พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 321.2 ยกมือ (2)
“กี่โมงแล้ว คนมาเปลี่ยนเวรเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“หลับไม่ตื่นกระมัง…” อีกคนหนึ่งยืนพิงกำแพงเอ่ยอย่างเกียจคร้าย พูดไม่ทันจบก็กระเด้งตัวยืนตรงในทันใด ก่อนจะไถลตัวไปตามกำแพง
คนฝั่งตรงเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“เจ้าง่วงถึงเพียงนี้ จะมีแรงสู้ศึกได้อย่างไร… ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ใบหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง เลือดไหลอาบผ่านซอกนิ้วมือ
“มี…”
หลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกมาร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น
เสียงบางสิ่งกระทบพื้นพาให้คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนพื้นแตกตื่น ก่อนจะหันไปมองทหารองครักษ์ที่ “หลับจนล้ม” ลงบนพื้น
ประตูถูกเปิดออก
“หวังต้า!” ขุนนางร้องตะโกนอย่างตกใจในทันใด
นายอากรส่งเสียงชู่ให้เขาลดเสียง
“อยากตายหรืออย่างไร” เขาถลึงตาใส่พลางกดเสียงต่ำ
ด้านหลังมีคนตามเข้ามาอีกสองคน ก่อนจะช่วยกันปลุกและแก้มัดคนที่อยู่บนพื้น
“หวังต้า ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาช่วยข้าแน่นอน” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างดีใจน้ำตาไหลนอง
นายอากรส่งเสียงถุย
“ไม่ได้เรื่อง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เดินไหวหรือไม่ เร็วเข้า”
แม้จะถูกทุบตีจนเจ็บไปทั้งตัว แต่พอนึกถึงการหนีเอาชีวิตรอดแล้วทุกคนยังคงมีแรงฮึดขึ้นมา แต่ละคนพากันพยุงตัวเดินออกไปจากเรือน
“หวังต้า เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด พวกข้าหนีออกมาแบบนี้แล้ว วันหน้าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ…” ขุนนางผู้น้อยนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนรนใจ
คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง ยามใกล้ตายก็ตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด พอรอดตายแล้วก็เอาแต่ห่วงลาภยศศักดิ์ศรี
“วางใจเถิด” นายอากรส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ
ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นขัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดวงตาของขุนนางผู้น้อยก็พลันเบิกโพรงขึ้นมา
“ไส้ตะเกียง!” เขาร้องตะโกน ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนข้างๆ ทีมีน้ำเต้าห้อยอยู่ที่เอว เป็นเพราะยืนใกล้กัน ยามลดพันผ่านจึงได้กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เขาขบฟันกรอด “นี่มัน… นี่มัน…”
“เร็วเข้า” นายอากรถลึงตาเอ่ยบอกเข้า “หรือว่าเจ้าอยากจะนอนในหลุมด้วย”
ขุนนางผู้น้อยที่เพิ่งได้สติไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกไป
ไฟภายในศาลาพักม้าถูกพวกเขาใช้หินดับจนหมดก่อนหน้าแล้ว ความมืดปกคลุมชายเงาของชายทั้งหกที่ก้าวเดินออกไป วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากศาลาพักม้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีกองเพลิงลุกโชนขึ้น
“ไฟไหม้!”
ภายในศาลาพักม้ายังไม่มีเสียงร้องตะโกนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากข้างนอก ชายทั้งหกพลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากระโจมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนสี่คนถือคบเพลิงเฝ้าเวรยามอยู่
หลังจากเสียงตะโกนของพวกเขา คนภายในศาลาพักม้าก็รู้สึกตัวในทันใด ก่อนจะมีเสียงร้องไห้เสียงตะโกนโหวกเหวกโกลาหลตามมา
ลมราตรีพัดกรรโชก เปลวเพลิงลุกโชนภายในพริบตา
พ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกใจในบัดดล
“รีบดับไฟ!”
ทุกคนพากันกรูเข้าไป
“ไปแค่สิบคนก็พอ ที่เหลืออยู่คอยคุ้มกันกระโจม” พ่อบ้านเฉาตะโกนสั่งการ
ทันใดนั้นก็มีคนหอบข้าวของหม้อไหที่ยังไม่ทันได้เก็บดีวิ่งออกมา
ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย
ยามมองดูกองเพลิงโหมกระพือ ความหวาดกลัวที่เคยมีในจิตใจก็พลันหายไป แทนที่ด้วยความลิงโลด
คิดจะพรากชีวิตและครอบครัวของข้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!
ขุนนางผู้น้อยเหลียวไปมองศาลาพักม้าอย่างลำพองใจ แสงจากกองเพลิงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนร่างของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน
“พวกเจ้าไปหาที่หลบซ่อนตัวก่อน” นายอากรเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ากลับหันไปเห็นขุนนางผู้น้อยมองออกไปริมทาง
“โธ่เว้ย นังสารเลวนั่นทำแผนการของข้าพังพินาศ ทำให้พวกข้าต้องโดนทุบตี!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างโกรธแค้น
พอหันไปมองตามสายตาของเขา นายอากรก็เห็นว่ามีคนวิ่งออกมาจากกระโจมมากมาย ทั้งยังเหลือคนยืนเฝ้าเวรที่ข้างกระโจม ที่พากันชี้นิ้วไปทางศาลาพักม้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ทั้งยังมีหญิงสาวอีกสองคนเดินออกมาจากกระโจม
“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือที่ร้องทุกข์จนแผนของพวกเราพังยับเยิน” เขาถาม
ขุนนางผู้น้อยพยักหน้า
“แถมพวกมันยังทุบตีข้าอีกต่างหาก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองทหารสี่นาย
ทหารทั้งสี่พยักหน้า
“หวังต้า เอาไส้ตะเกียงมาให้ข้า…” จู่ๆ ขุนนางผู้น้อยก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกมา
“จะทำอะไร” นายอากรเอ่ย “รีบไปหาที่ซ่อนตัวเถิด พอไหม้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะออกมา”
“ข้าจะจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่พวกมันเสียหน่อย” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางหัวเราะ
ถึงคราวสั่งสอนเจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักที
นายอากรชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นไส้ตะเกียงในมือให้เขาพร้อมกับไหน้ำมัน
ยามนี้ผู้คนวิ่งพล่านอยู่ด้านนอกศาลาพักม้าก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขุนนางผู้น้อยไม่กลัวว่าผู้ใดจะเห็นข้า มือข้างหนึ่งถือไส้ตะเกียง มือข้างหนึ่งถึงไหน้ำมันก่อนจะวิ่งแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน
“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดผ้าคลุมออก ผมเพ่ายุ่งเหยิงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นศาลาพักม้า ปากก็ร้องไม่หยุด “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้!”
ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะมีฝูงชนวิ่งไปมามากมาย เหล่าผู้ติดตามก็มัวแต่คอยกัดพวกเขาไม่ให้วิ่งเข้ามา
มีเพียงบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างท่านชายหวังสิบเจ็ด ปั้นฉินเองก็ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงที่หน้ากระโจมมองดูกองเพลิงมอดไหม้
หากเทียบกับท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ตกใจแล้ว บ่าวชรานั้นตกใจยิ่งกว่า เขามองดูกองไฟ แล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
มีอันตรายจริงๆ ด้วย…
นางเป็นเทพเซียนผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร
เป็นไปได้อย่างไร เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ
ทันในนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นมา จ้องมองแม่นางน้อยที่แหวกผ้าคลุมผืนใหญ่ออกมา ก่อนจะชูของบางสิ่งในมือขึ้น
นั่นคือ..ธนูอย่างนั้นหรือ!
นางคิดจะทำอย่างไร
ขณะเดียวกันกับที่เขาจ้องมองอยู่นั้น แม่นางผู้นั้นก็ง้างธนูขึ้น มีเสียงผึ่งดังขึ้น ธนูก้านยาวพุ่งตรงออกไปข้างหน้า
ขณะเดียวกันขุนนางผู้น้อยที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนก็แกว่งไส้ตะเกียงในมือไปมา มืออีกข้างก็หมุนควงไหน้ำมันอย่างเพลินเพลินใจ
ตายเสียเถิด…
วินาทีนั้นศรธนูที่ทะยานเข้าก็เสียบทะลุลำคอของขุนนางผู้น้อยในทันใด
ขุนนางผู้น้อยตายจากไปโดยที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างของเข้าล้มลงไปบนพื้น ไส้ตะเกียงที่จุดไฟแล้วร่วงหลนลงบนร่างของเขา ไหน้ำมันในมือก็หกรดบนร่าง
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงชน
เหล่าคนที่พากันวิ่งพล่านกรีดร้องขึ้นมาอย่างโกลาหล
นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนต่างตกตะลึง ศาลาพักม้าไฟไหม้ คนนอกศาลาก็ติดไฟเองได้อย่างนั้นหรือ
นายอากรและทหารอีกสี่คนที่ยืนอยู่ในเงามืดนิ่งชะงัก
พลาดทำไส้ตะเกียงและน้ำมันหกรดตัวเองอย่างนั้นหรือ
นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของนายอากร ทว่าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นไปได้เล่า
แย่แล้ว! จะมาตายก่อนไฟดับได้อย่างไร!
เขารีบหันหลังกลับในทันที พลางจ้องมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นศรธนูเล็งมาที่เขาท่ามกลางแสงไฟพร่ามัว
“มานี่!”
เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามราตรี
เสียงนั้นพาให้ผู้คนหันมองมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตาเบิกโพลงเช่นกัน
นางยกธนูขึ้นมาทำไมกัน จะดับไฟหรือ
นางเรียกผู้ใดให้เข้ามา
เขามองตามทางที่ศรธนูชี้ออกไป
ก็เห็นแสงไฟสีแดงกระพริบริบหรี่อยู่ท่ามกลางความมืด คนห้าคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นมองมาอย่างตกตะลึง
“ไม่เชื่อง!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่นก่อนจะลดธนูในมือลง
สายตาของนายอากรมองไม่เห็นรอบข้างแม้แต่นิด เขาเห็นเพียงเปลวไฟจากปลายศรธนูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อด้านหลังศรธนูนั้น คือหญิงสาวร่างบางในผ้าคลุมที่ปลิวสไวเพราะแรงลม จากเงาที่เห็นเหมือนดั่งปีกของค้างคาวที่แผ่สยาย
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวของนายอากร ก่อนที่ศรธนุจะแทงทะลุใต้คางของเขาและปักแน่นบนลำคอ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้นในทันใด ไม่ขยับไหวแม้แต่นิด
เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติขึ้นมาในทันใด เสียงร้องของชายฉกรรจ์นั้นแหลมเล็กเสียงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาว
มีคนฆ่ากัน!
มีคนฆ่ากัน!
กว่าผู้คนโดยรอบจะรู้ตัว ภาพเบื้องหน้าก็สับสนวุ่นวายไปหมด
มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!
สายตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดมองตามศรธนูที่พุ่งออกไป เพราะแสงจากเปลวไฟที่ลุกโชนก็เห็นคนคนหนึ่งล้มตายลงในพริบตา
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่เขาได้เห็นคนฆ่ากัน!
แถมคนฆ่ายังเป็นหญิงสาวอีกด้วย!
แถมหญิงผู้นั้นยังเป็นคู่หมั้นของเขาอีกด้วย!
เขาหันไปมองคู่หมั้นของตนอย่างเหม่อลอย…
เฉิงเจียวเหนียงคงถือธนูอยู่ในมือ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าศรธนูจากด้านหลัง แล้วเล็งไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังร้องโหยหวน
“มานี่!” นางตะโกนคำเดิมออกไปอีกครั้ง
เหล่าทหารองครักษ์ที่แทบจะเสียสติไปแล้วไม่ได้ยินเสียงของนางเลยแม้แต่นิด ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดนั้นได้ยินอย่างชัดเจน
มานี่…
ไม่เชื่อง…
เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด…
ไม่เชื่อง… ก็ต้องตาย…
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลายลงคอ
“มีคนฆ่ากัน!”
เขากรีดร้องออกมาก่อนหมดสติเป็นลมล้มไป หลีกหนีความโกลาหลวุ่นวาย ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเงียบสงัด
ค่ำคืนอันมืดสนิท ศาลาพักม้าที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายในที่สุดก็เงียบสงัดลง
โจมของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่นอกศาลาพักม้าก็เพิ่งจะเงียบสงบลงหลังจากที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเข้ามาอาละวาดยกใหญ่
ปั้นฉินมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตานอนอยู่บนแคร่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโน้มตัวลงนอนบนเสื่ออย่างระมัดระวัง พอนอนลงก็มองเห็นคันธนูที่วางอยู่บนที่วางเท้าริมเตียงของเฉิงเจียวเหนียง
แม้จะอยู่ระหว่างทาง นิสัยเดิมของนายหญิงก็ไม่เคยเปลี่ยน คัดอักษร อ่านหนังสือและซ้อมธนู
ปั้นฉินยิ้มบางออกมา ก่อนจะหลับตานอนลง
เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาทางด้านหลังของศาลาพักม้าดังขึ้น ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินจนมองไม่เห็นผู้ใด
ในโรงฝืนแสงไฟสว่างวาบ หากมองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มห้าคนที่ใบหน้าบอบช้ำถูกมัดติดกันอยู่ หน้าประตูมีทหารองครักษ์สองนาย กำลังขยี้ตาอ้าปากหาววอด