พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 319 คำพูด
ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้อนรนจนต้องเดินตามเข้าไป พ่อบ้านเฉาลากทหารสี่นายและคนจากตระกูลหวังออกมา ก่อนจะโยนออกมาหน้าประตู
“กล้าดีอย่างไรถึงมากลั่นแกล้งชาวบ้านเช่นนี้! ไม่เกรงกลัวฟ้าดินเลยหรืออย่างไร!” พ่อบ้านเฉาตะโกนลั่น
เสียงโห่ร้องว่า ‘เยี่ยม’ ดังมาจากทั่วสารทิศ
“ตีได้ดี!” เสียงคนมากมายตะโกนออกมา
“พวกเจ้าทำอะไรของเจ้า คิดจะก่อเรื่องหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าคือใคร” ขุนนางผู้น้อยผู้นั้นเอ่ย
พอเห็นคนของตนที่โดนทุบตี ขุนนางผู้น้อยตกตะลึงทว่าไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด สายตาของเขากวาดมองไปทั่วอย่างรวดเร็ว คำพูดนับหมื่นนับพันแล่นเข้ามาในหัว
หญิงผู้นี้พูดจาติดสำเนียงทางเหนือ ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามนั้นมาจากเมืองหลวง ท่าทางก็ดูเป็นพวกมีฝีมือเสียด้วย คงจะเป็นลูกสาวจากตระกูลขุนนางในเมืองหลวงกระมัง…
เขากวาดตามองเสื้อผ้าอาภรณ์ของนาง ก็ดูเรียบง่าย พอมองไปที่รถม้าด้านหลัง ก็ธรรมดานี่…
ด้านหลังยังมีกระโจมที่ตั้งอยู่ริมถนนด้วย คิดไปคิดมาแล้วคงมิใช่ลูกสาวขุนนางยศใหญ่โตอันใดกระมัง ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถพักริมทางอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ได้
“กล้าดีอย่างไรถึงมาขัดขวางงานราชการของใต้เท้าเฝิงเจ้าแห่งสามสำนัก!” เขาตะโกนตอบโต้ในทันใด ราวกับกลัวว่าคนจะไม่ได้ยิน ถึงกับต้องตะโกนเน้นย้ำอีกครั้ง “ใต้เท้าเฝิงเจ้าแห่งสามสำนักจากเมืองหลวง! ใต้เท้าเฝิงผู้ถือตราผู้แทนโอรสแห่งสวรรค์!”
พร้อมกับเสียงตะโกนนั้น สีหน้าของชายร่างผอมก็ยิ่งดูไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ
เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจเขา แต่กลับมองไปที่ชาวบ้านอยู่โดยรอบ
“พวกเขาไล่พวกเจ้าออกไปกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ ก็เพื่อที่ตนจะได้มีที่อาศัยพักพิง ไหนพวกเจ้าลองพูดมาซิ ว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นโจร ไหนพวกเจ้าลองพูดว่าซิ ว่าควรจะตีพวกเขาดีหรือไม่” นางเอ่ยถาม
“พวกเขานั้นแหละที่เป็นโจร! พวกเขานั้นแหละที่เป็นโจร!”
“สมควรโดนตี! สมควรโดนตี!”
เหล่าชาวเมืองตะโกนอย่างฮึกเหิม และแน่นอนว่าในนั้นมีเสียงของพ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวไพร่ด้วย ทว่าพวกเขาเข้าไปรวมตัวกับฝูงชนจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
เสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้คนที่เห็นเหตุการณ์ตกอกตกใจ
“ไม่ได้ไล่เสียหน่อย พวกเขาเต็มใจออกไปเอง ข้าให้เงินไปแล้วด้วย…” ขุนนางผู้น้อยรีบตะโกนบอก พลางหันมองไปทางชายร่างผอมบางทันที “ใต้เท้าเฝิง ท่านเดินทางมาทั้งวันทั้งคืนมิได้หยุดหย่อน พวกเข้าทำไปก็เพื่อท่าน…”
“เงินหรือ บางคราเงินนั้นสำคัญนัก ทว่าบางคราก็ไม่มีค่าเลยแม้แต่นิด ยามหิวโหยใกล้จะตาย สิ่งที่ต้องการคืออาหาร แต่ไม่ใช่เงินทอง พวกเขามานอนที่ศาลาแห่งนี้ ก็เพื่อหาที่ซุกหัวนอนสักคืน พอไล่ออกไป ให้เงินแล้วอย่างไรเล่า ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ ผู้เฒ่าทั้งหลาย หญิงสาว ลูกเล็กเด็กแดง เจ้าจะให้พวกเขาไปอยู่ที่ใด” เฉิงเจียวเหนียงตะโกนขัดก่อนจะมองไปรอบๆ “พวกเจ้าต้องการเงินหรือ”
“ไม่ต้องการ! ไม่ต้องการ!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย…”
“คิดว่าเป็นขุนนางมีเงินแล้วจะรังแกผู้ใดก็ได้หรือ”
“แถมยังทำร้ายคนอีกต่างหาก…”
เสียงถกเถียงเซ็งแซ่ไปทั่ว จนเสียงของพ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวถูกกลบไปหมด
“ใต้เท้าของพวกข้าทำตามรับสั่งของฝ่าบาท…” ขุนนางผู้น้อยส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วตะโกนออกมา
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ถูกเฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขัดอีกครั้ง
“รับสั่งอย่างนั้นหรือ หากเป็นรับสั่งจากโอรสแห่งสวรรค์แล้ว จะใช้รังแกชาวบ้านอย่างไรก็ได้หรือ” นางเอ่ย ไม่รอให้ขุนนางผู้น้อยเอ่ยปากพูด สายตาก็มองไปที่ใต้เท้าเฝิง “ใต้เท้า นี่คือคนใต้บังคับบัญชาของท่านหรือ ท่านยอมให้คนใต้บังคับบัญชาของท่านทำเรื่องไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ได้หรือ”
ใบหน้าของชายร่างผอมใต้แสงตะเกียงนั้นพร่ามัว
เฉิงเจียวเหนียงพูดจบแล้วก็ไม่ได้เอ่ยคำใดต่อ ทว่าเอาแต่จ้องมองไปยังใต้เท้าผู้นั้น
คนที่ยืนอยู่รอบข้างสัมผัสถึงความเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด ทว่า ณ ที่นั้นกลับไม่มีความสงบสุขเลยแม้แต่น้อย มีเสียงเด็กร้องไห้ มีทั้งเสียงถกเถียงของเหล่าชาวเมือง และเสียงโหยหวนของเหล่าทหารที่ถูกทุบตี…
“เจ้าโง่!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดลงในพริบตา
ขุนนางผู้น้อยกุมหน้าเดินถดถอยหลัง สายตามองชายร่างผอมด้วยความหวาดกลัว
“กล้ารังแกชาวเมืองถึงเพียงนี้! ยังกล้าพูดจาอวดอ้างเหลวไหลอีกหรือ!” ชายผู้นั้นขมวดคิ้วตะโกนลั่น ราวกับกำลังเดือดดาลเป็นอย่างมาก ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้มไปหมด
“ใต้เท้า ใต้เท้า พวกข้าทำเพื่อท่านนะขอรับ…” ขุนนางผู้น้อยเอ่ย
“พวกเจ้ารังแกชาวบ้านไปทั่วเพื่อข้าอย่างนั้นหรือ หยามเกียรติโอรสแห่งสวรรค์เพื่อข้าหรือ” ชายร่างผอมตะโกนพลางชี้นิ้ว “ข้ามิเคยทำเช่นนั้น!”
สีหน้าของชายร่างผอมภายใต้แสงตะเกียงดูร้อนรนและเกรี้ยวกราด เหล่าชาวบ้านถอนหายใจ ยังดีที่ใต้เท้าผู้นี้ดูเป็นขุนนางตงฉิน ไม่เข้าข้างขุนนางด้วยกัน…
“พวกเจ้าทำผิดก็ย่อมเป็นความผิดของพวกเจ้า แต่ก็พูดยากหากจะบอกว่าข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” ชายร่างผอมถอดหายใจ พลางยกมือขึ้นคำนับไปรอบทิศ “เป็นความผิดของข้าเอง ที่ทำให้ทุกท่านต้องเสียขวัญเช่นนี้”
“จะโทษใต้เท้าก็ไม่ได้หรอก…”
“ใต้เท้าก็ไม่รู้เรื่องด้วยหรือนี่…”
“บอกกับนายในง่าย บอกกับบ่าวนั้นยากนัก[1]…”
เสียงพูดคุยดังขึ้นทั่วสารทิศ ทว่าบรรยากาศดูผ่อนคลายลงไปมากโข
ขุนนางผู้น้อยไม่กล้าเอ่ยคำใด เขามองไปทางเฉิงเจียวเหนียงด้วยสายตาเคียดแค้น
หญิงนางนี้ก่อเรื่องดีนัก! ไว้ถึงคราวของพวกข้าก็แล้วกัน!
สายตาของหญิงสาวเองก็มองมาเช่นกัน แม้อยู่ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีทว่ากลับมองเห็นดวงตาดำขลับของนางได้อย่างชัดเจน ขุนนางผู้น้อยรีบหลบตาในทันที
“ใต้เท้า ในเมื่อทำผิด ก็ต้องได้รับโทษ…”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ
“มีชาวเมืองนับร้อย ถูกทุบตีได้รับบาดเจ็บ…”
ว่าอย่างไรนะ
ขุนนางผู้น้อยเงยหน้าขึ้นราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน หญิงนางนี้ยังไม่เลิกแล้วต่อกันอีกหรือ
พวกเขาไปบาดหมางกับนางตั้งแต่เมื่อใด
ชายร่างผอมได้ยินดังนั้นก็ตกใจขึ้นมา ก่อนจะรีบเดินเข้ามาใกล้
“คนเจ็บอยู่ที่ใด” เขาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
พ่อบ้านเฉาได้ยินเฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก็รีบมองหาคนเจ็บก่อนจะรุดหน้าเดินไปก่อน
ความจริงก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด แถมยังล้มลุกคลุกคลานตามกันมาดูคนทะเลาะกันอีก พ่อบ้านเฉาตบเขาอย่างแรงจนล้มลงไปนั่งกองบนพื้น
“คนเจ็บอยู่ที่นี่ขอรับ…” พ่อบ้านเฉาตะโกน
ฝูงชนรีบแหวกทางออก ก็เห็นชายชราที่ถูกตบจนฟันร่วงปากแตกนั่งอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร
เจ็บหนักไม่เบานี่…
“ท่านผู้เฒ่า…” ชายร่างผอมรีบเดินเข้าไป ก่อนจะย่อตัวลงแล้วคว้าท่อนแขนของชายชราไว้ สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดนัก “ข้าไร้ความสามารถ สั่งสอนคนของข้าไม่ได้!”
พอเห็นชายร่างผอมทรมานใจราวกับจะร้องไห้ออกมา ฝูงชนที่ล้อมรอบก็พากันโห่ร้อง ช่างเป็นขุนนางผู้ซื่อตรงยิ่งนัก
“ไม่ใช่ความผิดของใต้เท้าหรอก…”
ผู้คนพากันแซ่ซ้อง
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นความผิดของข้าเอง” ชายร่างผอมเอ่ยอย่างหนักแน่น
“หากผิดจริง เช่นนั้นใต้เท้าก็ต้องตัดสินอย่างเที่ยงธรรม”
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเสียงเรียบ
ชายร่างผอมหันไปมองนาง แววตาฉายความลังเล
“หากไม่เด็ดขาด บ้านเมืองย่อมวุ่นวาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ลูกไม่กตัญญูเป็นความผิดของพ่อ บัณฑิตไม่ได้ความเป็นความผิดของอาจารย์”
เมื่อคำนั้นถูกเอ่ยออกมา ชายร่างผอมก็ยืนขึ้นในทันใด
“ใครก็ได้มานี่ที จับตัวทั้งห้าคนนี้ไป ปลดยศทหาร แล้วส่งไปตัดสินโทษที่ศาลาว่าการเมืองไท่ชาง”
ว่าอย่างไรนะ ปลดยศทหารอย่างนั้นหรือ
เมื่อสิ้นเสียง เหล่าทหารที่อยู่บนพื้นและขุนนางผู้น้อยก็หน้าถอดสีในทันที
เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว! กว่าพวกเขาจะได้ตำแหน่งนี้มา ต้องลงทุนลงแรงไปมากเท่าใด หากต้องเสียผลประโยชน์จากตำแหน่งนี้ไป ก็เท่ากับไม่เหลืออะไรแล้ว มีแต่ตายสถานเดียว!
“ใต้เท้า ใต้เท้า ไว้ชีวิตพวกข้าเถิด”
“ใต้เท้า ใต้เท้า พวกข้าผิดไปแล้ว!”
ชายร่างผอมไม่ไหวติงก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน
“หากรู้ว่าผิดแต่แรก เหตุใดถึงได้ทำเช่นนั้น” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กวาดสายตามองคนทั้งห้า
“ใต้เท้า ท่านจะลงโทษพวกข้าไม่ได้นะขอรับ!” ขุนนางผู้น้อยรีบเอ่ยขึ้นมาในทันใด เขายอมไม่ได้อีกต่อไป สีหน้าร้อนรนยิ่งนัก “ข้าเป็นคนของสำนักขนส่งถนนไท่ชางนะขอรับ…”
พอเขาเอ่ยขึ้น องครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติในทันใด
“ท่านก็ลงโทษพวกข้าไม่ได้เช่นกัน พวกข้าเป็นองครักษ์ของฝ่าบาท พวกข้าเป็นคนของสำนักซานปัน!” พวกเขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งไม่ยอมแพ้
เจ้าแห่งสามสำนักผู้โชคร้ายที่ถูกผลักไสให้มาทำงานยากลำเข็ญเช่นนี้ ปีหนึ่งคงได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเพียงไม่กี่หน มีหรือจะเทียบกับพวกเขาได้!
เมื่อถูกโต้แย้งเช่นนี้ สีหน้าของชายร่างผอมก็เริ่มไม่สู้ดีนัก ดวงตาฉายแววจนใจไร้ทางเลือก
เมื่อครู่ที่คนเหล่านั้นพูดก็ถูก บอกกับนายในง่าย บอกกับบ่าวนั้นยากนัก…
“หากใต้เท้าลงโทษไม่ได้ เช่นนั้นชาวเมืองลงโทษแทนได้หรือไม่”
เสียงเรียบของหญิงสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ชายร่างผอมมีไหวพริบพอตัว เขายืนเหยียดหลังตรงในทันใด
“สามหาว!” เขาตะโกนลั่นก่อนจะหันไปมองคนทั้งห้าตรงหน้า “พวกเจ้ารู้ดีว่าตนเองเป็นใคร
แต่กลับรังแกชาวบ้าน หยามเกียรติโอรสแห่งสวรรค์ ข้าลงโทษพวกเจ้าไม่ได้ ข้าไม่มีอำนาจนั้น เช่นนั้นก็ให้ชาวเมืองเป็นตัดสินก็แล้วกัน!”
เขาพูดจบก็หันไปมองรอบกาย
“ท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย ท่านเห็นว่าสมควรลงโทษหรือไม่”
พอได้ยินเขาถามเช่นนั้น ผู้คนในที่นั้นก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงของชาวเมืองนับสิบจะเริ่มดังขึ้น
“ลงโทษ! ลงโทษ!”
“สมควรลงโทษหรือไม่” ชายร่างผอมถามอีกครั้ง
เมื่อมีคนเริ่ม คราวนี้จึงมีคนร่วมผสมโรงมากยิ่งขึ้น
“ลงโทษ! ลงโทษ!”
เสียงขานตอบของคนหลายสิบดังก้องไปทั่วฟ้ายามราตรี
“ลงโทษได้หรือไม่” ชายร่างผอมตะโกนถามขึ้นอีกครั้ง
“ลงโทษได้! ลงโทษได้!”
คราวนี้ทุกคนเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
“ท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย พวกท่านจะร่วมลงชื่อในประชามติกับข้าได้หรือไม่” ชายร่างผอมเอ่ยเสียงดัง
“ลงชื่อ! ลงชื่อ!”
เสียงตะโกนกึกก้องดังคลอไปกับสายลมยามค่ำคือที่โบกโชย
“ดี หากข้าไม่ได้ทำเพื่อราษฎร ตำแหน่งขุนนางนี้ ข้าก็จะขอสละไปเสีย!” ชายร่างผอมเอ่ยพลางยกมือขึ้นกุมไหล่ ใบหน้ากระตุกเกร็ง สีหน้าดูตื่นเต้นไม่น้อย
“เพื่อราษฎร! เพื่อราษฎร!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นตามๆ กันอีกครั้ง เสียงนั้นกึกก้องไปทั่วศาลาพักม้า
พอได้ยินเสียงตะโกน เหล่าองครักษ์และขุนนางผู้น้อยก็หน้าซีดเผือด ไม่อาจเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ยามที่ยกแส้ฟาดเพื่อขับไล่เหล่าชาวเมืองออกไปนั้น เหล่าองครักษ์คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะร้องตะโกนเสียงดังถึงเพียงนี้ คลื่นเสียงถาโถมเข้ามา ราวกับจะซัดพวกเขาให้แหลกสลาย…
หมดสิ้นแล้ว หมดสิ้นแล้ว…
เหตุใดถึงกลายเป็นการลงประชามติไปได้
นี่มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกันแน่
ประชามติน่ะหรือ ประชามตินั้นเหมือนดังภูผาแกร่ง ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าจะรั้งรอ!
ภูเขาแกร่งลูกนี้ ใช่ว่าขุนนางผู้น้อยจะไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาเคยพึ่งพิงกำลังของภูเขา กำจัดเหล่าขุนนางที่ไม่เอาการเอางานมากมาย
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะถึงคราวของเขาเสียแล้ว
หมดสิ้นแล้ว หมดสิ้นแล้ว…
ขุนนางผู้น้อยพูดไม่ออก ใบหน้าขาวโพลน เหงื่อเย็นชุ่มกายดั่งสายฝน ก่อนจะทรุดลงบนพื้น
พอเห็นขุนนางผู้น้อยและเหล่าองครักษ์ที่ล้มนั่งแน่นิ่งอยู่บนพื้น พอได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องที่ดังไม่หยุดด้านหลัง ชายร่างผอมก็เพิ่งรู้สึกว่าตนเองสามารถยืดอกอย่างองอาจได้เป็นครั้งแรกนับแต่ออกจากเมืองหลวงมา เป็นครั้งแรกที่ความขุ่นมัวภายในจิตใจถูกปลดปล่อย หากไม่ติดว่าตนเองก็เป็นขุนนาง เขาก็อยากจะเข้าไปร่วมร้องตะโกนกับชาวเมืองเช่นกัน
เพราะความสุขเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงขนาดไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเกินเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
ทว่าบ่าวตระกูลหวังที่นอนหมอบอยู่บนพื้นนั้นรู้ดี
เดิมทีเรื่องมิควรเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะมีคนคอยชักจูงต่างหากเรื่องราวถึงได้กลายเป็นแบบนี้!
ต้องมีผู้ใดข่มขู่ให้ขุนนางผู้นั้นทำเช่นนี้เป็นแน่
เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีด สายตามองทอดออกไปกลางความมืด เห็นเงาสะท้อนของฝูงชนมากมาย ทั้งยังมองเห็นหญิงสาวที่หันหลังให้กับความอึกทึกคึกโครมนั้น กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังกระโจม
เป็นฝีมือของนาง เพียงพริบตาเดียว ก็ทำลายชีวิตและครอบครัวของคนห้าคนได้!
เงาร่างของนางทอดยาวออกไปเพราะแสงของคบเพลิงรอบทิศ สายลมยามค่ำคืนพัดพาให้เสื้อคลุมของนางปลิวไสว ทว่าเงาที่ปรากฏขึ้นนั้นเหมือนดั่งคนกำลังเหนี่ยวไกปืนง้างขวานมิปาน
………………………………..
[1] บอกกับนายในง่าย บอกกับบ่าวนั้นยากนัก เป็นสำนวนหมายถึง หากคนความช่วยเหลือจากคนเป็นนายย่อมได้รับการช่วยเหลือในทัน แต่หากบอกบ่าว บ่าวย่อมเรียกร้องเอาผลประโยชน์เสียก่อน จึงจะรายงานผู้เป็นนายให้