พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 340 ปรึกษา
หลังจากเกาหลินปอออกจากตำหนักของไทเฮา เขาก็ออกจากวังไปในทันที ทว่านั่นไม่อาจขัดขวางการกลับมารวมตัวของเขาและกุ้ยเฟยได้
เหล่าขันทีรักษาระยะห่าง เพื่อให้พวกเขาได้พูดคุยกัน
พอได้ยินคำพูดของกุ้ยเฟย เจ้ากรมกิจการเกาก็ได้แต่หัวเราะออกมา
“เด็กน้อยก็ต้องคอยเอาใจเช่นนี้แล” เขาเอ่ยน้ำเสียงผ่อนคลาย
ยามนี้ในวังหลวงมีเพียงแค่องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองสองคนเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเสี้ยนเฟยจะให้กำเนิดพระโอรส แต่สุดท้ายกลับเกิดมาเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าฝ่าบาทที่มีลูกยาก แม้จะได้ลูกสาวก็ดีใจไม่น้อย
กุ้ยเฟยเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป
“ฮองเฮาสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้ากรมกิจการเถาถาม “ได้ยินมาว่าองค์ชายรองแม้จะยังเด็กแต่ก็ช่างเอาใจคนนัก ยกเก้าอี้ตัวน้อยปืนขึ้นไปป้อนยาฮองเฮาบ้างล่ะ แถมยังเล่านิทานให้ฮองเฮาฟังเป็นเรื่องเป็นราวเสียด้วย”
ใบหน้ายิ้มแย้มของกุ้ยเฟยหม่นหมองลงในทันใด
“ข่าวช่างแพร่ไปไวแท้ ข้าว่าฮองเฮาคงยังไม่หายดีในเร็ววันนี้หรอก” นางเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ต้องสั่งสมอำนาจให้องค์ชายรองไว้ก่อน”
“ท่านก็สอนองค์ชายใหญ่ด้วยล่ะ อย่าเอาแต่อ่านตำราเรียน ยังเด็กยังเล็กแท้ๆ กลับไร้ชีวิตชีวา ถึงเรียนไปก็ไม่ต้องสอบจอหงวนอยู่ดี ลูกหลานในราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องฉลาดมากก็ได้” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ย
“เดิมทีคนที่บอกให้เขาอ่านตำราก็คือพวกท่านมิใช่หรือ เหตุใดยามนี้ถึงมาพูดว่าไม่ต้องฉลาดนักก็ได้” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เจ้ากรมกิจการเกาเดาะลิ้น
“ท่านจะรีบร้อนไปใย เขายังเด็กอยู่” เขาเอ่ยพลางหันไปมององค์ชายรองและจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่พากันเดินไกลออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “เพียงแต่เด็กน้อยคนนั้น ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป…”
“อย่างไรเสียปีหน้าเขาก็ต้องออกจากวังไปอยู่หัวเมืองแล้ว จากนั้นก็จะกลายเป็นองค์ชายที่เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ไม่ต้องสนใจหรอก” กุ้ยเฟยเอ่ย
“เพียงแต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เกรงว่าไทเฮากับฝ่าบาทจะไม่ยอมให้เขาไปนี่สิ” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ย “อีกอย่างเจ้าเด็กนั่น ข้าสังหรณ์ใจว่าคงจะต่อกรยากพอสมควร เหมือนว่าเขารู้จักผู้คนไม่น้อย”
“เขาอยู่เมืองหลวงมาก็นานแล้ว ไม่รู้จักคนเลยต่างหากถึงจะแปลก” กุ้ยเฟยเอ่ย คุยไปพลางเดินไปพลางก็มาถึงปากทาง “เรื่องคนอื่นอย่าได้ใส่ใจเลย ตอนนี้องค์ชายใหญ่ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
เจ้ากรมกิจการเกาพยักหน้าก่อนจะโค้งคำนับ
“เช่นนั้นข้าขอตัวลา” เขาเอ่ย
กุ้ยเฟยกลับมาถึงตำหนัก ก็ได้ยินเสียงอ่านหลังสือขององค์ชายใหญ่ดังก้องไปทั่ว แต่ก่อนหากได้ยินเสียงอ่านหนังสือเช่นนี้ นางมักจะรู้สึกสุขใจเป็นยิ่งนัก แต่ยามนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว้าวุ่นเหลือเกิน
“ท่านแม่ ท่านแม่”
พอได้ยินว่านางกลับมา องค์ชายใหญ่ก็หอบหนังสือมาหาด้วยท่าทางดีอกดีใจ
“สองวันนี้ข้าท่องจำตำราเล่มนี้ได้จนหมดแล้วขอรับ ท่านแม่ลองฟังข้าดู”
เขายื่นตำราให้แก่กุ้ยเฟย สีหน้าดูภาคภูมิใจยิ่งนัก
กุ้ยเฟยพลิกมือปัด หนังสือร่วงลงบนพื้น
“ท่องตำรา ท่องตำรา เอาแต่ท่องตำราอยู่ได้ นอกจากท่องตำราแล้วเจ้าทำอะไรเป็นอีก” นางขมวดคิ้วตวาดลั่น
เหล่านางกำนัลในห้องพากันถอยออกไป องค์ชายใหญ่ยืนเหม่ออยู่กับที่ ทำอะไรไม่ถูก
“ดูซิดู เจ้ามันโง่นัก! สู้ลิ่วเกอร์ไม่ได้เลย!” กุ้ยเฟยมองเขาที่ยืนนิ่งก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม ก่อนจะดีดหน้าผากแล้วตะคอกใส่ “เหตุใดถึงไม่หัดเอาอกเอาใจเสด็จพ่ออย่างเขาบ้าง!”
องค์ชายใหญ่น้ำตาไหลพราก ริมฝีปากสั่นไหว
“ร้องไห้ทำไม!” กุ้ยเฟยตวาดลั่น
องค์ชายใหญ่สะดุ้งตกใจจนไม่กล้าร้องไห้ออกมา เขาอดกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปหาเสด็จพ่อ” กุ้ยเฟยถาม
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่ได้เรียกข้าไปหา…” เขาเอ่ยเสียงสะอื้น
“เช่นนั้นเหตุใดลิ่วเกอร์ถึงไปหาได้” กุ้ยเฟยเอ่ยเสียงขุ่นเคือง “เจ้านี่มันโง่นัก! ไม่นานเสด็จพ่อก็จะเอ็นดูลิ่วเกอร์มากกว่าเจ้า ไม่เอ็นดูเจ้าอีกต่อไป เช่นนั้นเจ้าจงไปประจำอยู่หัวเมืองกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องเสีย ชาตินี้อย่าได้หวังว่าจะได้มาเหยียบเมืองหลวงอีกต่อไป!”
องค์ชายใหญ่อ้าปากร้องไห้ออกมาในที่สุด
“ห้ามร้อง ไปยืนสำนึกตรงนู้นซะ” กุ้ยเฟยตวาดอย่างเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม
องค์ชายใหญ่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายืนสะอื้น
เหล่าขันทีและนางกำนัลในตำหนักกุ้ยเฟยได้แต่เงียบ ไม่กล้าส่งเสียงอันใด
ขณะเดียวกัน ณ เมืองเจียงโจว ภายในหอบรรพชนของตระกูลเฉิงก็เงียบสงัดเช่นเดียวกัน บ่าวชรายืนอยู่ฟากหนึ่ง มองดูหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าพลิกเปิดลำดับบรรพชนม้วนแล้วม้วนเล่าอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาดูตกใจไม่น้อย
เขารู้ดีว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าคือใคร คือเด็กบ้าแห่งตระกูลเฉิง สติไม่สมประกอบแต่กำเนิด ถูกส่งออกไปเลี้ยงนอกเรือน คนบ้าท่าทางเป็นเช่นไร เขาเองก็เคยเห็นอยู่บ้าง แต่ไม่เหมือนคนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาอย่างแน่นอน
หลายวันก่อนเขาก็ได้ยินข่าวเช่นกัน คนนอกตระกูลเล่าลือกันว่าเด็กบ้านตระกูลเฉิงผู้นั้นความจริงไม่ได้เป็นคนบ้า เขาไม่เชื่อคำพูดเหล่านั้นแต่อย่างใด ในฐานะที่เป็นบ่าวข้างกายของนายใหญ่ตระกูลเฉิง เขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่าเด็กบ้าผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
ทว่าพอได้เห็นกับตาเองในตอนนี้ เขาก็แทบไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็น
เมื่อครู่นายใหญ่ยังกำชับเขาอยู่เลย ว่าให้เขาอ่านให้นางฟัง แต่ดูหญิงผู้นี้สิ ดูก็รู้ว่านางอ่านหนังสือออก
คนบ้ารู้หนังสืออย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ใช่คนบ้าน่ะสิ
“มีเพียงเท่านี้หรือ”
เด็กบ้าที่นั่งอยู่บนพื้นถามขึ้น
บ่าวชราเพิ่งได้สติกลับมาก็ขานรับในทันใด
“ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วขอรับ” เขาเอ่ย
พอเขาพูดจบก็เห็นว่าใบหน้าสงบนิ่งของหญิงสาวเบื้องหน้าเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที จู่ๆ บ่าวชราก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาในทันใด ถึงขนาดคิดว่าตนเองไม่น่าเอ่ยคำนั้นออกไป
เฉิงเจียวเหนียงถอนหายใจ
“ไม่มีอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่มีเลยแม้แต่นิด ไม่มีเลยแม้แต่นิด” นางส่ายหน้าเอ่ยพึมพำ
แม้ยามที่ท่านชายสี่เขียนลำดับบรรพชนขึ้นก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าอาจจะเกิดเหตุเช่นนี้ ทว่านางยังคงอยากเห็นกับตาตัวเอง เท่าที่ท่านชายเฉิงสี่จำได้ก็จะมีเพียงเหล่าญาติพี่น้องสายตรง ทั้งรุ่นอาวุโสและรุ่นเดียวกัน ทว่าตระกูลเฉิงนั้นใหญ่โตนัก แตกกิ่งก้านสาขาไปมากมาย อาจจะพบเจอชื่อที่ตนอยากเห็นบ้างก็เป็นได้ เพียงแต่นางคิดว่าตนจะโชคดี แต่สุดท้ายก็ยังคงรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้
“นายหญิง…” ปั้นฉินเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเป็นกังวล
น้ำเสียงอ่อนหวานของหญิงสาวยามนี้กลับฟังดูเศร้าโศกยิ่งนัก
“นายหญิงหาอะไรหรือขอรับ” บ่าวชราถามอย่างอดไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยคำใด นางวางลำดับบรรพชนในมือลงก่อนจะลุกยืนขึ้น
“ข้าดูเสร็จแล้ว เจ้าเก็บเสียเถิด” นางเอ่ย
บ่าวชรารีบขานรับ มองเฉิงเจียวเหนียงหันหลังเดินออกไป ด้านนอกของหอบรรพชนเต็มไปด้วยแมกไม้ ยิ่งในยามฤดูหนาวเช่นนี้ ยิ่งดูมืดทึบกว่าที่ไหนๆ ทำให้แผ่นหลังอันผอมบางของหญิงสาวผู้นั้น ดูเปล่าเปลี่ยวเสียเหลือเกิน
“นายหญิงเจ้าคะ” ปั้นฉินเงียบมาตลอดทาง เฝ้ามองนายหญิงที่เดินไปตามทาง ทว่าทิศทางที่นางเดินไปนั้นกลับมิใช่เรือนของนายใหญ่เฉิง จึงเอ่ยร้องเตือนขึ้น “พวกเราจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ไปตามหาคนผู้นั้น” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ตามหาคนผู้นั้นอย่างนั้นหรือ มีเพียงคนผู้นั้น มีเพียงคนผู้นั้นที่นางคุ้นเคยในความทรงจำและมีตัวตนอยู่จริง
ปั้นฉินขานรับแล้วรีบเดินตามนางออกไป ไม่นานทั้งสองก็เดินไปออกไป
นายใหญ่เฉิงและฮูหยินใหญ่เฉิงเองยังคงรออยู่ที่ห้องโถง
“ไม่รู้ว่านางจะดูไปทำไม วางแผนเล่นงานอะไรเราอีก” ฮูหยินใหญ่เฉิงฮึดฮัด
นายใหญ่เฉิงกำถ้วยชาอย่างครุ่นคิดมาโดยตลอด พอได้ยินประโยคนั้นก็วางถ้วยชาลง
“เจ้ายังคิดว่าคนที่วางแผนเช่นนี้ได้ ยังเป็นคนบ้าอยู่หรือไม่” เขาถาม
ฮูหยินใหญ่เฉิงชะงักไป
นั่นสินะ คนบ้าจะวางแผนเล่นงานกันได้อย่างไร ทว่าพอฟังดูแล้วก็ชะงักไปเหมือนกัน
“ท่าทางหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเราคงเข้าใจผิดไปเสียแล้ว” นายใหญ่เฉิงเอ่ย “เด็กคนนี้ ไม่ได้บ้า แต่ฉลาดมากต่างหาก”
“ตอนเด็กนางเป็นอย่างไรใช่ว่าเราจะไม่รู้! อายุได้ห้าหกปีก็ยังไม่เดินไม่ได้! พวกเราเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเย้ยหยัน
นั่นสินะ จะเข้าใจผิดได้อย่างไรกันว่านางเป็นบ้า แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่ญาติสนิทใกล้ชิดอย่างพวกเขานั้นเห็นเองกับตา “หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะค่อยๆ หายดียามที่โตขึ้น” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย ทว่ายังไม่ทันพูดจบก็เห็นสองสามีภรรยาบ้านนายรองเฉิงเดินเข้ามา นางเชิดหน้าขึ้นแล้วหันหน้าไปข้างนอก “ลองถามนายรองดูสิ ว่ายามที่อยู่ปิ้งโจวเด็กบ้านั่นเป็นเช่นไร”
“ยามที่อยู่ปิ้งโจวอย่างนั้นหรือ”
นายรองเฉิงนั่งลงฟังคำถามของนายใหญ่เฉิง ก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ก็เป็นเช่นนั้นนั่นแล จะเป็นอย่างไรไปได้อีก”
“เจ้าเคยไปที่วัดเต๋าหรือไม่” นายใหญ่เฉิงถาม
แน่นอนว่าไม่เคยไป… ยังต้องถามอีกหรือ
ทว่าก็ไม่มีอะไรแปลกนี่ ผู้ใดก็ทำเช่นนี้เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ
“ยังต้องไปดูอีกหรือ หากนางหายดี นางก็คงกลับบ้านมาตั้งนานแล้ว” นายรองเฉิงเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
นายใหญ่เฉิงลูบเคราอย่างครุ่นคิดทว่าไม่เอ่ยคำใด
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงไม่เหมือนคนบ้าเลยสักนิด หรือว่านางจะหายดีแล้วจริงๆ สติไม่สมประกอบตั้งแต่เกิดจะหายดีได้จริงหรือ
“ข้าคิดว่านางหายดีแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงตอบ “นางโตแล้ว แถมตระกูลโจวยังรับตัวไปอบรมสั่งสอน…”
คนทั้งห้องหันไปมอง
ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นยิ้ม
“แล้วอย่างไรเล่า” นางถาม
ฮูหยินรองเฉิงเงยหน้าขึ้น จ้องมองนางอย่างไม่ลดละ
“เพราะอย่างนั้น เจียวเหนียงจึงได้หายดี ไม่ได้เป็นบ้าแล้ว ดังนั้นเรื่องหมั้นหมายของนาง พวกเราต้องรอบคอบมากกว่านี้” นางเอ่ย
ในที่สุดท่าทางเสแสร้งจอมปลอมนั้นก็เผยธาตุแท้ออกมา
ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นยิ้มอยู่ในใจก่อนจะขยับตัวนั่งหลังตรง
บรรยากาศภายในห้องราวกับนิ่งชะงักไป ทั้งยังรู้สึกน่าอึดอัด คล้ายกับท้องฟ้าก่อนพายุฝนโหมกระหน่ำ แม้แต่เหล่าสาวใช้และแม่นมที่นั่งอยู่ริมระเบียงหน้าห้องก็ไม่กล้าแม้แต่จะสูดลมหายใจ