พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 328 หวนคืน (1)
ท้องฟ้าเมืองเจียงโจวปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม สายลมยามต้นเหมันตฤดูพาความหนาวเย็นมาให้ เหล่าคนเดินถนนกระชับเสื้อผ้าให้แน่น เร่งฝีเท้าก้าวเดินออกไป
เหล่าแม่นมตบผ้าที่อยู่ริมแม่น้ำยกมือที่หนาวจนแข็งขึ้นมาแนบข้างแก้มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น พอมองไปบนสะพานก็เห็นแม่นมเจ็ดแปดคนกำลังเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“วันนี้มีแขกมาที่เรือนฝั่งเหนือหรือ” นางถามแม่นมที่อยู่ข้างกัน
“ใช่แล้ว เห็นคึกครื้นกันตั้งแต่เช้าแล้ว” แม่นมผู้นั้นเอ่ย น้ำเสียงเหน็บแนม “มีแขกมาได้ทุกที่ทุกวัน มีงานเลี้ยงไม่เว้นแต่ละวัน”
“เช่นนั้นเดี๋ยวพวกเราแวะไปสักหน่อยดีไหม เผื่อมีอะไรจะช่วยได้บ้าง” แม่นมคนแรกพูดขึ้น
เหล่าบ่าวเรือนเฉิงเหนือมีมากมาย คงไม่มีอะไรให้พวกนางช่วย เรือนเฉิงเหนือมีเพียงสองพี่น้องของตระกูลและลูกหลานของพวกเขา รวมแล้วก็ประมาณสิบกว่าคน จะกินจะใช้กันสักเท่าไหร่กันเชียว
คงมีของพอจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ทิ้งขว้างได้
หากตีสนิทกับเหล่าแม่เฒ่าที่ดูแลงานครัวเสียหน่อยก็จะได้ของกินจากงานเลี้ยงกลับมา ซึ่งมากพอที่จะกินกันทั้งบ้านไปอีกสองวัน
หากมองมาจากข้างบน จะเห็นว่าตรอกเล็กๆ แห่งนี้กำลังแบ่งเรือนหลังใหญ่ริมแม่น้ำออกเป็นสองฝั่ง
หลังคาเรือนฝั่งเหนือมุงด้วยกระเบื้องสีดำ ภายในแบ่งออกเป็นห้าหกชั้นเชื่อมต่อกัน ระเบียงทางเดินคดเคี้ยว ทั้งยังมีภูเขาน้ำตกจำลองและศาลาหลังเล็กประดับตกแต่ง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งล้วนแต่เป็นเรือนทรงเตี้ย เรือนแต่ละตั้งกระจัดกระจายไร้ระเบียบ ทั้งยังเป็นกระท่อมหลังคามุงจาก มองดูแล้วช่างแออัดยิ่งนัก
แม่นมทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันก่อนจะเดินกลับไปยังฝั่งใต้ตามปกติ
ฝั่งใต้ไม่ได้แบ่งแยกประตูหลักหรือประตูข้าง เพียงแค่เดินไปตามถนนพื้นผิวสูงต่ำไม่สม่ำเสมอก็เข้ามาสู่ภายในได้ และมักจะมีเด็กเล็กโตปาดน้ำมูกวิ่งไล่กันให้วุ่นวายไม่ขาดสาย เสียงคนพูดคุยกันโหวกเหวกโวยวายดังข้างหู รวมทั้งเสียงไก่ขันสุนัขเห่าดังลั่น
สองแม่นมเดินชิดริมทางเพื่อหลบเลี่ยงเหล่าเด็ก ทว่าไม่ทันได้ระวังก็ได้ยินเสียงคนร้องโอดโอยดังขึ้นจากด้านหลัง
“โอ๊ย โอ๊ย เท้าจะหักแล้ว…”
เสียงชายหนุ่มร้องตะโกน
สองแม่นมเหลียวหลังกลับไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี เสื้อผ้าเนื้อบางในยามต้นหนาวเช่นนี้ ยิ่งทำให้ดูผอมแห้งราวกับท่อนฟืน ทว่าใบหน้านั้นช่างงดงามนัก ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้ได้พบเห็น เพียงแต่ยามที่มองไปนั้นธงสีฉูดฉาดก็โบกปลิวตามแรงลมเข้ามา จนแม่นมทั้งสองต้องยกมือขึ้นมาปัดป้อง
ธงนั้นสะพายอยู่บนบ่าของชายหนุ่ม ธงพัดปลิวโดนใบหน้าจนผมเพ่าของชายหนุ่มยุ่งเหยิงไปหมด มองดูแล้วน่าขันยิ่งนัก
เขารวบธงเก็บมือเป็นระวิง
“เจ้าเด็กจอมโป้ปด… มาแอบซ่อนอะไรอยู่ตรงนี้!” สองแม่นมตะโกนลั่น
“โธ่ เหตุใดถึงมาด่าทอกันเช่นนี้เล่า พวกท่านป้ามาเหยียบเท้าข้าก่อนนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม่นมทั้งสองส่งเสียงถุยก่อนจะเดินจากไป
“นี่ ท่านป้า ท่านป้า กระท่อมที่ข้าปลูกโดนลมพัดปลิวไปหมดแล้ว ข้าขอไปอยู่ที่กระท่อมของท่านได้หรือไม่”
สองแม่นมถุยออกมาอีกครั้ง
“ไสหัวไป ไสหัวไป หากเจ้าอยู่บ้านข้า แล้วพวกข้าจะไปอยู่ที่ไหน” พวกนางเอ่ย ไม่แยแสเด็กนุ่มก่อนจะเดินตรงออกไป
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังบ่นพึมพำ
“มีตาหามีแววไม่ ข้ามีค่ากว่าบ้านของพวกท่านอีก ไม่นานข้าก็จะร่ำรวย บุญคุณของข้าวหนึ่งถ้วย อย่างไรข้าก็ต้องตอบแทน พวกท่านขาดทุนแล้วล่ะ…” เขาเอ่ยพลางหัวเราะยกใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวไปมาแล้วแล้วเดินโซซัดโซออกไป
พอแม่นมทั้งสองกลับถึงบ้านก็ใช้ให้เด็กๆ ไปตากผ้า ส่วนตัวเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนจะพากันเดินไปยังเรือนเฉิงเหนือ
พวกนางมาได้เวลาพอดี งานเลี้ยงอาหารเที่ยงเพิ่งจบลง สองแม่นมจึงใช้โอกาสนี้รีบเข้าไปช่วยเก็บกวาดในทันที วุ่นกันกว่าครึ่งค่อนวันงานถึงจะเสร็จ
“ขอบคุณแม่นางทั้งสองที่มาช่วย”
แม่นางหัวหน้าคนครัวที่นั่งพุดคุยหัวเราะกับคนอื่นอยู่ที่โต๊ะตลอดทั้งวันลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยขึ้น พลางยกมือคำนับ
ทันใดนั้นสาวใช้สองคนก็ยื่นไหดินเผาสองใบให้พวกนาง
สองแม่นมสีหน้าประหลาดใจ ก่อนรีบดันไหกลับ
“เช่นนี้ไม่ดีหรอก เช่นนี้ไม่ดีหรอก จะเอาของในเรือนไปกินได้อย่างไร” นางเอ่ยพลางยกมือปัด
“คนในเรือนเหมือนกัน เหตุใดจะเอาไปไม่ได้ วางไว้ก็เน่าเสียเปล่าๆ …” หญิงหัวหน้าคนครัวเอ่ย “พวกแม่นางอย่าได้เกรงใจเลย”
นางเอ่ยออกไปตามมารยาท ทว่าว่าฟังดูก็รู้ว่าเริ่มจะหมดความอดทน
คนในเรือนเหมือนกันอย่างนั้นหรือ หากเป็นคนในเรือนเหมือนกันจริงๆ เหตุใดพวกนางถึงต้องปฏิบัติตนกับแม่นางหัวหน้าคนครัวเช่นนี้…
พวกนางคิดอยู่ในใจทว่าไม่ได้เอ่ยออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงสีหน้าใด ก่อนจะรีบรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณ
“วันนี้ผู้ใดมาหรือ” พวกนางหาหัวข้อสนทนา
“สะใภ้จากบ้านฝั่งบ้านฮูหยินใหญ่” แม่นางหัวหน้าคนครัวเอ่ย
“ฮูหยินหวังนี่เอง นางไม่ได้มานานแล้วเหมือนกันนี่…” สองแม่นมเอ่ยพลางหัวเราะ
“มารับคนน่ะ” แม่นางหัวหน้าคนครัวเอ่ยตอบไปตามน้ำ “ท่านชายหวังกลับมาจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงมาถึง”
แม้เป็นคนของตระกูลทว่ากลับไม่เคยย่างเท้าเข้าไปในเรือนใหญ่เลยสักหน แต่กลับรู้เรื่องราวของเครือญาติตระกูลเฉิงเป็นอย่างดี
“ท่านชายหวังสิบเจ็ดออกมาจากเรือนได้แล้วหรือ” สองแม่นมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับแปลกใจไม่น้อย ท่านชายหวังกลับมา เหตุใดถึงไม่กลับเรือนตระกูลหวังเล่า เหตุใดถึงมาที่นี่กัน
“ท่านชายคงจะสนิทสนมกับท่านป้ายิ่งนัก ถึงได้ตั้งใจมาเยี่ยมถึงที่เรือนตระกูลเรา…” พวกนางถามหยั่งเชิง
หญิงหัวหน้าคนครัวเพียงแค่ส่งยิ้มให้ ทว่าไม่เอ่ยคำใด
ไม่ใช่เช่นนั้นสินะ…
หากเป็นเช่นนั้นจริง หญิงหัวหน้าคนครัวคงเยินยอท่านชายหวังไม่หยุดปากแล้ว…
ทว่านางกลับไม่ปฏิเสธ แสดงว่าคงมีเหตุผลที่ทำให้นางไม่อยากเอ่ยถึง…
สองแม่นมหันมาสบตากัน ดวงตาฉายแววตื่นเต้น ท่าทางคงมีเรื่องให้ไปเล่าต่อแล้ว
“แม่นางฝู… ฮูหยินบอกว่าครัวเล็กให้เตรียมของตามเดิมเจ้าค่ะ…”
แม่นมนางหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนก่อนจะเอ่ยขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ หญิงหัวหน้าคนครัวก็ส่งสายตาให้ นางจึงหยุดพูดลง
แม่นมทั้งสองเข้าใจในทันทีจึงรีบเอ่ยขอตัวลาแล้วเดินออกไป
จากนั้นแม่นางหัวหน้าคนครัวจึงได้ถามกับแม่นมว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ครัวใดกัน” นางถาม
“จะเป็นครัวใดได้อีกเล่าเจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ครัวของเด็กบ้านั่นน่ะสิเจ้าคะ”
“ยังจะมาอยู่ที่เรือนอีกหรือ ไม่ใช่ว่าส่งไปที่วัดเต๋าแล้วหรือ” นางถาม
แม่นมผู้นั้นหัวเราะ
“อย่าบอกนะว่าไปสู่ขอมาจากวัดเต๋าน่ะ” นางกดเสียงให้เบาลง
หญิงหัวหน้าคนครัวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“เรื่องนั้น เอาจริงหรือ” นางถาม
“เอาจริงสิเจ้าคะ”
ณ เรือนของฮูหยินใหญ่เฉิง ฮูหยินหวังว่าถ้วยชาในมือลง มองหน้าสองทั้งสองฮูหยินก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องอ๋อ ก่อนจะยิ้มออกมาเช่นกัน
“ท่าทางคงจะมีบุญวาสนาต่อกันจริงๆ” นางเอ่ย “ชายสิบเจ็ดพานางกลับมาจากเมืองหลวงด้วยตัวเองขนาดนี้ คงถูกใจยิ่งนัก”
ถูกใจเด็กบ้านั่นอย่างนั้นหรือ นี่เรียกว่าชมหรือว่าด่ากันแน่
ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่พอใจในทันใด
“ชายสิบเจ็ดของเราเข้าใจโลกดี รู้จักบรรเทาทุกข์ให้ผู้อื่น” นางเอ่ย “ไม่เหมือนคนพวกนั้นที่เอาแต่ก่อนเรื่องวุ่นวาย”
“เอ๊ะ สะใภ้ใหญ่หมายถึงผู้ใดกันเจ้าคะ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
ยามนี้ดูเหมือนว่าสองสะใภ้ตรงหน้ากำลังจะหาเรื่องกัน ฮูหยินหวังกระแอมขึ้นมาเบาๆ
“แล้วฮูหยินรองเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางถาม
ในเมื่อตนเป็นคนจากฝั่งแม่ของฮูหยินใหญ่ แน่นอนว่าต้องอยู่ข้างฮูหยินใหญ่อยู่แล้ว
“หรือว่าเรื่องการแต่งงานคราวนี้ยังจริงจังไม่พอ” ฮูหยินหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็จริงอยู่ พวกเรายังไม่ได้เห็นสินสอดทองหมั้นกันเลย ดูไม่จริงจังดังว่าจริงๆ”
ยามนี้หากหญิงสาวสักคนจะออกเรือนนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตนัก ได้ยินมาว่าบางเมืองก่อนจะหมั้นหมาย ถึงขนาดต้องเชิญบ้านฝ่ายชายมาดูสินเดิมเลยทีเดียว
สินเดิมคือจุดอ่อนของฮูหยินรองเฉิง พอนางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา
“ช่างเถิด ข้ากังวลมากไปเอง” นางเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น “เรื่องในเรือนสะใภ้ใหญ่เป็นคนดูแล เรื่องนอกเรือนก็มีนายใหญ่จัดการ ข้าก็แค่แม่เลี้ยง พูดอะไรมากไม่ได้หรอก”
“พูดไม่ได้ แต่ต้องทำ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย “นางจะมาถึงแล้ว ข้าวของเครื่องใช้เตรียมพร้อมหรือยัง เรือนนั้นไม่มีคนอยู่มาเป็นปี คงฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วแล้วกระมัง พูดไม่อะไรมากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่หากทำไม่ได้ คนเขาจะหาว่าดีแต่ปาก”
ฮูหยินรองเฉิงหน้าเขียว
“ขอบคุณสะใภ้ใหญ่ที่ชี้แนะเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางคำนับอย่างขอไปทีแล้วก้าวเท้าเดินออกไป
แม่นมที่ระเบียงทางเดินรีบเดินตามไป
พอเห็นว่านางเดินออกไปจากเรือนแล้ว ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาในทันใด
“มีเรื่องอันใดหรือ เหตุใดยามนี้พวกท่านสองคนถึงได้บึ้งตึงใส่กันถึงเพียงนี้” ฮูหยินหวังถาม “เช่นนี้คงไม่ดีกระมังเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงยกถ้วยชาขึ้น
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ย “นางไม่รู้ความ ข้าก็ต้องทำเป็นไม่รู้ความไปด้วยหรือ นอกจากเรื่องเด็กบ้านั่น… เรื่องอื่น ก็ไม่มีเหตุอันใดต้องพบหน้ากัน”
ฮูหยินหวังหัวเราะ
“ท่าทางคงให้เด็กคนนั้นอยู่ที่เรือนท่านไม่ได้จริงๆ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ให้อยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้ารัว ก่อนจะหันไปทางฮูหยินหวัง
“ว่าแต่ การแต่งงานครั้งนี้เจ้าเอาจริงหรือ” นางเอ่ยถามพลางถอนหายใจ “ช่างฝืนใจลูกชายเจ้าเสียจริง ข้าเองก็เข้าใจดี”
“ขอแค่ชายสิบเจ็ดพอใจก็พอแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินหวังเอ่ย “อีกอย่าง หากแต่งแล้วจะแต่งอีกหนก็ได้นี่เจ้าคะ หาใช่เรื่องใหญ่อันใด”
เป็นบ้าก็ถือว่าพิการสาหัส หากไม่ชอบแล้วก็หย่าร้างเสีย จะเลี้ยงเอาไว้ก็เท่านั้น คนเป็นชายจะแต่งงานอีกสักหนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า
“ลูกหลานข้าต้องมาทุกข์ทนเช่นนี้ ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน” นางเอ่ยขึ้น ในใจก็ยิ่งร้อนรน นางเงยหน้าตะโกนเรียกแม่นม “ไปที่สองร้านนั่น แล้วก็บอกผู้ดูแลร้านให้รวบรวมบัญชี จากนั้นก็ส่งให้ทางการ”