต่รอจังหวะเพื่อจะพูดเสริมเพื่อสนับสนุนฝ่ายของตน นอกจากนั้นก็มีคนที่นั่งนิ่งไม่พูดอะไรเหมือนหุ่นกระบอกรูปปั้นหินมิปานอยู่ด้วย
ซึ่งคนเหล่านั้นได้แก่รองเสนาบดี ขุนนางฝ่ายองค์รัชทายาท และคนเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นสามประจำหอจดหมายเหตุ บัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่นามว่าจางฉุน
จางฉุนมุ่งศึกษาตำราเรียน นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับการสอบรับราชการแล้ว น้อยนักที่เขาจะร่วมโต้เถียงเรื่องในราชสำนัก หากมีสิบหนเห็นทีจะไม่ปรากฏตัวถึงเจ็ดหน หากเข้าร่วมก็ค่อยพูดจาอะไร
แต่คราวนี้เขากลับเอ่ยปากขึ้นมาเอง ทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง
แม้แต่ฮ่องเต้ที่นั่งเคลิ้มจนเกือบจะหลับอยู่บนบัลลังก์ยังลืมตาขึ้นมา
“เชิญ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
จางฉุนคำนับขอบคุณ ก่อนจะหันหลังกลับมา
“พวกเจ้าเหลวไหลกันทั้งหมด!” เขาตะโกนเสียงเข้ม
เมื่อสิ้นเสียง ทุกคนต่างตกตะลึก ก่อนจะพากันเดือดดาลในทันใด
ไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดว่า แต่พอพูดกลับด่าคนเสียนี่!
อยู่ดีไม่ว่าดีเสียจริง!
เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องรอให้พวกเฉินเซ่าเอ่ยปาก รองเสนาบดีก็ชิงด่าเขาขึ้นมาในทันใด
“จางฉุนเอ่ยวาจาสามหาว เสียกิริยาต่อหน้าฝ่าบาท สมควรได้รับโทษ!” รองเสนาบดีที่ยืนอยู่ตะโกนออกมาในทันใด
“แล้วก็เศษสวะอย่างเจ้าด้วย!” จางฉุนหันไปตะโกนใส่ในทันที “ข้าเอ่ยวาจาสามหาว เสียกิริยาต่อหน้าฝ่าบาท พวกเจ้าก็เห็นแล้ว แต่พวกเจ้าเองก็เอ่ยวาจาหมิ่นโอสรแห่งสวรรค์ ไม่เห็นหัวฮ่องเต้อยู่เช่นกัน! พวกเจ้าตาบอดหรือย่างไร”
คำด่าเชือดเฉือนจนคนทั้งตำหนักแทบจะกระอักเลือดออกมา
เศษสวะ! พวกเจ้า! ตาบอด!
แม้คำพูดหยาบคายจะถูกเอ่ยขึ้นอยู่บ่อยครั้งขณะโต้เถียงกันในตำหนัก แต่การมาชี้หน้าด่าทอกันเช่นนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยนัก
จางฉุนผู้นี้เป็นถึงบัณฑิตลัทธิขงจื้อแท้ๆ แต่กลับพูดจาหยาบคาย ถึงว่าตอนที่อภิปรายโต้เถียงกันเรื่องตำราเรียน จึงถูกวางแผนลอบสังหารเอาได้
สายตาของผู้คนที่มองมาคงฆ่าแกงเขาจนตายไปแล้วไม่รู้กี่หน
ทว่าที่เขาด่าก็เพื่อปกป้องฮ่องเต้ หากจะพูดกันตามตรง นั่งฟังเจ้าคนพวกนี้เถียงกันมาหลายวันเช่นนี้ ช่างน่ารำคาญเสียจริง…
เพราะเป็นฮ่องเต้จึงด่าผู้ใดไม่ได้ พอมีคนด่าแทนเขาเช่นนี้ก็รู้สึกสะใจดีเหมือนกัน
ฮ่องเต้ยกยิ้มที่มุมปาก แต่เพราะเป็นฮ่องเต้อีกนั่นแลจะแสดงความดีใจออกมาก็ไม่ได้ จนต้องรีบเก็บอาการ
ทว่าสีหน้านั้นก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาอันแหลมคมของเหล่าขุนนางได้ ในใจของพวกเขาจึงทำได้เพียงก่นด่า
ก็แค่บัณฑิตลัทธิขงจื้อ สอพลอเลียแข้งเลียขาฝ่าบาท หน้าไม่อาย!
ยามโต้เถียงกันเรื่องหลักวิชาคำสอน ไม่เคยมีผู้ใดไว้หน้ากันอยู่แล้ว จางฉุนที่ผ่านการอภิปรายมานักต่อนัก ย่อมไม่เกรงกลัวอันใด หากจะพูดจากถากถางน้ำใจคนก็คงมิใช่เรื่องแปลกนัก
แต่ทุกคนก็ไม่ใช่หุ่นกระบอกที่จะยอมให้เขาด่าทอเช่นนั้นได้ ทันในนั้นเหล่าขุนนางทั้งหลายก็ตัวสั่นงันงกจนน้ำตาไหลออกมา
“กระหม่อมแก่ชราไร้ความสามารถ มิบังอาจดูหมิ่นฝ่าบาท กระหม่อมขอสละตำแหน่ง” พวกเขาตะโกนออกมา
เฉินเซ่าเองก็ต้องพูดอะไรบางอย่างแล้ว เขาก้าวเดินไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยปากพูด
ทว่าจางฉุนกลับชิงพูดก่อนอีกครั้ง
“กระหม่อมขอฟ้องร้องเกาหลิงจวิ้น ใช้อำนาจในทางมิชอบ แทรกแซงกิจการทัพทหารตะวันตกเฉียงเหนือ…” เขาเอ่ยเสียงก้อง
เฉินเซ่าชะงักฝีเท้าลง ในใจลิงโลดขึ้นมาในทันใด
ที่แท้ขุนนางจางก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเขานี่เอง…
ดี ได้คนเที่ยงธรรมเช่นเขาออกหน้า ฮ่องเต้คงต้องเอนเอียงมาทางเขาอย่างแน่นอน
“และขอฟ้องร้องเฉินเซ่า ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชาสำนัก ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของโอรสสวรรค์ หมายเอาความดีความชอบ บ่อนทำลายการใหญ่ของแผ่นดิน…”
ว่าอย่างไรนะ
เฉินเซ่าหันไปมองจางฉุนในทันใด
เขากำลังช่วยผู้ใดกันแน่
ช่วยผู้ใดอย่างนั้นหรือ ผู้ใดที่เข้ามาในราชสำนักแห่งนี้ก็ล้วนแต่ช่วยตัวเองทั้งนั้น!
เฉินเซ่าสีหน้าเคร่งเครียด
เหตุใดถึงได้โจมตีกันโดยมีทันให้ตั้งตัวเช่นนี้!
นี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
ไม่ใช่แค่เหล่าใต้เท้าในท้องพระโรงที่สีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่องค์ชายใหญ่ก็หน้าถอดสีเช่นกัน
จบกัน จบกัน คราวนี้อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วยามเลย แม้แต่สองชั่วยามก็คงไม่จบไม่สิ้น
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าพวกเขาทะเลาะกันเรื่องอันใด แต่องค์ชายรู้ดีว่าหากมีคนมาชวนทะเลาะเพิ่มอีกคน ก็ย่อมต้องโต้เถียงกันนานยิ่งขึ้น
แม้เหล่าขันทีที่อยู่ด้านหลังจะพากันกระแอมตักเตือน แต่พอองค์ชายใหญ่นึกถึงว่าจะต้องทนทรมานต่อไป จึงเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างอดไม่ได้ แถมน้ำตายังแทบจะไหลออกมาแล้วเช่นกัน
นี่เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งนะ….
…
เสียงฝีเท้าถี่รัวที่โซซัดโซเซเพราะฝ่าลมฝนดังมาจากระเบียงทางเดิน
พอเห็นขันทีหนุ่มเดินเข้ามา จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็วางหนังสือในมือลง
“เอาชนะนั้นไม่ง่าย จะพ่ายแพ้นั้นก็ไม่ง่าย หากชนะแล้วลำพองใจก็ถือว่าแพ้ หากแพ้แล้วร้อนใจก็ยิ่งพ่ายแพ้กว่าเดิม หากชนะแล้วไม่หยิ่งทะนง หากแพ้แล้วไม่พาล ก็คงมิต้องโต้เถียงกันเช่นนี้ ทำผิดก็ต้องลงโทษ ผิดก็ว่าไปตามผิด เหตุใดถึงต้องขัดแย้งให้เสียเวลา…”
ขันทีหนุ่มเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วเบา
หลังจากที่ขันทีพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็พลันกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“ใต้เท้าทั้งหลาย ต้องระวังตัวเสียแล้ว วันฝนตกเช่นนี้บันไดลื่นนัก จะลื่นล้มหัวฟาดตายเอาได้” เขาเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
………………………….