พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 334 ในใจ
ฮัดชิ่ว!
ณ เรือนตระกูลหวัง เมืองทิงโจว เสียงจามดั่งลั่นขัดจังหวะเสียงพูดคุยหัวเราะภายในเรือนของท่านชายหวังสิบเจ็ด
ท่านชายหวังสิบเจ็ดยกมือขึ้นมาขยี้จมูก
“ผู้ใดนินทาข้ากันนะ” เขาเอ่ยพึมพำ
“ท่านชาย ดี่มเหล้าเถิดเจ้าค่ะ”
สาวใช้รูปงามที่อยู่ข้างกายยื่นเหยือกทองให้ ใบหน้างดงามเอ่ยเสียงหวาน
ทว่าท่านหวังสิบเจ็ดกลับไม่ดื่ม ทั้งยังขมวดคิ้วแน่นอีกต่างหาก
“ท่านแม่ข้าไปที่นั่นจริงๆ หรือ” เขาถาม
“ท่านชาย วางใจเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้คนงามเอ่ย “คงไม่ยอมให้ท่านชายแขวนคออีกครั้งเป็นแน่…”
สาวใช้อีกสองนางลูบไล้ลำคอของท่านชายหวังสิบเจ็ดด้วยความสงสาร
“รอยแผลใหญ่นัก…” พวกนางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว
ท่านชายหวังสิบเจ็ดผลักพวกนางออกอย่างหงุดหงิด
“เป็นความผิดของพวกเจ้านั่นแหละ ข้าบอกให้พวกเจ้าทำอะไรให้มันว่องไวหน่อย ก็ยังเอาแต่ชักช้าอยู่ได้…” เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบคลำลำคอของตนเอง สีหน้าดูหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย “เกือบจะตายจริงๆ เข้าให้แล้ว”
เหล่าสาวใช้กรูกันเข้ามาพะเน้าพะนอปลอบขวัญเสียงหวาน
“เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด ต้องแกล้งทำจะเป็นจะตายเช่นนี้แล ท่านพ่อกับท่านแม่ถึงจะยอมยกเลิกการหมั้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย ท่าทางลำพองใจ “ยังดีที่ข้ากล้าทำจริง…”
“ท่านชาย เช่นนี้แล้วต้องสมดังหวังแน่นอนเจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ใช่แล้ว สมดั่งใจหวังแล้ว ท่านชายหวังสิบเจ็ดโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง ความเหนื่อยล้าจากหลายวันที่ผ่านมาหายไปในทันใด
“มา มาดื่มกัน” นายตะโกนเสียงดัง
เสียงหัวเราะของเหล่าสาวใช้ดังไปทั่วโถง
“ท่านชาย ชิมนี่สิเจ้าคะ…” สาวใช้รูปงามนางหนึ่งโน้มตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้ช้อนตักเต้าหู้เข้ามาจ่อที่มุมปาก “นี่คือเต้าหู้ที่ดีที่สุดของเมืองนี้ ใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดอ้าปากงับก่อนพ่นออกมาในทันใด
“ดีบ้าบออะไรของเจ้า! เช่นนี้ก็เรียกว่าเต้าหู้ได้อย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยพลางทำสีหน้ารังเกียจ “พวกเจ้าคงไม่เคยกินเต้าหู้ที่แท้จริงสินะ”
สาวใช้ซ้ายขวาเบียดตัวเข้ามาก่อนจะเอื้อนเอ่ยเสียงออดอ้อน แสร้งทำเป็นขุ่นเคือง
“เช่นนั้นแล้วเต้าหู้ที่แท้จริงเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ…”
แม้จะเป็นยามต้นหนาวทว่าภายในเรือนกลับอบอุ่นเหมือนยามฤดูใบไม้ผลิ เหล่าสาวใช้สวมชุดกระโปรงรัดหน้าอกจนล้นทะลัก เผยผิวขาวนวลดุจบุปผา เนินเนื้อกระเพื่อมสั่นไหวราวกับคลื่นทะเล
ท่านชายหวังสิบเจ็ดจ้องมองไม่วางตา ก่อนเอื้อมมือไปโอบเข้ามาใกล้แล้วซุกใบหน้าลงบนเนินอกนั้น
“ก็ขาวนวลเนียนนุ่มเช่นนี้อย่างไรเล่า พอกินเข้าไปหนึ่งคำก็…” เขาเอ่ยพลางหัวเราะก่อนเสียงพูดจะกลายเป็นเพียงเสียงพำพึมจนฟังไม่ออก เพราะถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวร่อต่อกระซิกของเหล่าสาวใช้
“อย่าเจ้าค่ะท่านชาย…”
บรรยายกาศภายในห้องช่างสุขสันต์ยิ่งนัก
“ท่านชาย ท่านชาย ท่านไปกินเต้าหู้จากที่ใดมาหรือเจ้าคะ”
มีคนเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกำลังดื่มด่ำอยู่กับกลิ่นกายของหญิงสาว ชายหนุ่มไม่ได้สุขสมกับสาวงามมาแสนนานกำลังวุ่นวายกับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตน ไฟราคะถูกจุดจนลุกโชน ทว่าพอประโยคนั้นลอยเข้าหูมา เขาก็ชะงักไปในทันใด
ที่เมืองหลวง…
เมืองหลวง…
ไม่เพียงได้กินเต้าหู้เลิศรสแล้ว ยังได้พบแม่นางผู้เลอโฉม ทั้งยังได้พบเฉิงเจียวเหนียงผู้นั้นด้วย…
เฉิงเจียวเหนียง…
“ท่านชาย ท่านชาย” สาวใช้รูปงามที่เพิ่งถูกระดมจูบจนเมามัวเมื่อครู่รู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกไป นางเอ่ยถามในทันใด พลางยื่นมือไปเขย่าเข็มขัดของท่านชายหวังสิบเจ็ดเชิงเร่งเร้า
ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้องตะโกนลั่น เขาคลายมือลง หญิงงามในอ้อมกอดล้มลงบนพื้นเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว นางจึงร้องโอดโอยออกมา
“ห้ามพูดถึงเมืองหลวงอีกเป็นอันขาด!”
เสียงตะโกนนั้นกึกก้องไปทั่วห้องของท่านชายหวังสิบเจ็ด
ขณะเดียวกัน ณ เมืองหลวง ท่านชายฉินสิบสามก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
“จริงหรือ” เขาเอ่ยถาม
บ่าวหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพยักหน้ารัว
“ไม่ผิดเป็นแน่ขอรับ คราวนี้ข้าไปสืบมาได้ความอย่างชัดแจ้ง ฮูหยินให้แม่นางอู๋ไปคุยเรื่องสู่ขอที่เจียงโจวขอรับ” เขาเอ่ย “เอาฤกษ์เกิดของคนทั้งตระกูลไปด้วยขอรับ”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าในนั้นจะมีคนของตระกูลเขาด้วยหรือไม่
เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักฝีเท้าลง
หากจะบอกว่าบ่าวไปสืบความมาได้ สู้บอกว่าฮูหยินฉินอยากให้เข้ารู้คงจะถูกต้องเสียกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ยังบอกไม่หมดอยู่ดี นางคงรอให้เขาไปถามด้วยตัวเอง
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม
ข้าไม่ถามหรอก
เขาหันหลังกลับ
“ไปกัน นานๆ ทีจะได้พักผ่อนสักวัน พวกเราไปดื่มเหล้าที่เรือนไท่ผิงกันเถิด” เขาเอ่ย
บ่าวหนุ่มขานรับอย่างดีใจก่อนจะวิ่งไปควบขึ้นม้าในทันที
เป็นเวลายามเที่ยงวันพอดี สายลมเย็นเฉียบของฤดูหนาวโบกโชย แม้ที่เรือนไท่ผิงจะไม่มีนางฟ้าผ่านทาง ทว่าสุขใจไร้กังวลก็ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย ผู้คนนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง เพราะเป็นฤดูหนาวเหล่าลูกค้าที่มาไม่ทันจำต้องนัดหมายล่วงหน้าสำหรับพรุ่งนี้แทน คนที่รออยู่หน้าร้านมีไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
“ขนมรวมแปดอย่างได้แล้วขอรับ ของท่านใดกัน” คนงานยกกล่องใบหนึ่งออกมาแล้วตะโกนถาม
ใต้ชายคามุงจากนอกโถง ชุนหลังที่นั่งผิงไฟอยู่ก็ลุกยืนขึ้นในทันใด
“เจ้าอีกแล้วหรือ” คนงานมองนางพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางน้อย สามวันห้าวันก็มาซื้อแล้วหรือ”
ชุนหลิงหัวเราะร่า
“ท่านพี่ข้าชอบกินนัก” นางเอ่ย “ต้องโทษที่ขนมร้านท่านอร่อยจนเกินไป”
คำพูดนั้นช่างรื่นหนูคนงานหนุ่มนัก เขายิ้มก่อนจะยื่นกล่องให้นาง
“คนมากินข้าวร้านเจ้าเยอะจริงเชียว” ชุนหลิงมองเข้าไปในโถง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว แม่นางน้อยอย่ากินแต่ขนมสิ มาลองชิมอาหารร้านข้าดู” คนงานหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ชุนหลิงเองก็ยิ้มเช่นกัน
“ท่านพี่ของข้าออกไปไหนมาไหนไม่สะดวกนัก” นางเอ่ย
ขณะที่พูดอยู่นั้น คนงานที่คอยรับแขกอยู่หน้าร้านก็ตะโกนเสียงดังนั่น
“ท่านชายฉิน มาแล้วหรือขอรับ”
ท่านชายฉินอย่างนั้นหรือ
มาที่นี่กับเขาด้วยหรือ…
ชุนหลิงหันกลับไปด้วยแววตาเป็นประกาย ก็เห็นท่านชายที่สวมเสื้อคลุมผืนใหญ่กำลังสะบัดแส้ม้าออกจากมือ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ปลดหมวกคลุมหน้าออกเผยให้รอยยิ้ม ชายหนุ่มก้าวเดินเข้ามาใกล้ ทันใดทันฟ้ามืดครึ้มของฤดูหนาวก็พลันสดใสเต็มไปด้วยสีสัน
“ท่านชายฉินเหตุใดถึงมาเอายามนี้เล่าเจ้าคะ”
เสียงของสาวใช้ดังออกมาจากประตูที่อยู่ด้านหลัง
ชุนหลิงรีบก้มหน้าก่อนจะก้าวหลบไปด้านข้าง นางเหลือบตามอง ก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีได้
“ไม่มีที่นั่งแล้วเจ้าค่ะ คราวหน้ามาให้เร็วกว่านี้หน่อยสิเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยท่าทางไม่ใส่ใจ
“นายหญิงของเจ้าคงไม่พูดกับข้าเช่นนี้” เขาเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่นาง
สาวใช้ยิ้มก่อนจะโค้งคำนับให้
“เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาที่นี่ งานที่เรือนนางฟ้าไม่ยุ่งหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“จะขยายโรงงานเต้าหู้น่ะเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย นางรอให้ท่านชายฉินสิบสามเดินเข้าไปก่อนจึงจะตามหลังไป “ท่านชาย ท่านช่วยพูดกับพระชรานั่นที ขึ้นราคาให้พวกเราสักนิดเถิด…”
“ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ แม่นางปั้นฉินวาจาเฉียบแหลมถึงเพียงนี้ พระชราที่ไหนจะเถียงเจ้าทัน”
“พระชรานั่นเถียงไม่ทัน ก็เลยพูดอันใดเลยเสียนี่สิเจ้าคะ…”
พอเห็นทั้งสองพุดคุยหัวเราะแล้วพากันเดินขึ้นชั้นสองไป ชุนหลิงก็เดินตามขึ้นไปด้วยอย่างอดไม่ได้
“แม่นางน้อย” คนงานหนุ่มหน้าประตูเอ่ยถามอย่างสงสัย
ชุนหลิงรีบก้าวถอยในทันที
“เต้าหู้ร้านท่านซื้อกลับไปกินได้หรือไม่” นางถาม
คนงานหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้า
“ยามนี้ของมีไม่พอขาย ซื้อกลับไปไม่ได้จริงๆ” เขาตอบ
ชุนหลิงพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยอยู่สักครู่ก็ไม่ได้พูดอันใดต่อ นางหอบกล่องขนมเดินออกมา ยามขึ้นนั่งบนรถม้าก็มิวายเหลียวกลับมามอง
เรือนไท่ผิงคือสมบัติในเมืองหลวงของหญิงผู้นั้นหรือ ส่วนสองคนนั้นก็คือคนที่นางทิ้งไว้ดูแลที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ
เรือนไท่ผิงที่อยู่ในสายตาของนางดูเล็กลงเรื่อยๆ ยามรถแล่นไป
ชุนหลิงยกมือขึ้นมาท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน นางชูนิ้วมือขึ้นสองนิ้วก่อนจะมองลอดผ่านเรือนไท่ผิงที่เล็กลงไปเรื่อย นางขยี้นิ้วไปมาทันใดนั้นเรือนไท่ผิงก็หายไปตามกลางแสงแดด นางเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะหัวเราะไร้เสียง
….
หินก้อนหนึ่งถูกโยนลงสระน้ำก่อนผิวน้ำสาดกระเซ็นดั่งดอกไม้บาน
แม่นางเฉิงเจ็ดสะบัดมือไปมา ก่อนจะหันหลังกลับด้วยความหงุดหงิด
“นี่ เจ้าจะเล่นอะไรกันแน่” นางถาม
เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลังเอาแต่มองไปรอบกาย สีหน้ายังคงเรียบเฉยดังเคย
แม้จะเดินรอบบ้านมาหนหนึ่งแล้ว ทว่ากลับไม่ทับซ้อนกับความทรงจำใดในหัวของนางเลย
“ฝั่งนั้นคืออะไร” นางยื่นแล้วชี้นิ้วออกไปไกลก่อนจะถามขึ้น
แม่นางเฉิงเจ็ดเงยหน้าขึ้นมามอง
“ฝั่งนู้นเป็นข้างนอกแล้ว” นางตอบ
“บ้านเจ้า ใหญ่แค่นี้เองหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
เหตุใดน้ำเสียงนั้นถึงฟังแล้วไม่รื่นหูนัก
แม่นางเฉิงเจ็ดส่งเสียงฮึดฮัด
“บ้านใหญ่ถึงเพียงนี้ ใช่ว่าใครอยากอยู่ก็จะได้อยู่” นางเอ่ย
แม่นมข้างกายส่งสายตาให้แม่นางเฉิงเจ็ด ทว่านางกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
“ออกไปดูข้างนอกกันเถิด” นางเอ่ย
“หวานถึงเพียงนี้จะออกไปทำอะไร” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยอย่างไม่พอใจ พูดจบก็นึกถึงทำที่ท่านแม่กำชับไว้ จึงต้องข่มอารมณ์ของตนเอง “ข้างนอกไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก สกปรกโสโครกทั้งยังวุ่นวาน มีทั้งขอทาน… หากเจ้าอยากจะเที่ยว ไว้วันหลังค่อยไปพร้อมกันทุกคน”
“เจ้าไม่ต้องไปกับข้าก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะออกไปเดินดูเอง”
“เจ้านี่เหตุใดถึงดื้อด้านนัก” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินตามไป “กลับมากับข้าเถิด ข้าจะสอนเจ้าเล่นหมากรุก…”
“ข้าเล่นหมากรุกเป็น ไม่ต้องสอน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยทว่าไม่ได้หยุดเดิน
เล่นหมากรุกเป็นอย่างนั้นหรือ คนบ้าเล่นหมากรุกเป็นด้วยหรือ
แม่นางเฉิงเจ็ดเบ้ปากก่อนจะเดินตามไปอย่างจนใจ
สระบัวนั้นอยู่ใกล้กับประตูหลังของเรือน เดินออกไปไม่ไกลก็ถึง แม่นมที่อยู่ประตูหลังเห็นแม่นางเฉิงเจ็ดก็รีบคำนับแล้วเปิดประตูให้
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังนั้น เด็กกลุ่มหนึ่งพากันวิ่งไปมา ชายหนุ่มหญิงสาวที่หอบของพะรุงพะรังก็พากันเดินขวักไขว่
“ตรงนี้ช่างกว้างใหญ่นัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางไปที่อีกฝากถนน
เรือนหลังสูงต่ำรูปร่างต่างกัน มีทั้งเรือนเก่ามีทั้งเรือนใหม่ ตั้งอยู่รวมกันอย่างแออัด
โง่เสียจริง ในป่าก็ที่กว้างเช่นกันนะ เจ้าก็ไปอยู่เสียสิ
“นั่นคือฝั่งเฉิงใต้” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกอย่างรังเกียจ ก่อนจะหันไปบ่นกับแม่นมข้างกาย “เหม็นจะตายอยู่แล้ว ไปบอกกันท่านแม่ ว่าอย่าให้คนพวกนี้มาอยู่ที่หน้าประตู หมูหมากาไก่ที่เลี้ยงไว้ก็โสโครกเสียจริง รื้อทิ้งให้หมด สร้างกำแพงกั้นไว้ได้ก็ยิ่งดี ไปตั้งไกลๆ เรือนพวกข้าหน่อย…”
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงนั้นได้ก้าวเดินออกไปแล้ว นางมองไปยังอีกฝากหนึ่งที่เหมือนราวกับอยู่กันคนละโลก
เฉิงใต้…
ส่วนด้านฮูหยินใหญ่เฉิงก็กำลังรับแขกอยู่ในเรือนเฉิงเหนือ
“พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลฉินจากเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองแม่นมสองคนที่เดินเข้าประตูมา ก่อนจะถามอย่างสงสัย
แต่งเนื้อแต่งตัวไม่เลวนี่ ต่างกับเหล่าแม่นมที่ทำงานมือเป็นระวิงที่เจียงโจวลิบลับ
“เจ้าค่ะ” หนึ่งในนั้นตอบด้วยรอยยิ้ม สายตามองมาที่ฮูหยินใหญ่เฉิง “ท่านคือท่านป้าของแม่นางเฉิงใช่หรือไม่”
ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า
“ข้าคือนายหญิงแห่งตระกูลเฉิง พวกเจ้ามีเรื่องอันใดหรือ” นางถามก่อนจะยกมือที่วางอยู่บนตักขึ้นมาประสานกัน
“เรื่องเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮูหยินของเข้าไปหาคู่ดูตัวมาให้แม่นางเฉิง ไม่รู้ว่าพวกท่านเห็นว่าอย่างไร” แม่นมเอ่ยเข้าประเด็น พลางดันกล่องใบหนึ่งให้
เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
ฮูหยินใหญ่เฉิงใจเต้นตูมตาม สายตามองไปยังภายในกล่องที่มีฤกษ์เกิดวางอยู่เรียงราย
ไม่รู้ว่าผู้ใดบ้าง…
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นแผนการของตระกูลโจวอยู่ดี ถึงขนาดพูดให้องค์หญิงตระกูลฉินมาออกหน้าให้ได้ คนที่เลือกมาก็คงไม่เลวกระมัง…
แต่งงานกับคนเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ…
ฮูหยินใหญ่เฉิงเอื้อมมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นหลังม่านบังลมที่อยู่ด้านหลัง
ฮูหยินใหญ่เฉิงได้สติกลับมาก็นั่งยืนหลังตัวตรงในทันใด
แม้คนเหล่านี้จะชาติตระกูลดีสักเพียงใด ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเฉิงของนาง… ก็แค่คนที่มาสวมชุดแต่งงานแทนตระกูลโจวอยู่ดี
คนเราก็มันจะเป็นแก่ประโยชน์ของตนอยู่แล้ว
“ขอบใจมากนัก” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดันกล่องใบนั้นกลับไป “เพียวแต่เจียวเหนียงของข้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว”