พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 302 รบกวน
เหตุใดจู่ๆ ถึงป่วยได้เล่า
เหตุใดจู่ๆ ถึงป่วยขนาดนี้ได้
ท่านชายเฉิงสี่คุกเข่าอยู่ภายในห้องนอน มองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง แม้จะผ่านไปค่อนวันแล้ว ยังคงไม่อาจเชื่อได้
“นางกำลังพูดอะไร” เขาถามขึ้นทันควัน
เขานั่งมาแล้วกว่าครึ่งวัน พลางมองดูหญิงสาวที่ราวกับหลับสนิทแต่ขยับปากเป็นครั้งคราว ประหนึ่งกำลังพูดอะไร
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย พลางก้มหน้า “นายหญิงกระทบกระเทือนจิตใจ จนทำให้จิตใจวุ่นวาย”
“เพราะ ถูกท่านชายหวังสิบเจ็ด…” ท่านชายเฉิงสี่ถามด้วยความกังวลไม่น้อย
หวังสิบเจ็ดเป็นคนอย่างไร เขาย่อมรู้ดี น้องคงไม่ได้โมโหเขาจนป่วยไปกระมัง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สาวใช้ส่ายหน้า “เป็นเรื่องอื่น ท่านชายอย่าได้ถามอีกเลย”
ครั้นท่านชายเฉิงสี่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อดังคาด
“เช่นนั้นก็ไปตามหมออีกที นางมีสติ แสดงว่ายังมีทางรักษา” เขาเอ่ย
สาวใช้พยักหน้า
“ไปตามมาแล้วเจ้าค่ะ มีหลายคนที่ช่วยตามหมอให้” นางเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ตอบรับ
“ข้า ข้าไปถามในสำนักบัณฑิตสักหน่อย ดูว่าผู้ใดรู้จักหมอฝีมือดีบ้าง” เขาเอ่ย พลางรีบลุกขึ้น
“ท่านชายสี่” สาวใช้ตะโกนเรียกเขา “สิ่งที่ท่านต้องทำตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนั้น”
ท่านชายเฉิงสี่ชะงักฝีเท้า ก่อนจะมองนางด้วยความกังวล
“เช่นนั้น ข้าควรทำอะไร” เขาถาม
นิสัยขี้ขลาดเกินไป…
ดี แต่ก็ไม่ดี…
สาวใช้ลุกขึ้นยืน
“ท่านชายสี่ ร้านของนายหญิงต้องมีคนดูแล” นางเอ่ยอย่างจริงจัง
ร้าน อ๋อ ใช่ สามร้านนั่น
ครั้นท่านชายเฉิงสี่คิดออก หัวใจพลันเต้นตึกตัก
ร้านชื่อดังเพียงนั้น เป็นที่เดียวกับที่เขาอยากจะไป ในยามที่ต้องการให้รางวัลตัวเอง กลับเป็นร้านของน้องสาวตนหรือนี่!
นะ นางทำได้อย่างไร
“ท่านชายสี่” สาวใช้จำต้องตะโกนเรียกอีกครั้ง
ท่านชายเฉิงสี่ได้สติกลับมา หน้าแดงเล็กหน่อยด้วยความขวยเขิน
“เจ้าจะพูดอะไรหรือ” เขาถาม
เป็นอีกครั้งที่ท่านชายเฉิงสี่นั่งอยู่ในเรือนนางฟ้า ความใคร่รู้ในตอนแรกหายไปหมดแล้ว เขามองสี่คนตรงหน้า ด้วยความตื่นเต้นเขินอาย ทั้งกายแข็งทื่อไปหมด
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะแจ้งทุกท่าน” สาวใช้คุกเข่าอยู่ข้างท่านชายเฉิงสี่ พลางเอ่ย “นายหญิงป่วยแล้ว”
ผู้ดูแลอู๋รู้ตั้งนานแล้ว สีหน้าจึงไม่เปลี่ยน ส่วนผู้ดูแลเรือนไท่ผิง อี๋ชุนถังและซุนไฉแห่งเต้าหู้ไท่ผิง กลับตกตะลึง
“เช่นนั้น จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ทั้งสามถามพร้อมกัน
“ไม่เป็นอะไร เพียงแต่ท่านชายสี่ของเราจะมาดูแลกิจการภายในร้านต่อชั่วคราว” สาวใช้เอ่ย พร้อมกับมองไปทางท่านชายเฉิงสี่
“คารวะท่านชายเฉิงสี่”
ผู้ดูแลร้านสองคนที่มาใหม่ต่างเป็นคนหลักแหลม เมื่อได้ยินดังนั้นจึงคำนับในทันใด ซุนไฉก็ไม่ยอมน้อยหน้า
ท่านชายเฉิงสี่เกร็งไปทั้งร่างยิ่งกว่าเดิม
“มะ…ไม่บังอาจ…” เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
ผู้ดูแลอู๋ก้มหน้า พลางดันสมุดบัญชีสองสามม้วนไปให้
“นี่คือบัญชีของทั้งสามร้าน ท่านชายสี่โปรดตรวจสอบ” เขาเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง
เขาคิดถึงท่านพ่อที่บ้าน การทำงานในทุกๆ เดือน จะมีผู้ดูแลร้านค้ามาจากข้างนอกพร้อมกัน และรายงานบัญชีแต่ละฉบับให้เขาฟังทีละคน ในยามนั้นท่าทางของท่านพ่อทั้งน่าเกรงขามทั้งดูสุขใจนัก มั่งคงดั่งภูผา เป็นที่พักพิงให้ตระกูลเฉิง
หากเอ่ยถึงท่านพ่อแล้วเขามีเพียงความเลื่อมใส ไม่เคยคิดอิจฉาแต่อย่างใด ด้วยธรรมเนียมของตระกูลเฉิงแล้ว ในฐานะลูกชายคนที่สี่นั้น ในชีวิตนี้ย่อมไม่มีวันได้สัมผัสบัญชีอยู่แล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่า จะมีโอกาสนี้ได้!
ท่านชายเฉิงสี่ยื่นมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเปิดบัญชีเล่มหนึ่งออกมา พลันดวงตาเบิกโพลง
เงินมากมายขนาดนี้เชียวหรือ!
เขาม้วนบัญชีกลับไปตามเดิมอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง ตกใจจนไม่กล้ามองอะไรไปมากกว่านั้น
เงินมากมายเหลือเกิน!
โชคดีที่ท่านชายเฉิงสี่ไม่ได้เผยความขลาดกลัวต่อหน้าผู้ดูแลร้านไม่มากกว่านี้ รอให้พวกเขาออกไปก่อน จนยามที่เหลือเพียงสาวใช้ เขาถึงได้ถอนหายใจ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“สิ่งเหล่านี้ ข้าดูไม่เป็นหรอกนะ” เขาเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ
สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความละอายใจและความรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ราวกับตนเองมีความผิดอันใหญ่หลวง
สาวใช้ยิ้มบาง
“ข้าดูเป็น” นางเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะส่งเสียงอ๋อ แล้วเหม่อลอยอีกครั้ง
“เช่นนั้น ข้าจะช่วยอะไรได้” เขาถาม ก่อนที่ตนจะยิ้มด้วยความรู้สึกผิด “ข้าทำได้แต่เรียนหนังสือ…เรียนหนังสือก็ไม่ได้เก่งอะไร…”
สาวใช้มองเขาพลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ท่านชายสี่ แค่ช่วยนายหญิงของเราเฝ้าทั้งสามร้านนี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ย “อย่าให้ใครแย่งไปได้ ท่านชายสี่ สามร้านนี้เป็นสิ่งที่นายหญิงทุ่มเทแรงกายแรงใจถึงได้มีวันนี้ได้ พวกเราไม่อยากให้พอนายหญิงหายป่วยแล้วฟื้นขึ้นมาก็พบว่า ไม่เหลืออะไรอีกเลย…”
นางเอ่ยพลางก้มหัวคำนับ พร้อมกับเสียงสะอื้น
“รีบลุกขึ้นมา รีบลุกขึ้นมา” ท่านชายเฉิงสี่รีบเอ่ย “นี่เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูแลแทนน้องสาวเอง จนกว่านางจะฟื้น”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ทั้งสองต่างตกตะลึงเล็กน้อย
หากนางไม่ฟื้นเล่า…
ยามความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น ทั้งสองก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาพร้อมกัน
ไม่มีทาง ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก…
“หากนางไม่ฟื้นเล่า กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบอีกครั้งเล่า”
นายใหญ่โจวส่งเสียงเย้ยหยัน พร้อมกับยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้น ทว่ากลับไม่ได้ดื่ม
“สาวใช้นางนี้ดึงคนในตระกูลเฉิงมาขวางไว้หรือ คนตระกูลเฉิงเป็นใช้ได้เสียที่ไหนกัน”
“นั่นน่ะสิ เอาสินเดิมของตระกูลเราไป ยังทำให้เจียวเหนียงอดตายแล้วทอดทิ้ง ทรัพย์สินพวกนี้ จะยกให้พวกเขาได้อย่างไร!” ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนมากกว่า “สาวใช้ต่ำต้อยของตระกูลเฉิง ก็ต้องหาผลประโยชน์ให้ตระกูลเฉิงอยู่แล้ว”
นางเอ่ยพลางลุกขึ้น
“ข้าจะไปไล่นางเอง!”
“อย่าเพิ่งใจร้อน” นายใหญ่โจวเอ่ย ยกมือขึ้นห้ามฮูหยินโจว
“ขนาดนี้แล้ว จะไม่ใด้ใจร้อนอีกหรือ” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างโมโห
“ก็แค่บ่าวสองคน จะไปกลัวอะไร” นายใหญ่โจวส่งเสียงฮึดฮัด พร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอย่างสบายใจ “ในเมืองหลวงแห่งนี้ พวกเขาคิดว่ารอดพ้นเงื้อมือของข้าได้หรือ ปล่อยให้พวกนั้นสนุกกันไปเท่านั้นแหละ”
“เช่นนั้นก็เอามาให้ได้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้สบายใจก่อนอย่างไรเล่า” ฮูหยินโจวเอ่ย “หากพวกแมวอย่างตระกูลเฉิงได้กลิ่นคาวแล้วเข้ามายุ่งเมื่อไหร่ เช่นนั้นจะวุ่นวายเอาได้”
“เข้ามายุ่งแล้วจะกลัวอะไรเล่า คิดว่าที่นี่คือเจียงโจวหรือ” นายใหญ่โจวเย้ยหยัน “แน่จริงก็เข้ามาสิพวกแซ่เฉิง ข้าจะทำให้ร้องไห้กลับไปให้หมด!”
เมื่อเอ่ยอย่างลำพองใจจนจบ เขาก็ยกถ้วยชาดื่มจนหมดภายในอึกเดียว ทว่าลืมเป่าชาเสียก่อน จนไอโขลกเพราะน้ำชาลวกคอ เขารีบวางถ้วยชาลง ทันใดนั้นถ้วยชาก็หกเลอะไปทั้งตัว จนทั้งห้องตกอยู่ในความโกลาหล
ทว่า ณ เจียงโจวในเวลานี้ นายใหญ่ตระกูลเฉิงที่นั่งฟังสาวใช้ดีดฉินอยู่ในลานบ้าน ก็จามออกมาอย่างรุนแรงสองสามที เสียงฉินที่เดิมทีไพเราะเสนาะหู กลายเป็นเสียงเพี้ยนอยู่หลายขุม
“ต้องเป็นเพราะคนของตระกูลโจวนินทาข้าแน่ๆ” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ย พลางโบกมือ
สาวใช้จึงรีบอุ้มฉินแล้วออกไป
“เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่ฟังแล้วเล่า” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าว่าแปลกไหม” นายใหญ่เฉิงพิงโต๊ะอีกครั้ง พลางขมวดคิ้วเอ่ย
“แปลกอะไรหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม พร้อมกับยกชาขึ้นดื่ม
“นายใหญ่โจวไม่มาแล้ว” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงสำลักน้ำชาในทันใด
“พูดเช่นนี้หมายความว่าท่านคิดถึงเขามากหรือ” นางเอ่ยพลางไอโขลก
“ข้าคิดถึงเขาจะตาย” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ย “แปลกเสียจริง ตาเฒ่าตายยากผู้นี้ เหตุใดถึงไปแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยเล่า หลานเจ้าไปเมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือ เขาย่อมต้องรู้เรื่องแต่งงานแล้ว เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวอะไรเลยเล่า”
อุตส่าห์ออมแรงไว้ อีกฝ่ายกลับถอยเสียอย่างนั้น แม้จะเป็นผลจะเป็นดั่งที่ต้องการ แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดนัก
“จะมีข่าวคราวอันใดอีกเล่า เรื่องมงคลเช่นนี้ เขาจะพูดอะไรได้อีก” ฮูหยินใหญ่เฉิงส่งเสียงฮึในลำคอ
“เรื่องเด็กบ้านั่นเขาคงไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว แต่เหตุใดเขาไม่มาอาละวาดเรื่องสินเดิมแล้วเล่า” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ย
เขายังพูดไม่ทันขาดคำ พ่อบ้านนอกประตูวิ่งเข้ามาพร้อมกับหมวก
“นายใหญ่ นายใหญ่ เขามาแล้ว มาแล้ว”
พ่อบ้านวิ่งพลางตะโกนอย่างรีบร้อน
เขามาแล้วจริงๆ หรือ
นายใหญ่เฉิงและฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งตัวตรงด้วยความตกใจ
“ไม่ควรนินทาผู้อื่นลับหลังจริงๆ ด้วย” นายใหญ่เฉิงถอนหายใจพลางเอ่ย พร้อมหายใจเข้าลึกรวบรวมสติ “ครั้งนี้ พวกแซ่โจวมากันกี่คนเล่า”
พ่อบ้านผงะ
“พวกแซ่โจวหรือ” เขาถาม “นายใหญ่หมายถึงผู้ใด”
“แล้วเจ้าพูดถึงผู้ใด” นายใหญ่เฉิงผงะเช่นกัน “คนตระกูลโจวไม่ได้มาแล้วหรือ”
พ่อบ้านถอนหายใจทีหนึ่ง
“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่ขอรับ เป็นใต้เท้าเฉาเปี๋ยจย้า[1]แห่งจวนโจวมาขอรับ” เขารีบเอ่ย
นายใหญ่เฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับแขก พลางมองเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ในนั้นแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือคนที่คุ้นเคยกันมากอย่างใต้เท้าเฉาเปี๋ยจย้า
“โธ่ ใต้เท้าเฉา” เขารีบยิ้มพลางคำนับ
ในฐานะตระกูลในพื้นที่ นายใหญ่เฉิงมีฐานะในระดับหนึ่ง เฉาเปี๋ยจย้าลุกขึ้นคำนับ
ทั้งสองถามไถ่สารทุกข์สุขดิบด้วยรอยยิ้มกันไม่นาน
“ที่มาในวันนี้มีเรื่องอยากจะรบกวนนายใหญ่เฉิงเรื่องหนึ่ง” เฉาเปี๋ยจย้าเอ่ยเข้าประเด็น
นายใหญ่เฉิงพยักหน้า
“ใต้เท้าเอ่ยมาเถิด” เขาเอ่ย
“ดูลำดับบรรพชนของตระกูลท่านสิ” เฉาเปี๋ยจย้าเอ่ย
…………………………..
[1] เปี๋ยจย้า เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางฝ่ายทหารที่ทางการของเมืองหลวงส่งมาประจำท้องที่