พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 356 ความหมาย (1)
เสียงร้องตะโกนว่าช้าก่อนพาให้คนชะงักไป ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พาตัวออกไป!”
ทงพั่นเข้าใจดีว่าเฉากุ้ยหมายความว่าอย่างไร เขาไม่รอให้อีกฝ่ายพูดก็ขมวดคิ้วตะโกนลั่น ปล่อยไม้จิงถังในมือร่วงลงมา
“พาตัวออกไป…”
มือของผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ยื่นไปรองไม้จิงถังเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงออกมา เขาเจ็บจนต้องสูดปาก ทว่าเขากลับไม่สนใจ เอาแต่มองไปทางเฉากุ้ย
“เจ้ามีอะไรคัดค้านอีกหรือไม่” เขาถาม
เพราะความเจ็บปวด เสียงของเขาจึงเล็กแหลมจนกลบเสียงของทงพั่นไปจดหมด มองดูความเดือดดาลจนถึงขีดสุดในแววตาของผู้อื่น ทว่านั่นจะมีความหมายอันใด ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
“ใต้เท้า ยามนี้กำลังพูดถึงเรื่องคดีทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่” เฉากุ้ยเอ่ยถามอย่างตื่นตะหนก
ที่แท้ตัดสินคดีทะเลาะวิวาทอยู่หรือ
คนที่อยู่ ณ ที่นั่นได้แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจ ไม่ได้ตัดสินคดีแบ่งสินเดิมหรอกหรือ
ทงพั่นและนายใหญ่เฉิงหัวเราะเยือกเย็น แสร้งโง่เพื่อยื้อเวลาหรืออย่างไร
“ตอนนี้ตัดสินคดีสินเดิม” ผู้ช่วยเจ้าเมืองเอ่ยใบหน้าเคร่งขรึม “เฉากุ้ย ข้อกล่าวหาของเจ้าถูกปฏิเสธ เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
เฉากุ้ยเข้าใจในทันใด
“ตัดสินคดีนี้เองหรอกหรือ!” เขาเอ่ย “เช่นนั้นใต้เท้ายังตัดสินไม่หรอกขอรับ”
ทงพั่นหยิบไม้จิงถังขึ้นมาเคาะดังลั่น
“เฉากุ้ย เจ้ามีอะไรจะคัดค้าน” เขาตวาดลั่น
“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ยอมอย่างแน่นอน เรื่องทะเลาะวิวาทข้ามีส่วนข้องเกี่ยวจริง ใต้เท้าจะตัดสินอย่างไร ข้ายอมรับได้ทั้งนั้น แต่เรื่องสินเดิม ข้าน้อยมิได้เป็นผู้ฟ้องร้อง” เฉากุ้ยเอ่ย “คดีสินเดิมมีนายหญิงของข้าเป็นผู้ฟ้องร้อง ในเมื่อจำเลยพูดแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้พูด ท่านจะตัดสินได้อย่างไร”
เมื่อเขาเอ่ยคำนั้นออกไป ทั้งโถงก็พลันเงียบสงัด
หมายความว่าอย่างไร
“ใต้เท้า หากท่านพิจารณาคดีสินเดิม เช่นนั้นก็ต้องเบิกตัวนายหญิงของข้ามาด้วย” เฉากุ้ยเอ่ยพลางชี้นิ้วไปด้านนอก
นายใหญ่เฉิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ก่อนจะหันไปมองด้านนอกอย่างอดไม่ได้
หญิงนางนั้นก็มาด้วยหรือ
คดีนี้มิอาจพิจารณาต่อไปได้แล้ว! ทงพั่นบอกกันตัวเองในใจ
“สินเดิมเป็นสมบัติของวงศ์ตระกูล มีตระกูลเป็นผู้จัดสรรแบ่งส่วน เรื่องนี้ถือว่าเป็นอันยุติ ห้ามกล่าวถึงอีก!” เขาขมวดคิ้วเอ่ย พลางเอื้อมมือไปหยิบไม้จิงถัง
ทว่ามีคนเร็วกว่าเขาอยู่ก้าวหนึ่ง
เสียงปังดังก้องกังวานไปทั่ว
“เบิกตัวโจทก์แซ่เฉิง!” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ขมวดคิ้วตะโกนลั่น
ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง!
ปั้นฉินที่อยู่ในห้องโถงปีกข้างลุกยืนขึ้นแล้วสูดหายใจลึก อันที่จริงเมื่อครู่นางทนไม่ไหวจนแทบอย่างจะพุ่งตัวเข้าไปอยู่หลายหน ทว่าพอนึกถึงคำที่นายหญิงรับสั่งไว้ยามมาถึง บอกว่าให้เข้าไปยามที่เขาเรียกตน ปั้นฉินจึงทำได้เพียงอดทนรอคอย
“แม่นางปั้นฉินไม่ต้องกลัว เข้าไปแล้วมีอะไรก็พูดออกไป ทว่าอย่าได้เงยหน้า” หญิงสองนางจากฝั่งเฉิงหนานที่ติดตามมาด้วยเอ่ยปลอบขวัญ
เพียงแต่พวกนางเองก็สั่นไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเผือด แถบยังพูดจาตะกุกตะกัก แทบจะไม่ช่วยให้นางอุ่นใจขึ้นเลยสักนิด
การเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางนั้น สำหรับพวกนางเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก แถมยังเป็นคดีลูกหลานฟ้องพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง โทษหนักมหันต์ถึงตัดหัวประหารชีวิตอีกต่างหาก
ปั้นฉินเห็นพวกนางเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” นางพยักหน้าพลางจัดแจงเสื้อผ้าแล้วเดินก้าวเข้าไป
“แม่นางปั้นฉินดูท่าทางไม่กลัวเลยสักนิด ข้าถึงได้บอกว่าคนหนุ่มสาว..”
“นางเป็นคนของตระกูลโจว คนตระกูลโจวร้ายกาจนัก นางจะไปกลัวอะไร…”
เสียงของหญิงสาวสองนางดังขึ้นจากด้านหลัง ปั้นฉินยืนหลังตรง
‘ข้ามีเรื่องอย่างให้เจ้าทำอย่างหนึ่ง เจ้ากล้าหรือไม่’
‘หากนายหญิงจะให้ข้าไปตาย ข้าก็กล้าเจ้าค่ะ’
ทว่านายหญิงไม่มีทางสั่งให้คนของตัวเองไปตายอย่างแน่นอน นางมีแต่จะช่วยให้คนของตนสมปรารถนา ส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง นางจะทำให้คนที่อยากเห็นนางตาย เป็นคนตายจากไปเสียเอง
“ข้าน้อยปั้นฉินคาราวะใต้เท้าเจ้าค่ะ”
พอเห็นสาวใช้คุกเข่าก้มคาราวะหัวจรดพื้น คนในโถงบ้างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก บ้างก็สูดหายใจลึก
ก็แค่สาวใช้อายุสิบสี่ปีจะพูดอะไรได้ อย่าว่าแต่จอมเล่ห์เหลี่ยมอย่างนายใหญ่เฉิงเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ปิดปากนางได้เช่นกัน ทงพั่นนั่งยืดหลังเหยียดตรง
ผู้ช่วยเจ้าเมืองใบหน้าซีดเผือด เหตุใดสาวใช้ข้างกายของแม่นางตระกูลเฉิงถึงมิใช่แม่นมเฒ่า เฉากุ้ยฉลาดปราดเปรื่องเสียขนาดนั้น เหล่าแม่นมที่ติดตามก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เหตุใด… เหตุใดถึงเป็นสาวใช้วัยแรกแย้มเช่นนี้
นางจะพูดอะไรได้ ก็แค่สาวใช้นางหนึ่ง แม้ตระกูลโจวจะสั่งสอนมาดีเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่สาวใช้อยู่วันยังค่ำ
เขาคงไม่ต้องออกโรงแล้ว ที่เหลือทั้งหมดให้ทงพั่นจัดการก็พอแล้ว
“นายหญิงของเจ้าฟ้องร้องญาติผู้ใหญ่เรื่องสินเดิม มีเรื่องอย่างที่ว่าจริงหรือไม่” ผู้ช่วยเจ้าเมือง
หลี่เพิ่งได้สติกลับมาก็เอ่ยถามในทันใด แต่ถึงอย่างนั้น หากคนสายตาแหลมคมก็คงจะมองออกว่าท่าทางของแตกต่างไปจากเมื่อครู่ น้ำเสียงฟังดูไร้พลัง
“เจ้าค่ะ” ปั้นฉินตอบ
“เช่นนั้นเจ้ากลับไปบอกนายหญิงของเจ้า เรื่องในตระกูล ก็จัดการกันเองในตระกูล ลูกหลานฟ้องร้องญาติผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สิน ขัดต่อหลักปฏิบัติสามจารีตห้า หากยังก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ จักสำเร็จโทษนางฐานอกตัญญู!” ทงพั่นตะโกนลั่นก่อนจะคว้าไม้จิงถังขึ้น “พาตัวออกไป…”
“ใต้เท้า นายหญิงของข้าไม่ได้ทำเพื่อทรัพย์สมบัติ” ปั้นฉินเงยหน้าเอ่ย “นายหญิงของข้าฟ้องร้องญาติผู้ใหญ่เพื่อต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของท่านแม่ของนาง”
นางพูดจบก็มองไปทางนายใหญ่เฉิง
“นายใหญ่บอกว่าทำไปเพื่อไม่ให้นายหญิงของข้าถูกหลอกลง จึงปิดปังเรื่องสินเดิมที่มีอยู่ เช่นนั้นแล้วนายหญิงของข้าจึงไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวง เพียงแต่ฮูหยินของข้าเล่า…”
ฮูหยินอย่างนั้นหรือ
คนในโถงพากันขมวดคิ้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับฮูหยินที่ตายไปแล้วกัน
ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของทงพั่นเช่นกัน ความคิดนั้นทำให้เขาชะงักมือที่กำไม้จิงถังอยู่ หากจะร้องตะโกนให้พาตัวออกไปยามนี้เห็นที่ว่าจะไม่ทันเสียแล้ว
น้ำเสียงสดใสแสนอ่อนหวานของสาวใช้ดังก้องไปทั่วทั้งโถง
“ฮูหยินของข้าจากไปก่อนวัยอันควร ไม่ทันได้เสวยสุขบนโลก หลงเหลือไว้ก็เพียงแต่สินเดิมเหล่านั้นให้แก่นายหญิงของข้า…”
ในใจของปั้นฉินปวดร้าวยิ่งนัก
ยามที่นางฟังนายหญิงเล่าเรื่อง อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของนายหญิงนั้นช่างเรียบเฉย นางจึงไม่รู้สึกอะไรมากนัก หรือแม้แต่ตอนที่นางท่องจำทีละคำเองก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใด
ยามนี้นางยืนอยู่ในศาล มองดูขุนนางผู้พิพากษาในชุดประจำตำแหน่งปั้นหน้าเคร่งขรึม มองดูป้ายกระจกเงาที่แขวนไว้ข้างบน แล้วหันมามองดูผู้คนที่บ้างก็ยืนบ้างคุกเข่าอยู่กับพื้น จู่ๆ นางก็นึกถึงยามที่ตนกับนายหญิงใช้ชีวิตอย่างอยากลำบากที่วัดเต๋าในปิ้งโจว นึกถึงความสิ้นหวังและความหวาดกลัวยามที่นายรองย้ายบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวพวกนาง นึกถึงค่ำคืนที่สายฟ้าผ่าลงมา นึกถึงการเดินทางลุยน้ำข้ามเขา นึกถึงรอยยิ้มเลือดเย็นของหญิงร้ายชายชั่วยามที่เห็นพวกนางถูกไล่ออกไปอยู่วัดเต๋า…
แต่ละย่างก้าวนั้นมีแต่ความยากลำบาก ความทุกข์ยากที่คนเหล่านั้นไม่มีทางได้ประสบพบเจอในชาตินี้ ทว่านายหญิงกลับเผชิญมาแล้วทุกสิ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้น
เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดนายหญิงต้องพบเจอกับเรื่องเหล่านี้
หากฮูหยินยังอยู่ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่
“แม้จะไม่ได้อบรมสั่งสอน… ทว่าได้ทิ้งสมบัติไว้ให้…”
หากฮูหยินยังอยู่และเห็นว่านายหญิงหายดีแล้ว ทั้งยังรูปงามและฉลาดปราดเปรื่อง นางจะดีใจแค่ไหน…
“ทว่ายามนี้ทั้งหมดกลับถูกปิดบัง เพราะนายหญิงจะต้องแต่งงานออกเรือน สัมพันธ์แม่ลูกถูกตัดขาด ความรักของฮูหยินที่มีต่อลูกสาวถูกเหยียดหยาม นี่ต่างหากคือความผิดร้ายแรง ขัดต่อธรรมเนียมจารีตทั้งปวง”
น้ำตาของปั้นฉินไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า น้ำเสียงสะอื้นจนแทบฟังไม่รู้ความ ทว่านางยังพยายามพูดออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำมาที่สุด
ในตอนนี้ผู้ช่วยเจ้าเมืองที่อยู่บนบัลลังก์พยักหน้า เรื่องเศร้าโศกเช่นนี้ให้สาวใช้มาเล่นละครย่อมได้ผลดีกว่าแม่นมเฒ่าเล็กน้อย
ทว่าก็ดีกว่าแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นคดีแสนรัดทนหรือคดีใส่ร้ายป้ายสี พวกเขาก็ล้วนแต่เจอมาหมดแล้ว หากต้องตัดสินคดีโดยดูว่าผู้ใดร้องไห้ได้น่าสงสารมากกว่ากัน บ้านเมืองคงวุ่นวายกันไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ตัดสินคดีความแต่ละเรื่องไม่ได้ดูที่คำให้การ แต่ดูที่เส้นสาย
ผู้ช่วยเจ้าเมืองถอนหายใจเบาๆ หางตาเหลือบไปเห็นทงพั่นที่อยู่ด้านข้างกำลังยิ้มอย่างเยือกเย็น
…………………