พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 323 สะบัดแขนเสื้อ
โน้มน้าวคราแล้วคราเล่า แต่เฝิงหลินก็ยังแน่วแน่ว่าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน บรรดาขุนนางจึงต้องอยู่ต่อด้วยอย่างเสียไม่ได้
“พวกเจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อเพียงเพื่อจะอยู่เป็นเพื่อนข้า” เฝิงหลินเอ่ยเสียงเรียบ
เหล่าขุนนางจึงรีบไปตรวจดูผลของเพลิงไหม้และปลอบขวัญเหล่าประชาชน
เพลิงไหม้ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตสิบราย บาดเจ็บสามสิบสามราย หนึ่งในนั้นมีผู้สำลักควันบาดเจ็บสิบราย บาดเจ็บจากการโดนเบียดโดนเหยียบอีกยี่สิบสามราย ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นสูญเสียวัว ม้า และล่อไปหลายตัว ส่วนทรัพย์สินที่ถูกเพลิงไหม้เสียหายนั้นกำลังจัดการอยู่
ได้จัดการเคลื่อนย้ายศพ ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมีหมอที่ติดตามเหล่าขุนนางมาเป็นผู้ตรวจรักษา ประชาชนบางส่วนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรีบไปจากที่นี่ และบางส่วนที่ได้ยินว่าทางราชการจะให้เงินเยียวยาจึงรั้งรอกันอยู่ก่อน เสียงจอแจวุ่นวายอยู่นอกศาลาพักม้า ความเสียใจจากเพลิงไหม้บางเบาลงไปมาก
มนุษย์ก็เช่นนี้ เปราะบางแต่ก็เติบโตอย่างเข้มแข็ง
เฝิงหลินเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ ใช้หมวกปกปิดผมที่ถูกเผาไป หมอมาทำแผลให้เขาใหม่ เมื่อก้าวออกมาอีกครั้งกลิ่นอายตลอดทั้งตัวของเขาก็พลันเปลี่ยนใหม่
เปลี่ยนเป็นคนที่เหมือนผ่านร้อนผ่านหนาวมา เทียบกับเขาคนที่มาถึงศาลาพักม้าด้วยความเกรี้ยวกราดเมื่อคืนแล้ว เขาในยามนี้ดุร้ายขึ้นกว่าเก่า
สายตาเขาไปตกอยู่นอกประตู เห็นรถม้าขนของเตรียมจะออกเดินทาง เขาพลันตกใจขึ้นมา ทันใดนั้นจึงรีบก้าวออกไป
“ผู้มีพระคุณ ผู้มีพระคุณ โปรดรอก่อน” เขาป้องปากตะโกนเรียก
พ่อบ้านเฉาคลายบังเหียนหยุดรถม้าแล้วหันกลับมามอง
“พวกเจ้าจะกลับแล้วหรือ” เฝิงหลินเอ่ยถาม สายตาหยุดอยู่บนรถ
ผ้าม่านรถไม่ได้ปิดลงจึงเห็นแม่นางน้อยที่นั่งอยู่ด้านใน
เมื่อคืนเป็นยามราตรีที่มืดมิดจึงมองเห็นหน้าค่าตาไม่ถนัด ยามนี้ดูแล้วแม่นางน้อยอายุน้อยกว่าที่เขาคิดไว้ อายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น เพราะมีรูปร่างสูง ดังนั้นจึงยิ่งขับให้ดูผอมเข้าไปใหญ่ สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่ดวงตากลมโตนั้นยังคงมีแววประกาย
ดูแล้วเพลิงไหม้เมื่อคืนจะไม่ส่งผลกระทบต่อนางมากนัก
คิดดูแล้วก็ใช่ มีผู้ติดตามที่ปฏิกิริยาว่องไวระมัดระวังรอบคอบ ซ้ำวรยุทธ์ยังสูงส่งคอยคุ้มกัน จึงไม่ต้องมีอะไรให้คอยกังวล
“อ้อ ใต้เท้า ได้จับทหารพวกนั้นส่งให้เหล่าขุนนางคุมตัวไว้แล้ว เหตุการณ์เมื่อคืนก็ได้จัดการให้พวกเขาจดบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเราได้ลงนามอนุญาตไว้เรียบร้อย” พ่อบ้านเฉาเอ่ยบอก “ใต้เท้ายังมีเรื่องอยากกำชับอีกหรือไม่”
“กำชับอะไรกัน” เฝิงหลินส่ายหน้าเอ่ยแล้วคำนับให้รถม้าอย่างทอดถอนใจ “เฝิงหลินขอขอบพระคุณที่แม่นางช่วยชีวิตไว้อีกครั้ง”
“ใต้เท้ากล่าวเกินไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วคำนับคืนอยู่บนรถ “น้ำไฟไร้ตา เราจึงต้องดูแลตัวเอง”
ที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่ามีที่ใดไม่ถูกต้อง…
เหมือนว่าตั้งแต่ที่เขาลงจากรถม้ามา ณ วินาทีนั้น เรื่องราวก็ดูเหมือนจะแปลกๆ…แปลกตรงที่ใดกันล่ะ ก็บอกไม่ได้อีก หากต้องฝืนพูดล่ะก็ น่าจะเป็นโชคเข้าข้างอย่างมากกระมัง…
ขุนนางชั้นผู้น้อยจงใจยุยงใส่ร้าย แต่อาจเพราะมีคนเห็นความไม่ยุติธรรมนี้เข้า หรือเพราะคนรับใช้ของคนผู้นั้นถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องจึงจำต้องออกหน้า แล้วทำให้ขุนนางชั้นผู้น้อยคนนี้แบกก้อนหินมาทุบใส่เท้าตัวเอง[1]
เพลิงไหม้ใหญ่ครั้งนี้ก็เพราะคนของพวกเขามีจำนวนและพละกำลังมากจึงดับไฟเอาไว้ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ นึกไม่ถึงว่าพวกเขายังจับผู้บงการตัวเป็นๆ ได้อีกด้วย แม้ว่านักโทษสองคนที่สำคัญที่สุดจะถูกยิงตายไปในเหตุการณ์นั้นแล้ว แต่ขอเพียงมีสองคนนั้นอยู่ที่นี่ คนเป็นหรือตายก็ไม่ต่างกัน
หากไม่ได้พวกเขาช่วยจับคนพวกนี้ไว้ ต่อให้เขายังไม่ตาย เพลิงไหม้ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์นี้ก็คงไม่สำเร็จลุล่วงเช่นนี้ ไม่มีหลักฐานก็เปล่าประโยชน์ ซ้ำยังทำให้ศัตรูคิดกำเริบเสิบสานเข้าไปใหญ่ วางแผนทำร้ายเขาให้หนักข้อขึ้นไปอีก
ทว่ายามนี้ไม่เหมือนกัน คนเหล่านี้ที่จับไว้ได้ เขาไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่เอาศพวางให้พวกมันดูก็เพียงพอแล้ว!
แม้ว่าจะไม่เคยกลัวตายมาก่อน แต่ถ้าต้องตายก็ขอตายอย่างมีค่า หากตายไปเช่นนี้ก็จะตายไปอย่างไร้ประโยชน์เสียแล้ว
เฝิงหลินไม่ได้พูดอะไรอีก ยื่นมือคำนับอีกครั้ง
“แม่นางอย่าได้ถ่อมตัวไป เหมาะสมแล้วที่จะเป็นผู้มีพระคุณของเฝิงหลิน” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะออกมา
“อันที่จริงหากจะให้พูดเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ผู้ที่ช่วยชีวิตของใต้เท้าไว้ไม่ใช่ข้า คนที่ใต้เท้าควรขอบคุณก็ไม่ใช่ข้าเช่นกัน” นางบอก
หรือว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ
เฝิงหลินเงยหน้าขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เดินเข้าไปก้าวหนึ่งอย่างตื่นเต้น
“เป็นผู้ใด” เขาเอ่ยถามเสียงสั่น
“ตัวท่านอย่างไรเล่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอกแล้วหัวเราะอีกครั้ง ปล่อยม่านลง
ตัวเขาหรือ
เฝิงหลินตกตะลึง หมายความว่าอย่างไร
พ่อบ้านเฉายกบังเหียนเร่งม้าให้ควบไปข้างหน้า
“ไปก่อนแล้ว!” เขาตะโกนเสียงยาน
ทั้งคนทั้งม้าออกเคลื่อนขบวนไป เป็นไปตามที่ว่าไว้จริงๆ
“แม่นาง ขอถามชื่อแซ่ได้หรือไม่” เฝิงหลินรีบตะโกนขึ้น เดินตามขบวนไป
รถม้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีใครหันกลับมา ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
จนถึงทางแยกที่ต้องเลี้ยว พ่อบ้านเฉาจึงได้หันกลับไปมอง เห็นเหมือนเฝิงหลินยังคงยืนอยู่ตรงศาลาพักม้านั้น
“เฝิงหลินผู้นี้ข้าเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เป็นผู้พิพากษาในสำนักงานจัดเก็บภาษีของราชการสามฝ่าย[2] สามารถเข้าราชการสามฝ่ายซ้ำยังได้เป็นผู้พิพากษาของหนึ่งในสามฝ่ายนั้นย่อมมีความสามารถอยู่แน่นอน สมองแจ่มชัด แต่ข้อผิดพลาดที่มีของราชการสามฝ่ายนั้นคือสมองมีปัญหา…” เขาหันหน้าคุยเล่นด้วยสีหน้าผ่อนคลาย พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “หนุ่มคนนี้โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอนายหญิงของเราครั้งนี้ มิฉะนั้นแล้ว กลับเมืองหลวงไปนายท่านคงได้จัดงานศพแทนแล้ว…”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะขบขันออกมา
“นายท่านของเราไม่จำเป็นต้องไปงานศพของผู้พิพากษาคนนี้…” ทุกคนต่างหัวเราะเอ่ย
นั่นก็จริง ขุนนางบุ๋นบู๊ย่อมแตกต่าง ผู้สูงส่งกับต่ำต้อยก็แตกต่าง ย่อมไม่ได้ไปมาหาสู้กันในยามปกติอยู่แล้ว
พ่อบ้านเฉาลูบเคราหัวเราะออกมา
“นี่ ท่านเฉา” ผู้ติดตามที่อยู่ใกล้สุดขยับเข้ามาใกล้อย่างอดไม่ได้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “เหตุใดท่านจึงบอกกับใต้เท้าเฝิงผู้นั้นว่าท่านเป็นคนยิงธนูฆ่าคนคนนั้นเองด้วยเล่า”
เขาพูดพลางค่อยๆ ชำเลืองมองไปยังรถม้าด้านหลัง
“แย่งผลงานของนายหญิง…”
พ่อบ้านเฉาหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร พวกเจ้าไม่เข้าใจนายหญิง ข้าคุ้นเคยอย่างมาก…” เขาเอ่ยพลางยกมือลูบเครา “เรื่องนี้ไม่อยู่ในสายตาของนายหญิงด้วยซ้ำ จะเป็นผลงานอะไรได้…”
คนรอบข้างต่างพากันมองมาอย่างเลื่อมใส
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ตอนแรกเป็นท่านเฉาที่ไปรับนายหญิงมาจากเจียงโจว จะว่าไปแล้วก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับนายหญิงที่สุด…”
“ยามนี้ก็เป็นท่านเฉาที่ส่งกลับไปอีก ช่างเหมาะสมยิ่งนัก”
“นั่นน่ะสิ มิน่าล่ะตอนที่นายท่านเลือกคนในตอนนั้น จึงได้เลือกท่านเป็นคนแรก…”
ทุกคนหัวเราะออกมาเบาๆ
พ่อบ้านเฉามีใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ในใจกลับก่นด่าไม่หยุด
พวกเจ้าจะไปรู้อะไร! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคุ้นเคยในตอนที่ไปรับนางมาเจียงโจวครานั้นคืออะไร คือการรับโทษ!
เหมาะที่จะเลือกข้าหรือ พวกเจ้าจะไปรู้อะไร! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากถูกเลือกแล้วข้าหลบกลับบ้านไปร้องไห้น่ะ
ข้ารู้ใจนางข้าจึงได้บอกว่าเป็นข้าที่ยิงธนูนั้นน่ะหรือ พวกเจ้าไม่เห็นว่านายหญิงเอาธนูยัดใส่มือข้าในตอนที่คนกำลังเบียดกันออกมาตอนนั้นเลยหรือ
นั่นน่ะหมายความว่าไม่อยากให้ใครรู้อย่างไรเล่า! ความหมายเหล่านี้ก็ดูไม่ออก มิน่าล่ะข้าถึงได้เป็นพ่อบ้าน พวกเจ้าได้เป็นแค่ผู้ติดตาม
“เหตุใดนายหญิงไม่อยากให้คนรู้ว่าเป็นนายหญิงล่ะขอรับ ไอ้หยา พูดไปแล้วนอกจากนายหญิงจะฟื้นจากความตายมาได้ นึกไม่ถึงว่าฝีมือในการยิงธนูจะยอดเยี่ยมอีก” ผู้ติดตามลูบคางเอ่ยแล้วพยักหน้า “สมกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลโจวของเราจริงๆ…”
สมกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลโจว…
พ่อบ้านเฉาได้ยินเข้าก็รู้สึกแปลกๆ เขาหันไปมองรถม้าอย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่แม่นางน้อยที่ทำให้ตระกูลโจวอับอายจึงไม่อยากกล่าวถึงผู้นั้นสามารถทำให้ตระกูลโจวภาคภูมิใจได้เช่นนี้
ขณะกำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่นั้น เสียงกรีดร้องของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากท้ายขบวน ครู่เดียวก็ต่ำลง
เหล่าผู้ติดตามต่างหันไปหาต้นเสียง เห็นรถม้าตระกูลหวังที่อยู่ท้ายสุด
“แม่นางน้อยหวังเป็นอะไรอีกแล้ว” มีคนหัวเราะเอ่ยเสียงเบา
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนฮาครืน
พ่อบ้านเฉาก็หัวเราะตามเช่นกัน แต่ไม่นานก็หยุดอย่างรวดเร็ว
“หยุดพูดเหลวไหล” เขาตำหนิอย่างทีเล่นทีจริง ท่านชายน้อยตระกูลหวังอย่างไรก็เป็นท่านชาย อีกทั้งอาจจะได้เป็นสามีของนายหญิงในอนาคต ในใจจะดูถูกอย่างไร แต่ใบหน้าต้องโอนอ่อนยอมรับให้ได้
นี่คือการให้เกียรตินายหญิง
พูดจบเขาก็ยิ้มแย้ม เงยหน้ามองด้านหลัง
“…เหตุใดจึงไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเป็นนายหญิงทำ” เขาเอ่ย “แม่นางหวัง…ถุย ท่านชายหวังเห็นแล้ว ตกใจเกือบตาย กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ซ้ำยังเสียสติไปแล้ว”
นึกเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาได้ เหล่าผู้ติดตามก็หัวเราะกันออกมาอีก
“นั่นเพราะเขาขี้ขลาด” ทุกคนเอ่ยขึ้น
“เขาขี้ขลาดก็เรื่องหนึ่ง” พ่อบ้านเฉาเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “อย่างไรเสียนายหญิงก็เป็นสตรี…”
แม้เขาไม่ได้พูดคำที่เหลือต่ออีก ทุกคนก็เข้าใจ
สตรีสังหารคน จะทำให้คนเกิดความรู้สึกหลีกเลี่ยงเอาได้
“ข้าไม่สน ข้าไม่สน ข้าไม่อยากไปกับนาง ข้าไม่อยากเห็นนางอีก!”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกอดผ้าห่มตะโกนขึ้น
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่พร่ำบอกแต่ประโยคเหล่านี้ไม่หยุด บ่าวชราใช้สารพัดวิธีแล้ว เดิมทีเขาก็ไม่ใช่สตรีที่จะปลอบเด็กได้ เห็นท่านชายหวังสิบเจ็ดที่กร่นด่าดีดดิ้นกับพื้น เขาก็ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านชาย” เขากัดฟันเอ่ย “หากท่านยังไม่เชื่อฟังเช่นนี้อีก แล้วแม่นางเฉิงรู้เข้า นางได้โกรธเอาแน่”
ไม่เชื่อฟัง!
แม่นางเฉิง!
โกรธ!
ตรงหน้าท่านชายหวังสิบเจ็ดพลันปรากฏเป็นภาพคนถูกธนูยิงเข้าที่ลำคอหน้าหงายล้มลง คนผู้นั้นล้มลงไปแล้วก็มีธนูอีกดอกพุ่งตรงมายังเขา…
“ไอ้หยา แม่จ๋า…” เขาคร่ำครวญแล้วคลุมโปลงตัวสั่นหลบอยู่มุมรถ
ในรถพลันเงียบลง บ่าวชราถอนหายใจออกมา แต่ไม่นานก็ถอนใจอีก ขมวดคิ้วขึ้น
จะจัดการอย่างไรดี…
สามีหวาดกลัวภรรยา งานแต่งครานี้จะจัดขึ้นได้อย่างไร
ตั้งแต่ยามเช้าจรดค่ำ ลมสารทฤดูในเดือนสิบโชยพัด ทันใดนั้นใบไม้ก็พลันร่วงลงมากองใหญ่อยู่ภายในเรือน เหลือไว้เพียงกิ่งก้านที่แกว่งไกว
รองเท้าเกี๊ยะคู่หนึ่งเดินเหยียบย่ำบนกองใบไม้ร่วงนั้นอย่างตั้งใจจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ
“นายหญิงอย่าซนเจ้าค่ะ”
แม่นมในเรือนเห็นเข้าจึงยิ้มเอ่ยขึ้น
แม่นางเฉินตานยกกระโปรงขึ้นวิ่งระริกระรี้ไปยังประตูห้อง
นายใหญ่เฉินกำลังดื่มชาพูดคุยอยู่กับเฉินเซ่าอยู่ภายในห้องโดยมีกระดานหมากทำจากไม้จันทร์วางอยู่ตรงหน้า สถานการณ์หมากนั้นกำลังต่อสู้กันทั้งสองฝ่าย
“…นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะใหญ่เพียงนี้ กองขนส่งถนนไท่ซางช่างเหิมเกริมนัก…” นายใหญ่เฉินเอ่ย
เฉินเซ่าพยักหน้า แม้ว่าจะเลิกประชุมมาแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงมีความโกรธกริ้วประดับอยู่
“ไม่ใช่เพราะตระกูลเกาที่ถือหางอยู่เบื้องหลังหรอกหรือ ยื่นมือมาสอดถึงกองขนส่งแล้ว โลภจนไม่สนหน้าตาแล้วกระมัง!” เขาเอ่ย “เฝิงหลิงกับโลงศพเฝ้าอยู่ที่ศาลาพักม้าไม่ไปไหน ตามข้อมูลที่ได้มา เกรงว่าแขนซ้ายของเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว”
นายใหญ่เฉินถอนใจ
“เจ้าเฝิงผู้นี้ช่างโชคร้ายนัก” เขาเอ่ย
“แต่ควรจะเรียกได้ว่าเขาโชคดี เจอภัยร้ายแรงเช่นนี้กลับรอดมาได้ ซ้ำยังเอาหลักฐานไว้ได้อีก” เฉินเซ่าเอ่ย “มิฉะนั้นล่ะก็ ได้เรียกว่าโชคร้ายแน่”
นายใหญ่เฉินพยักหน้าพลางถอนใจ
“ได้ยินว่ามีคนที่ผ่านมาพอดีเห็นความอยุติธรรมเข้าจึงชักดาบเข้าช่วยเหลือหรือ” เขาถามอีก
เฉินเซ่าพยักหน้า
“วันนั้นเพราะฝนใกล้ตกแล้ว ศาลาพักม้าจึงคนเยอะ เรียกได้ว่าโจรถนนไท่ซางโชคไม่ดี คนในศาลาพักม้าจึงพร้อมใจรวมพลังกัน” เขาเอ่ยบอก
นายใหญ่ส่งเสียงอ๋อออกมาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“…ฝ่าบาทกริ้วมากรับสั่งให้หออาลักษณ์หลวงไปเอาตัวคนมา แล้วรับสั่งให้กองกำลังทหารของถนนไท่ชิงช่วยเหลือ…ดูว่าครานี้ตระกูลเกาจะจัดการเช่นไร…เกรงว่าเขาจะไม่กล้าออกหน้า…แต่ก็จำเป็นต้องทำแล้ว…” เฉินเซ่าเอ่ยต่อ
นายใหญ่เฉินกลับยื่นมือเขี่ยกระดานหมากอย่างใจลอย
คนที่ผ่านทางมาช่วยเพลิงไหม้ไว้ ซ้ำยังยิงสังหารขุนนางชั้นผู้น้อยของถนนไท่ซางสองคนที่วางเพลิงเสร็จกำลังจะวิ่งหนี คนของถนนไท่ซางทำเรื่องชั่วช้าเสร็จย่อมไม่วิ่งอาดๆ ออกมาแน่ พวกเขาวิ่งอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนั้น ซ้ำยังอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ที่วุ่นวายโกลาหล คนที่ผ่านทางมาสามารถยิงให้ตายได้อย่างแม่นยำเช่นนั้น ย่อมร้ายกาจไม่เบาแน่…
คนที่ผ่านทางมา…
คนที่ผ่านทางมา…
นายใหญ่เฉินดีดตัวนั่งตรงขึ้นมาอย่างรุนแรง เฉินเซ่าที่กำลังพูดอยู่ตกใจยกใหญ่
“แม่นางเฉิงเดินทางไปได้กี่วันแล้ว” เขาเอ่ยถามขึ้น
……………………….
[1] แบกก้อนหินมาทุบใส่เท้าตัวเอง เดิมทีหมายจะทำร้ายผู้อื่น แต่กลับกลายเป็นทำร้ายโดนตัวเองเสียเอง
[2] ราชการสามฝ่าย ได้แก่ สำนักงานทะเบียนราษฎร์เพื่อจัดเก็บภาษี สำนักงานจัดเก็บภาษี และสำนักงานผูกขาดเกลือและเหล็ก