พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 286 รอถาม
อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเล็กน้อย คนในค่ายทหารจิงอิ๋งต่างพากันขมวดคิ้วแหงนหน้ามองฟ้า
“พรุ่งนี้ขอให้ฝนอย่าตกลงมาทำให้การเดินทางล่าช้าเลยเถิด”
“หากเลื่อนการเดินทางออกไปอีก จะมีทั้งคนดีใจและคนที่กังวลใจ”
ขณะที่กำลังพวกเขาพูดคุยกันอยู่ก็เกิดความโกลาหลขึ้นอยู่ไกลๆ คลอเคล้าไปกับเสียงโห่ร้องอย่างยินดีปรีดา
พวกเขาขมวดคิ้วหันไปมอง เห็นทหารกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันดูอะไรบางอย่างอยู่
“…ฝีมือธนูดี!”
“…นี่ต้องไปอยู่แนวหน้ายิงศัตรูมากมายด้วยตัวคนเดียวแล้ว…”
สวีปั้งฉุยได้ยินเสียงชื่นชมจากรอบข้างก็รู้สึกภาคภูมิใจ
“ยังต้องพูดอีกหรือ ข้าก็ทำเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เดิมทีก็ใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างคุณงามความดีในครานั้น…ไอ้หัวขโมยนั่นคิดจะแย่งผลงานของข้า จนข้าต้องยิงธนูออกไปจนมันตกใจฟาดพื้นตาย…”
ขณะที่สวีปั้งฉุยกำลังคุยอย่างติดลมอยู่นั้น เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก
“ทำอะไรน่ะ”
ทุกคนต่างตกใจ รีบหันไปมอง ก็เห็นหลิวขุยมองมาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว
แม่ทัพหลิวประสบความสำเร็จในการจับกุมทหารหนีทัพในครั้งนี้ ก่อเรื่องวุ่นวายเสียจนทั้งครอบครัวทั้งราชวังต่างพากันทนไม่ไหว ดังนั้นจึงตกลงตามคำขอของเขา ไปยังตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกันกับเขา
แม้จะเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง แต่อยู่สังกัดสองราชการ ทหารสามหน่วย จึงมีตำแหน่งสูงกว่าทหารธรรมดาเหล่านี้ไม่น้อย
ยามนี้ทุกคนต่างคำนับลาไป
“ที่นี่คือค่ายทหารของเมืองหลวง!” หลิวขุยถลึงตาตะหวาดลั่น โดยเฉพาะกับสวีปั้งฉุย “หากจะเล่นกลก็ไปเล่นบนถนนนู่น!”
สวีปั้งฉุยส่งเสียงเฮอะออกมาแล้วหยิบธนูขึ้นก้มหน้าทำท่าจะเดินตามคนอื่นๆ ไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น” หลิวขุยตะโกนเรียกเขาไว้ “ทิ้งธนูไว้”
สวีปั้งฉุยพลันถึงตา
“อะไรนะ” เขาตะโกนถาม
“กองทัพไม่ได้ให้ธนูแก่เจ้าหรือ ใครอนุญาตให้เจ้าใช้ธนูคันนี้” หลิวขุยตะคอก “แอบพกอาวุธติดกาย ขัดต่อวินัยทหาร เอามันมาให้ข้า”
ยามนี้ธนูคันนี้คือทั้งชีวิตของเขา ยามหลับก็ต้องกอดไว้ แม้เขาจะมุทะลุไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ แค่ฟังดูก็รู้ถึงจุดประสงค์ของหลิวขุยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายตาของหลิวขุยยามนี้ที่เป็นประกายกระหายอยากอย่างหมาป่าผู้หิวโหยเวลาเห็นลูกแกะตัวอวบอ้วนนั่นเลย
“ถุย” เขาถุยน้ำลายออกมา “ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการห้ามใช้อาวุธดีๆ ไม่ให้กองทัพใช้เงินไปกับเรื่องที่ดีเช่นนี้ ซ้ำยังมีคนไม่เห็นด้วยอีก”
“อาวุธดีๆ เช่นนั้นหรือ อาวุธดีๆ พอไปอยู่ในมือพวกเจ้าก็เสียของหมด” หลิวขุยตะคอก “เอามา ข้าบอกว่ามีก็ต้องมีสิ เจ้ากล้าขัดคำสั่งแม่ทัพหรือ ไร้ความเคารพเช่นนี้ ใครจะกล้าเรียกใช้ ให้เป็นแค่คนรับใช้ยังไม่ได้เลย!”
ไร้ความเคารพเช่นนี้ ใครจะกล้าเรียกใช้
ข้อกล่าวหานี้ค่อนข้างใหญ่หลวงเกินไปสำหรับทหารตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง
เมื่อวานพอมาถึงค่ายจิงอิ๋งแล้ว สวีเม่าซิวก็แอบพุดคุยกับบรรดาพี่น้องไปแล้วว่าการกลับมาที่ค่ายทหารอีกครั้งนี้ก็เพื่อลบล้างมลทินและสร้างผลงานให้ได้
อยากจะได้ผลงานก็ต้องออกรบ แต่ในกองทัพนี้จะออกรบหรือเฝ้าอยู่รักษาการณ์ล้วนมีแม่ทัพเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินได้
ไร้ความเคารพผู้บังคับบัญชา ไม่เชื่อฟังคำสั่ง หากข้อครหานี้แพร่ออกไป คงไม่มีใครกล้าเรียกใช้จริงๆ
สวีปั้งฉุยยืนถลึงตามองอยู่กับที่
หลิวขุยรีบคว้าธนูมาไว้ในมือด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจและตื่นเต้นอย่างอดไม่อยู่
ไม่ต้องดู แค่เขาดมกลิ่นดูก็รู้แล้ว นี่คือธนูยาวของชิ่งโจวหรือธนูซานต้าน ตั้งแต่วินาทีที่มันถูกสร้างขึ้นมาก็แผ่กลิ่นอายกระหายเลือดอย่างบ้าคลั่งราวกับเสือร้ายที่ออกจากกรง
อาวุธล้ำเลิศเช่นนี้ ที่บ้านเขาย่อมมี แต่เขากลับไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้ใช้มัน
เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ใช้ แล้วพวกมันที่เป็นแค่ทหารหนีทัพไร้ประโยชน์จะมีมันไว้ครอบครองตามใจชอบได้อย่างไร!
มามะ มาเถิด มาอยู่ในมือเจ้าของที่แท้จริงเสีย
“หน้าขายหน้าชะมัด ตัวเองไม่มีปัญญาจะซื้อก็อย่ามาแย่งของคนอื่นสิ”
มีคนเอ่ยขึ้นมา
“ขนาดอาวุธของคนอื่นยังกล้าแย่งมาได้ แล้วจะมีอะไรที่ไม่กล้าแย่งมาอีก คนอย่างเจ้านี่มันคงไม่มีใครกล้าเรียกใช้แล้ว”
หลิวขุยสะดุ้งหันกลับไปอย่างคนถูกแทง
“ไอ้สวะตัวไหนมาพูดซี้ซั้ว…” เขาก่นด่ายังไม่จบประโยคดีก็เห็นคนขี่ม้ามาห้าหกคน
เขาเป็นลูกน้องสังกัดสองราชการ ทหารสามหน่วย สี่ห้าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้เป็นหัวหน้ากองทหารรักษาวัง แม้อายุอานามของพวกเขาจะน้อยกว่าเขาก็ตาม
“แม่ทัพหลิวช่างน่าเกรงขามยิ่ง” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้น หลุบตาลงต่ำมองหลิวขุย
หลิวขุยคำนับอย่างไม่เต็มใจนัก
“ข้าน้อยไม่บังอาจ” เขาเอ่ยแล้วหันหลังหลีกทางให้
“ธนูคันนี้ไม่เลว ฝีมือธนูของเจ้าก็ไม่เลว” นางทหารชั้นสูงสองสามคนข้างๆ เอ่ยบอกกับสวีปั้งฉุย
สวีปั้งฉุยได้ยินคำชมก็แย้มยิ้มดีอกดีใจ
“ธนูดี ก็อย่าได้เอามาอวดที่นี่” ท่านชายโจวหกพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
สวีปั้งฉุยหุบยิ้มลง
“เสียงชื่นชมของคนสิบคนที่นี่ยังไม่สู้เสียงกรีดร้องของศัตรูเพียงหนึ่ง” ท่านชายโจวหกเอ่ยต่อว่า “ขนาดคนที่ยังไม่เคยออกรบเช่นข้ายังรู้ ไม่รู้ว่าเจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าทหารได้อย่างไร”
เขากล่าวจบก็ควบม้าออกไป คนอื่นๆ พากันมองสวีปั้งฉุยแล้วหัวเราะขบขันควบม้าตามไป
สวีปั้งฉุยหน้าแดง ทั้งอายทั้งขายหน้า
“อันธพาลพวกนี้” เขาบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ มองตามหลังของเด็กหนุ่มพวกนั้นไป “ความจริงเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ด้วยซ้ำ”
“ปั้งฉุย!”
เสียงตะโกนของสวีเม่าซิวดังขึ้นมาแต่ไกล
สวีปั้งฉุยตกใจจนสั่นเทิ้ม รีบเดินเข้าไปหา แต่ถูกหลิวขุยขวางไว้
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” สวีปั้งฉุยถลึงตาเอ่ยถาม
หลิวขุยส่งเสียงเฮอะคำหนึ่ง สายตามองธนูยาวในมือเขาอยู่อย่างนั้นไม่วางตา
“ข้าจะจับตาดูพวกเจ้าไว้!” เขาบอกด้วยความโกรธแค้น
สวีปั้งฉุยถุยน้ำลายแล้วเดินชนเขาออกไป
สวีปั้งฉุยถูกสวีเม่าซิวและพวกพี่น้องตำหนิอย่างรุนแรง ขนาดฟ่านเจียงหลินยังยึดธนูเขาไป บอกว่าถึงตะวันตกเฉียงเหนือแล้วจะคืนให้ ทำเอาสวีปั้งฉุยเสียดายเป็นอย่างมาก เขาทอดถอนใจออกมายาวเหยียด
“พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องระหว่างทางทั้งนั้น ต่อให้จะถูกหัวเราะเยาะหรือยั่วโมโหแค่ไหนก็ตาม พวกเราต้องจำเอาไว้ว่าเรามาทำอะไร” สวีเม่าซิวเอ่ย
“ถูกต้อง น้องสาวอุตส่าห์ช่วยเราไว้ ถึงขนาดให้เราได้มาพิสูจน์ตัวเอง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย “หากทำขายขี้หน้าในเวลานี้อีกก็มิได้มีเพียงเราที่อับอายเท่านั้น น้องสาวก็จะขายหน้าไปด้วย”
เขาพูดพลางถลึงตาจ้องสวีปั้งฉุย
“มองข้าทำไมเล่า” สวีปั้งฉุยส่งเสียงเฮอะคำหนึ่ง “ข้าไม่ได้ทำให้ขายหน้าเสียหน่อย”
เขาบอกพลางถูจมูกไปมา
“น้องเคยบอกไว้ว่าจะให้ของขวัญสามอย่างกับเรามิใช่หรือ นี่เพิ่งจะเป็นอย่างที่สอง เช่นนั้นก็ขาดอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
พี่น้องคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะ
“ไม่เลวนี่ รู้จักหลบหลีกเปลี่ยนเรื่องเสียด้วย” สวีเม่าซิวยิ้มแซว “เจ้าก็จำเรื่องนี้ได้แม่นเสียจริงนะ”
“ไม่ใช่ว่าเรากินอาหารที่น้องทำไปแล้วหรือ นั่นก็นับว่าเป็นของขวัญเช่นกัน” มีคนเอ่ยขึ้น
สวีปั้งฉุยไม่คิดจะเอาของขวัญจริงๆ แต่แรกอยู่แล้ว เห็นหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนแล้วก็ปรีดาขึ้น หัวเราะฮ่าๆ เออออไป
สวีเม่าซิวส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองทิศทางที่ตั้งของเมืองหลวง
“ไปกันเถิด” ฟ่านเจียงหลินตบบ่าเขาแล้วเอ่ยขึ้น
สวีเม่าซิวพยักหน้าแล้วดึงสายตากลับมา
เทียบกับความคึกคักของค่ายจิงอิ๋งแล้ว โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวงช่างเงียบเหงากว่าในยามบ่ายเช่นนี้
คนงานในร้านที่แอบงีบหลับกับโต๊ะถูกเสียงฝีเท้าแผ่วเบาทำให้ตกใจตื่น พอลืมตาขึ้นก็เห็นคุณชายผู้หนึ่งในชุดผ้าฝ้ายค่อยๆ ย่องผ่านโถงไป
ทั้งคู่สบตากันก็พลันตกตะลึง
“ท่านชายหวัง” คนงานในร้านเอ่ยเรียก
เพิ่งจะพูดจบ ทางฝั่งท่านชายท่านนั้นก็สะบัดมือโยนเงินจำนวนหนึ่งมาให้
“หุบปาก” เขากระซิบบอกอย่างใช้อำนาจ
แม้คนงานในร้านจะง่วงจนยืนแทบไม่ไหว แต่ก็รับเงินไว้อย่างมั่นคง แล้วมองท่านชายเดินออกประตูไป
“ข้าเพียงแค่เอ่ยทักทายเท่านั้น มิใช่เรียกเพื่อให้คนมาจับท่าน” คนงานในร้านยักไหล่หัวเราะพึมพำกับตัวเอง โยนเงินในมือเล่นอย่างพอใจ “คนตระกูลนี้น่าสนใจนัก อยู่ที่นี่นานเสียหน่อยคงจะดี”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างรวดเร็ว เขามองซ้ายแลขวาแล้ววิ่งไปยังทิศทางที่ได้ตัดสินใจ
“ท่านชายหวัง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ท่านชายหวังสิบเจ็ดรีบหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมอง
สาวใช้ที่วิ่งตามมาหายใจเหนื่อยหอบ
“ท่านชายหวังเจ้าคะ ข้ารอท่านอยู่หน้าโรงเตี๊ยม ท่านไม่ทันมองก็วิ่งเสียแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหัวเราะออกมา
“ข้าตกใจน่ะ” เขาบอก “ชุนหลิง เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ หรือแม่นางจูต้องการพบข้า”
เคยพบกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แม่นางจูน่ะลืมไปแล้วว่าเจ้าเป็นใคร…
ชุนหลิงพึมพำในใจ ช่างเป็นคุณชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเสียจริง แต่ยิ่งไม่ได้เรื่องเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น…
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้านาง
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้พบท่านเสียนาน จึงได้ตั้งใจมาหาโดยเฉพาะ นึกว่าท่านกลับไปแล้วเสียอีก” นางบอก
“เปล่า ข้าถูกคนในครอบครัวเจอเข้าเสียแล้ว พวกเขาจะพาข้ากลับไป” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยบอกด้วยท่าทางโมโห “ข้าเพิ่งจะมาเมืองหลวงได้ไม่นาน อีกทั้งยังไม่ได้ร่ำสุรากับแม่นางจูเลย จะให้กลับไปตอนนี้ได้อย่างไร”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว เมืองหลวงจะมีเทศกาลโคมไฟ” ชุนหลิงเอ่ยบอก “พวกเราที่หอล้วนไปเที่ยวชมและปล่อยโคมกันหมด ท่านชายไปด้วยกันดีหรือไม่”
ไปเที่ยวกันหมด เช่นนั้นแม่นางจูก็ต้องไปเช่นกัน
ทันใดนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดดวงตาพลันเป็นประกาย แต่ไม่นานก็หงุดหงิดขึ้น
“พวกเขาต้องไม่ให้ข้าไปแน่” เขาบอก
คู่หมั้น! อ้อ จริงสิ เขามีคู่หมั้นอยู่นี่นา!
ท่านชายหวังสิบเจ็ดตบมือด้วยความดีใจ
เขากับแม่นางตระกูลเฉิงหมั้นหมายกันแล้ว มีฐานะเป็นคู่หมั้นกัน จึงไม่ได้เคร่งครัดในประเพณีมาก นัดกันไปเที่ยวชมงานเทศกาลได้อย่างไม่มีปัญหา นี่เป็นข้ออ้างที่ดียิ่ง
“ดี ดียิ่ง ข้าจะไปพูดกับพวกเขาเดี๋ยวนี้” เขาบอกอย่างดีใจแล้วเดินจากไป
ชุนหลิงมองตามท่านชายที่รีบร้อนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหาย เหลือไว้เพียงรอยยิ้มเย็นชาบนริมฝีปาก แล้วนางก็หันหลังเดินจากไป
อากาศอึมครึมแต่กลับไร้ซึ่งฝน ค่ำคืนยามราตรีได้ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ทอสู่นภา
จินเกอร์ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงวางถังน้ำในมือลง
“ไม่ใช่ว่าท่านชายโจวจากไปแล้วหรือ เหตุใดจึงมีคนมาเคาะประตูอีก” เขาพึมพำพลางมองลอดช่องประตูออกไป
“จะ…จินเกอร์” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเรียก “นายหญิงเจ้าอยู่หรือไม่”
สาวใช้ยกน้ำชาให้ มีปั้นฉินส่งขนมให้จานหนึ่ง
“ยามนี้ต้อนรับแขกได้ไม่เลวทีเดียว” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
“เมื่อก่อนก็ไม่เลวเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียวเอ่ยขึ้น
“ใช่ ใช่ แม่นางล้วนดีมาโดยตลอด เป็นข้าที่ลำเอียงเอง” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ยพลางจิบชาคำหนึ่ง “ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกแม่นางว่าช่วงนี้ข้ากำลังร่ำเรียนกับท่านอาจารย์คนใหม่จึงไม่ค่อยได้อยู่บ้าน หากแม่นางมีธุระกับข้าก็ให้คนไปบอกที่บ้านข้าได้เลย ข้าสั่งพวกเขาไว้แล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร
“แน่นอนว่าแม่นางคงไม่ต้องให้ข้าช่วยเหลืออะไร” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย “ข้าเพียงแต่บอกเผื่อไว้เท่านั้น”
“ไม่แน่ใจว่าต่อไปจะมีหรือไม่ แต่ยามนี้ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย” เฉิงเจียวเหนียงบอก
ท่านชายฉินสิบสามนิ่งอึ้ง
“มีจริงๆ หรือ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตาของเขา โน้มตัวลงกระซิบกับนางว่า “แม่นางพูดมาเถิด ครานี้จะจัดการผู้ใด”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะกรอกตาอย่างอดไม่ไหว
ท่านชายที่อบอุ่นอ่อนโยนผู้หนึ่งเข้าพบแม่นางน้อยที่งดงามเพียบพร้อมทั้งสุภาพเยือกเย็น ชาหอมชั้นดี อากาศในสารทฤดูเย็นสบาย คนงามทิวทัศน์สวยเช่นนี้แต่เขากลับนึกเรื่องดีๆ ออกมาไม่ได้
หรือนายหญิงของนางจะเป็นโจรผู้ร้ายเหี้ยมโหดที่พออ้าปากก็จะเอาชีวิตผู้คนไปเสียแล้ว
…………….