พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 303 ถามไถ่
ลำดับบรรพชนหรือ
นายใหญ่เฉิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่สำหรับขุนนางประจำเมืองที่ดูแลด้านการทหาร การเมือง และพลเรือน จะเรียกดูลำดับบรรพชนก็ย่อมได้ แต่ก็ดูแปลกไปเสียหน่อย
“จะขอตรวจสอบอะไรสักเล็กน้อย” เฉาเปี๋ยจย้ารู้ดีว่าคำขอของเขาค่อนข้างแปลก จึงพูดเสริมด้วยพลางส่งยิ้มแก้ขัด ก่อนจะกดเสียงให้เบาลงแล้วพูดว่า “จะขอดูของฝั่งนายรองเป็นหลัก”
พอพูดจบ เขาขยิบตาให้กับนายใหญ่เฉิง
นายใหญ่เฉิงดีใจอย่างมากในทันที
ดูของฝั่งนายรองรึ นายรองจะได้เลื่อนตำแหน่งสักทีแล้วกระมัง
ถึงจะเลื่อนขั้นก็ไม่ต้องดูลำดับบรรพชนก็ได้นี่ เพราะประวัติต่างๆ ล้วนมีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว…
ทว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน อยากดูก็ดูไปเถิด
นายใหญ่เฉิงให้คนไปหยิบลำดับบรรพชนอย่างมีความสุข แล้วมอบให้กับเฉาเปี๋ยจย้าอย่างนอบน้อม
เฉาเปี๋ยจย้าไม่ได้เปิดออก แต่กลับยื่นให้ชายที่นั่งข้างๆ ด้วยความเคารพ
ตั้งแต่เขามาจนถึงตอนนี้ชายหนุ่มผู้นั้นยังไม่ได้ปริปากพูดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่มีผู้ใดแนะนำตัวเขาด้วย
ได้เข้ามานั่งอยู่ในห้องแห่งนี้ แถมยังนั่งสูงกว่าเฉาเปี๋ยจย้าเสียด้วย ย่อมไม่ใช่ผู้ติดตามอย่างแน่นอน…
เขาคือผู้ใดกันนะ
นายใหญ่เฉิงมองหน้าเขาด้วยใบหน้าประหลาดใจ
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครแนะนำชายหนุ่มผู้นั้นให้แก่เขา เฉาเปี๋ยจย้ามองถ้วยชาอย่างจริงจังราวกับว่ามีดอกไม้บานวางอยู่ด้านใน
“นายรองมีบุตรกี่คน” ชายผู้นั้นถามขึ้นทันที
“สอง” นายใหญ่เฉิงตอบอย่างรวดเร็ว
“สองหรือ” ชายผู้นั้นถามพลางชี้ไปที่ลำดับบรรพชน “แล้วเหตุใดในนี้ถึงเขียนไว้สามคน”
สามคน!
นายใหญ่เฉิงตกตะลึง รีบลุกขึ้นและเดินไปดู
ชื่อด้านล่างของนายรองปรากฏชื่อของลูกสามคนจริงๆ
เมื่อมองไปที่อักษรนั้น นายใหญ่เฉิงแอบถอนหายใจ
ณ ตอนนั้น ท่านพ่อรักและเอ็นดูลูกๆ ของครอบครัวนายรองยิ่งนัก โดยได้ตั้งชื่อไว้ให้ตั้งแต่ยังไม่เกิด และเขียนไว้ในลำดับบรรพชน
หากรู้ว่านางเป็นบ้าก่อนหรือหลังจากนั้น ชื่อนี้คงจะไม่ได้ปรากฏในลำดับบรรพชนอย่างแน่นอน
“ใช่ สามคน สามคน” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “คนโตร่างกายอ่อนแอ ฝากเลี้ยงไว้นอกเรือน”
ถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอเช่นไร แต่ทั้งเมืองเจียงโจวไม่มีใครไม่รู้ เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปกปิด ทั้งยังไม่อยากอธิบายอะไรมากนัก
ชายผู้นั้นก็มิได้ถามต่อ มองดูลำดับบรรพชนอีกครั้งแล้ววางลงบนโต๊ะไม้
“นายใหญ่เฉิง ไปทำธุระของท่านต่อเถิด พวกเราขอตัวกลับก่อน” เฉาเปี๋ยจย้าเอ่ยด้วยรอยยิ้มในทันใด
ข้ามิได้มีธุระอะไรสักหน่อย นายใหญ่เฉิงมึนงงไม่น้อย
“ใต้เท้า…” เขารีบเอ่ยรั้ง แต่เฉาเปี๋ยจย้ากลับลุกขึ้นยืน เขาคอยชายผู้นั้นเดินออกไปก่อน จากนั้นจึงเดินตาม
นายใหญ่เฉิงทำได้เพียงส่งพวกเขาออกไป
“ใต้เท้าเฉา ตกลงนี่มันเรื่องอะไรหรือ” เขาคว้าเฉาเปี๋ยจย้าที่เดินห่างกันไม่กี่ก้าวไว้แล้วกระซิบถาม
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร แค่มาขอดูเฉยๆ ดูของนายรองเป็นหลัก” เฉาเปี๋ยจย้าพูดพลางเหลือบมองชายที่อยู่ด้านหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบบอก “ทำงานให้กับคนจากเมืองหลวง”
พูดถึงเพียงเท่านั้น นายใหญ่เฉิงก็เข้าใจในทันที
ทำงานให้กับคนจากเมืองหลวงหมายความว่ามีคนจากเมืองหลวงต้องการถามไถ่เรื่องของนายรองเฉิง
มีผู้ใดจากเมืองหลวงที่อยากรู้เรื่องของนายรองเฉิงกัน
หลังจากเฉาเปี๋ยจย้าจากไปไม่นาน นายรองเฉิงได้ส่งคนกลับมา
“มีคนตรวจสอบข้อมูลการสอบขุนนางของข้า บอกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง” บ่าวถ่ายทอดคำพูดของนายรองเฉิง
ยามเข้าสอบการคัดเลือกขุนนาง ประวัติของนายรองเฉิงถูกส่งไปหมดแล้ว และมีเพียงกรมพระคลังเท่านั้นที่จะสามารถตรวจสอบได้
ข้อมูลการสอบขุนนางมีมากมาย เหตุใดถึงอยากดูของนายรองเฉิงได้เล่า
นอกจากเรื่องเลื่อนตำแหน่งแล้ว ไม่มีเหตุผลอื่นใดเลยจริงๆ !
นายใหญ่เฉิงทั้งดีใจและตกใจ
ข้อมูลการสอบขุนนางตรวจสอบเข้มงวดมาโดยตลอด ผู้สมัครขาดคุณสมบัติในข้อนี้เป็นจำนวนมาก จนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
“ข้อมูลการสอบขุนนางของนายรองมีอะไรผิดพลาดหรือ” เขารีบถาม
“บอกว่าไม่ครบถ้วน จึงต้องตรวจสอบอีกครั้ง” บ่าวตอบ
จู่ๆ นายใหญ่เฉิงก็กระจ่าง เฉาเปี๋ยจย้ามาเพราะสิ่งนี้นี่เอง
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” เขาพูดและนั่งลงอย่างไม่แยแส “ไว้ข้าไปถามจวนว่าการดูอีกที จะไม่ให้ข้อมูลการสอบขุนนางมาทำลายอนาคตได้”
เรื่องกะทันหันเช่นนี้ทำให้ตระกูลเฉิงใจเต้นตุ้มต่อมอยู่หลายวัน แต่นายใหญ่เฉิงได้ไหว้วานถามไถ่เรื่องนี้อยู่ตลอด ใช้ทั้งเงินและเส้นสายทั้งหมดที่มี แต่กลับไม่พบอะไรเลย
ทุกคนต่างบอกว่าไม่มีอะไร แค่ถามดูเฉยๆ เท่านั้น
จะถามมากสักเพียงใดก็มิอาจถามความได้เพิ่มเติม นายทั้งสองของตระกูลเฉิงทำได้เพียงรออย่างเป็นกังวล แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือแย่ก็ยังไม่รู้อยู่ดี ซึ่งดูเหมือนเหตุการณ์นี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
มีคนถามเรื่องของบ้านตระกูลเฉิง ย่อมมีคนสืบเรื่องบ้านตระกูลโจวเช่นเดียวกัน
“ชุนหลิง เจ้าถามเรื่องพวกนี้ไปทำไมหรือ”
ณ หอเต๋อเซิ่ง ชายผู้หนึ่งแทะเมล็ดแตงโมถาม
หากอยากจะสืบหาคนในเมืองหลวงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมืองหลวงนั้นช่างกว้างให้นัก แต่ก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกัน เพราะมีผู้คนมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะในร้านอาหาร โรงน้ำชา และหอนางโลม
“ข้าติดตามแม่นางจูออกไปข้างนอก หากจะรู้ข่าวสารบ้านเมืองสักหน่อยก็ย่อมดีกว่ามิใช่รึ” ชุนหลิงพูด “พี่ชายที่แสนดี บอกข้าทีเถิด”
“ไปถามนายหญิงเจ้าเถิด นางรู้ดีกว่าพวกข้า” บ่าวอีกคนพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะให้นายหญิงสอนข้าได้อย่างไร ข้าต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ชุนหลิงพูดอย่างจริงจัง
“ชุนหลิงช่างเป็นเด็กรู้ความเสียจริง ” บ่าวทั้งหลายยิ้มแล้วชมเชย
“แม่นางจูดีกับข้ามาก ข้าอยากทำตัวให้ดีขึ้นและช่วยนางให้ได้มากขึ้น อย่างน้อยคือไม่เป็นตัวถ่วงของนาง” ชุนหลิงก้มหน้าเอ่ยด้วยความเขินอาย
“ได้ ได้” บ่าวทั้งหลายยิ้มตอบ เก็บใบหน้าขี้เล่นและรอยยิ้มนั้นไว้ “ถ้าอย่างนั้น มา ข้าจะเล่าเรื่องตระกูลมีผู้อำนาจในเมืองหลวงให้เจ้าฟัง เริ่มจากเชื้อพระวงศ์ก่อน”
ชุนหลิงพยักหน้า
“ไม่รีบ พี่ชายเล่าให้ข้าฟังทีละคนเถิด ข้ายังพอจำได้” นางเอ่ย
ไม่รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคง ในเมื่อถามในสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ นางไม่รีบ นางยังเด็ก นางมีเวลา
หากเทียบกับชุนหลิงที่ขี้กังวลทั้งยังต้องระแวดระวังตัวมากมาย คนของตระกูลหวังกลับสืบข่าวคราวได้อย่างง่ายดาย
“ตระกูลโจวไม่มีอะไรต้องพูดมาก เป็นคนส่านโจว ร่ำรวย เป็นถึงกุยเต๋อหลางเจียง” ชายผู้นั้นทำท่าชั่งน้ำหนักเงินในมือแล้วพูดอย่างสบายใจ
กู่ป๋อโยนเงินหนึ่งพวงให้ชายผู้นั้นอย่างไม่ลังเล
“ถ้าหากต้องเล่าละเอียด ก็มีเรื่องให้พูดอยู่บ้าง…” ชายผู้นั้นรีบหันหน้ากลับมาทันทีพร้อมทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเก็บเงินสองพวงไว้อย่างดี “กุยเต๋อหลางเจียงแห่งตระกูลโจวไม่ธรรมดาเลย”
“เหตุใดถึงไม่ธรรมดา ขุนนางฝ่ายบู๊ระดับนี้พบได้ทั่วไปในเมืองหลวง” ผู้ติดตามคนหนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งมาหลายปีแล้ว กินบุญเก่าของส่านโจวอยู่ เหตุใดถึงบอกว่าไม่ธรรมดาเล่า”
“นั่นมันเมื่อก่อน” ชายผู้นั้นหัวเราะและมองดูพวกเขาอย่างลำพองใจ
พวกคนบ้านนอกนี่ช่างโง่เขลานัก แต่อย่างน้อยก็เป็นคนบ้านนอกที่ร่ำรวย
“ตอนนี้กุยเต๋อหลางเจียงโชคหล่นทับ” ชายผู้นั้นยิ้มเอ่ยอย่างมีเลศนัย
โชคหล่นทับหรือ
กู่ป๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงได้ไปดูงานโคมไฟบนถนนเทียนเจียได้อย่างนั้นหรือ
“เพราะพวกเขามีนางฟ้าอยู่ในบ้าน” ชายผู้นั้นพูดเสียงเบา
กู่ป๋อตะลึง
สักพักก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นในโรงน้ำชา
“ข้าไม่ได้โกหก ข้าไม่ได้โกหก”
ชายผู้นั้นถูกผู้ติดตามหลายคนกดตัวไว้จนตะโกนเสียงดัง
“อย่าตบหน้าข้า!”
ใบหน้าของเขาไม่ได้ถูกตี แต่กลับยับเยินไปทั้งหน้า
“ที่ให้เงินเจ้าไม่ใช่เพราะพวกเราโง่เขลา แต่แค่ไม่อยากออกแรงให้เหนื่อย ยังจะไม่รู้จักพอใจอีก อย่ามาพูดเหลวไหลที่นี่! ” กู่ป๋อยิ้มเยาะพูด “เลี้ยงนางฟ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าไม่พูดว่าบ้านของตระกูลเขาเป็นเทพกลับมาจุติบนโลกมนุษย์เลยเล่า”
“โถ โถ ข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้า” ชายผู้นั้นตะโกน “ในบ้านของตระกูลโจวมีแม่นางหมอเทวดาอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของนักพรตหลี่ ยอดปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า สามารถช่วยคนตายแล้วฟื้นได้ เคยช่วยนายใหญ่ของตระกูลอำมาตย์เฉิน บัณฑิตถงที่ถึงฆาตให้รอดได้ และรักษาท่านชายน้อยแห่งตระกูลฉินจากจวนกงจู่ให้หายเป็นปกติได้ ช่างแสนวิเศษนัก ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น!
กู่ป๋อและคนอื่นๆ สีหน้าประหลาดใจ
ว่าอย่างไรนะ
แม่นางหมอเทวดาอย่างนั้นหรือ
ลูกศิษย์ของผู้บำเพ็ญพรตหลี่ ยอดปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋าหรือ
แถมยังมีชื่อเสียงเรียงนามของคนที่นางเคยรักษามากมาย
อำมาตย์เฉิน บัณฑิตถง จวนกงจู่!
ถึงจะเป็นคนต่างเมือง แต่กลับเข้าใจความหมายของอำมาตย์ บัณฑิต องค์หญิง!
เป็นเช่นนี้เองหรือนี่!
“ถึงว่าตระกูลโจวถึงไปที่ถนนเทียนเจียได้” กู่ป๋อพยักหน้าพูด
หากได้รักษาใครสักคนจากตระกูลที่เอ่ยมา ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้ดูงานโคมไฟบนถนนเทียนเจีย ยิ่งรักษาไปถึงสามตระกูลแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ตระกูลโจวเลี้ยงหมอเทวดาไว้หรือ ช่างโชคดีเสียจริง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้า” ชายผู้นั้นตะโกน “ปล่อยข้าเร็ว”
กู่ป๋อก้มหน้ามองชายผู้นั้น ไม่ได้ส่งสัญญาณให้ทุกคนปล่อยมือ แต่กลับส่งสัญญาณให้ลงมือหนักขึ้น
ชายผู้นั้นร้องโหยหวนทันที
“เจ้าไม่ได้โกหกพวกเราหรือ” กู่ป๋อเยอะเย้ย “ทุกคนในเมืองหลวงรู้ข่าวนี้แล้วไม่ใช่รึ เจ้ายังกล้ารับเงินของพวกเราอีก ยังจะมาบอกว่าเป็นความลับสุดยอดอีก! ”
ชายผู้นั้นถูกเหยียบจนร้องโหยหวน ในใจเอาแต่พร่ำบ่นว่าตนนั้นช่างโชคร้ายนัก
“อันนั้นไม่นับ ไม่นับ ข้าให้เปล่าไม่คิดเงิน ข้ามีความลับสุดยอดจริงๆ ” เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ตอนนี้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ พูดมาเร็ว!” กู่ป๋อพูดเสียงเย็นชา
“กุยเต๋อหลางเจียงแห่งตระกูลโจว ไม่เพียงแต่จะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ยังจะมีโชคลาภอีกด้วย” ชายผู้นั้นรีบพูด
“ไร้สาระ!” กู่ป๋อถ่มน้ำลายออกมาอีกครั้ง “มีหมอเทวดาอยู่ที่บ้าน ไม่รวยก็แปลกนัก! ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ชายผู้นั้นรีบตะโกน “หมอเทวดาไม่ได้ทำเงินให้ โชคลาภมาจากอีกเรื่องหนึ่ง”
เหตุใดหมอเทวดาถึงทำเงินให้ไม่ได้
กู่ป๋อขมวดคิ้ว
“เจ้ารู้จักเรือนไท่ผิงในเมืองหลวงหรือไม่” ชายผู้นั้นรีบเอ่ย กลัวว่าจะถูกตำหนิอีกครั้งโดยไม่ให้โอกาสพูด
รู้จักแน่นอน
หลังจากที่พวกเขามาถึง ท่านชายหวังสิบเจ็ดแร้นแค้นจนถึงขนาดไม่มีเงินพอที่จะพักโรงเตี๊ยมก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำ แต่เนื่องจากสาวนางโลมไม่ยอมให้เขาไป จึงมองหาร้านอาหารชื่อดังในเมืองหลวงกินไปหลายมื้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรือนไท่ผิงแห่งนี้ ทั้งยังได้ลิ้มรสเต้าหู้ไท่ผิงอันโด่งดังของเมืองหลวงไปแล้วด้วย
เมื่อนึกถึงเต้าหู้ไท่ผิง กู่ป๋อก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ช่างเลิศรสนัก
หากไม่ใช่เพราะไม่สามารถขนส่งทางไกลได้ มิเช่นนั้นเขาจะนำกลับไปให้นายท่านและฮูหยินกินอย่างแน่นอน
“รู้จักเรือนนางฟ้าหรือไม่” ชายผู้นั้นพูดต่อ
รู้จักแน่นอน นางฟ้าผ่านทาง แต่ว่ากินในช่วงฤดูหนาวจะดีมากและนำกลับไปได้ ทุกวันนี้ร้านข้างถนนล้วนมีกันทุกร้าน ว่ากันว่ามาจากนางฟ้าผ่านทาง ทำง่ายเช่นนี้ กลับบ้านจะลองทำดู
“รู้จัก…” ชายผู้นั้นกำลังจะถามต่อ แต่กลับโดนกู่ป๋อเหยียบเท้า ขัดจังหวะเขา
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว พูดมาตรงๆ ” กู่ป๋อชักสีหน้าตะโกน
“สองร้านนี้ล้วนเป็นของตระกูลโจวทั้งสิ้น” ชายผู้นั้นตะโกนตอบ
ว่าอย่างไรนะ
เป็นของตระกูลโจวทั้งหมดเลยหรือ!
“นายใหญ่โจว”
ประตูเรือนเปิดออก มองเห็นนายใหญ่โจวนั่งอยู่ด้านใน ท่านชายเฉิงสี่เดินอย่างลังเล แต่พอเห็นผู้ดูแลอู๋และสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าอยู่ เขาจึงกัดฟันเดินเข้ามา
“นี่คือร้านของน้องสาวข้า ท่านดูสมุดบัญชีเล่มนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก” เขาพูดเสียงสั่น
แม้ภายนอกจะดูอ่อนแอ แต่ก็ล้วนแต่แซ่เฉิง คงต่างกันไม่มาก ช่างน่าขันสิ้นดี
นายใหญ่โจวยกถ้วยชาขึ้น ไม่เหลียวมองเขาเลยแม้แต่น้อย