พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 359 รู้กัน
เมืองหลวงยามเดือนสิบเอ็ดนั้นช่างหนาวเหน็บ ลมเหนือที่พัดผ่านเหมือนจะนำพาละอองหิมะมาด้วย
“มาหรือยัง มาหรือยัง”
ฮูหยินฉินที่นั่งอยู่ข้างเตาผิงหันไปมองแม่นมที่เดินเข้ามาก็เอ่ยถามในทันใด
แม่นมหัวเราะชอบใจ ทว่าไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วแกว่งไปมา
ฮูหยินฉินยิ้มแล้วเอื้อมมือออกไป
จังหวะที่สองนายบ่าวกำลังคุยกันอยู่นั้น อาลักษณ์หลวงฉินก็เดินออกมาจากห้องพอดี สายตามองไปที่จดหมายในมือของแม่นมก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา
“อย่าได้ใช้ซองจดหมายด่วนของทางการทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้อีก” เขาเอ่ย
ฮูหยินฉินยิ้มพลางรับจดหมายมาแล้วขานตอบ
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจคำของตนเลยแม้แต่นิด อาลักษณ์หลวงเองก็ไม่เก็บมาใส่ใจเช่นกัน
“ข้าก็เห็นว่านานมากแล้ว ควรจะมีข่าวคราวอะไรกลับมาบ้างได้แล้ว…” ฮูหยินฉินและแม่นมพูดคุยกันต่อ
อาลักษณ์หลวงฉินส่ายหน้าก่อนจะเดินออกจากประตูไป ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ท่านชายฉินสิบสามเดินเข้ามาพอดี เขาสวมชุดอยู่บ้านตัวยาว ไม่สวมหมวก ไม่คลุมผ้า ละอองหิมะร่วงหลนลงมาจากหัวจากบ่าเพราะยามนี้หิมะตกเริ่มตกหนักแล้ว
“ท่านพ่อจะไปศาลาว่าการหรือขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามคำนับพลางเอ่ย
อาลักษณ์หลวงฉินส่ายหน้าแล้วขมวดคิ้ว
“มีเรื่องอันใดถึงได้รีบร้อนเพียงนี้” เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ท่านชายฉินสิบสามรู้ดีว่ากำลังถูกตำหนิที่ออกมาข้างนอกโดยไม่สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่น เขาขานรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะคำนับอีกครั้ง ยืนมองอาลักษณ์หลวงฉินเดินออกไปโดยมีบ่าวคอยกางร่มให้
“ท่านแม่”
ท่านชายฉินสิบสามเดินเข้าประตูมา ก็เห็นฮูหยินฉินกำลังจะเปิดจดหมาย
พอเห็นเขาเดินเข้ามา ฮูหยินฉินก็วางจดหมายในมือลงทันที ทั้งยังยกยิ้มหรี่ตาในเขาอีกต่างหาก
“วันนี้จะไปที่เรือนผู้ใดกันนะ” นางถามแม่นม “นี่ก็สายมากแล้ว เก็บข้าวเก็บของรีบออกเดินทาง ปล่อยให้คนอื่นเขาคอยเช่นนี้คงไม่ดี”
แม่นมขานตอบด้วยรอยยิ้ม ท่านชายสิบสามเองก็นั่งลง แต่ทว่าไม่เอ่ยคำใด
“ชายสิบสาม เจ้าจะไปกับแม่ด้วยหรือไม่ อยู่บ้านอ่านหนังสือทั้งวันไม่เบื่อหรือ” ฮูหยินฉินยิ้มพลางมองมาที่เขา
“เช่นนั้นท่านแม่ก็รีบเล่าเรื่องสนุกให้ข้าฟังเสียทีเถิดขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“ข้าเล่าเรื่องขบขันไม่เก่ง ข้าไม่เล่าหรอก ไม่เรื่องสนุกอะไรทั้งนั้น…” นางเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบท่านชายฉินสิบสามก็ยื่นมือมาคว้าซองจดหมายตรงหน้าไปแล้ว
ฮูหยินฉินยิ้มพลางเอื้อมมือไป ทว่าก็เร็วสู้ลูกชายไม่ได้อยู่ดี
“เจ้ากล้าอ่านหรือ” นางเอ่ยถามหยอกล้อ “เขาตอบว่าอย่างไรก็ยังไม่แน่”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะยกใหญ่
“ลูกชายท่านเคยกลัวสิ่งใดบ้าง” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางสะบัดกระดาษให้คลี่ออก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็พอคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว
… ฮูหยินรองตระกูลเฉิงตกลงแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าแม่นางเฉิงจะว่าอย่างไร ยังไม่โอกาสได้ถาม…
เอ๊ะ ไม่ใช่คำตอบที่เขาคาดไว้
ท่านชายฉินสิบสามกวาดสายตาอ่านต่อ
ฮูหยินฉินรับชามาจากแม่นม โน้มกายลงมาค้ำกับโต๊ะ มองลูกชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตั้งแต่เขาหายดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าเขาถึงได้อารมณ์ดีนัก ลูกชายที่แต่ไหนแต่ไรก็แปลกอยู่แล้วก็ยิ่งดูแปลกขึ้นไปใหญ่ ทั้งที่อายุได้เพียงสิบเจ็ดปีแต่กลับท่าทางโตกว่าอายุเป็นเท่าตัว
ฮูหยินฉินแกว่งถ้วยชาในมือช้าๆ พลางมองสีหน้าของลูกชายที่เปลี่ยนไป
ในตอนแรกเรียวคิ้วยาวนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ต่อมาหางตาก็เริ่มยกยิ้ม ทว่าไม่นานใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ราวกับกำลังหงุดหงิด แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมายิ้มอีกครั้ง จนท้ายที่สุดก็ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสุดท้ายสีหน้าก็ดูเศร้าโศกขึ้นมา เขาพลิกกระดาษอ่านต่อแถมยังถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลูกชายโตมาจนป่านนี้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นสีหน้าหลากหลายของเขาเช่นนี้
ความจริงแล้วรอยยิ้มนั้นไม่ได้หมายความว่ามีความสุข แต่ได้ร้องไห้ ได้หัวเราะ ได้เศร้าโศก ได้เจ็บปวด ได้กังวล ได้โมโหตามใจอยากต่างหากคือความสุขที่แท้จริง
“ท่านแม่”
เสียงเรียกของท่านชายฉินสิบสามเรียกสติของฮูหยินฉินให้กลับคืนมา
ฮูหยินฉินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ลูกชาย
“ท่านแม่ เรื่องนี้ ท่านอย่าได้บอกใครเด็ดขาด” ท่านชายฉินสิบสามแกว่งจนหมายในมือไปมา สีหน้าเคร่งขรึม
“เอ๊ะ นางทำเรื่องอะไรที่บอกใครมิได้หรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยสีหน้าตื่นตระหนกพลางยื่นมือออกไป
ท่านชายฉินสิบสามยื่นจดหมายให้แก่นาง
“มิใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้ นางทำการอันใดย่อมมีเหตุมีผล ไม่ต้องเกรงกลัวหากผู้ใดจะล่วงรู้” เขาเอ่ยก่อนจะถอนหายใจออกมา “เพียงแต่บนโลกนี้มีคนเขลาอยู่มาก แม้จะไม่ผิด แต่อาจจะไม่ถูกใจผู้อื่นสักเท่าไหร่”
ฮูหยินฉินยิ้ม
“ผู้อื่นจะถูกใจหรือไม่ นางสนใจด้วยหรือ” นายยิ้มเอ่ย
“ไม่มีผู้ใดไม่สนใจหรอกขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย เขามองท่านแม่ที่กำลังยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นทุบเบาๆ ที่แผ่นอกของตน “ท่านแม่ ข้ารู้ดี เพียงแต่เรื่องไม่สนใจ เห็นทีจะไม่ได้”
ฮูหยินฉินรู้สึกเหมือนดวงตาเริ่มร้อนผ่าว เด็กคนนี้เหตุใดถึงได้พูดจา…
นางยกชาขึ้นดื่มพลางสะบัดจดหมายในมือทิ้ง
จดหมายฉบับนั้นร่วงหลนลงไปในเตาไฟข้างกายพอดิบพอดี ไม่นานก็มอดไหม้จนหมด กลายเป็นเถ้าถ่านในกองเพลิง
“ท่านแม่ยังไม่ได้อ่านเลยนะขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามตกใจไม่น้อย
“ไม่มีอะไรที่ข้าต้องรู้เสียหน่อย” ฮูหยินฉินเอ่ย “เขาต้องการรู้เพียงแค่เรื่องหมั้นหมาย เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่สนใจหรอก”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มก่อนจะคำนับลา
พอเห็นท่านชายฉินสิบสามเดินออกไป รอยยิ้มของฮูหยินฉินก็จางหายไปก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ฮูหยินเจ้าคะ ดูท่าทางท่านชายสิบสามคงมีใจให้แม่นางเฉิงจริงๆ” แม่นมเอ่ย
“นางเป็นคนฉุดเขาออกจากก้นหลุม เปลี่ยนเขาเป็นคนใหม่เสียขนาดนั้น เป็นใครก็ย่อมมีใจให้ทั้งนั้น” ฮูหยินฉินเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางผู้นั้นก็น่าสนใจยิ่งนัก ไม่เคยพบเจอผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ไม่เหมือนกับแม่นางคนใดเลยสักนิด อย่าว่าแต่คนหนุ่มอย่างเขาเลย แม้แต่ข้าก็อยากมีนางอยู่ข้างกาย”
น่าสนใจอย่างนั้นหรือ แม่นมได้แต่สงสัยอยู่ในใจ คนที่เย็นชาดั่งน้ำแข็ง ไม่พูดไม่จา ปลีกตัวออกห่างผู้คนเช่นนั้นน่ะหรือ มีอันใดน่าสนใจกัน
“แต่ว่ากฎของแม่นาง…” นางเอ่ย
“กฎนั้นเปลี่ยนไม่ได้ แต่ใจคนนั้นเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ต้องลองดู” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางยกชาขึ้นดื่มจนหมด
ยามที่ท่านชายฉินสิบสามมาถึงสะพานอวี้ไต้ ละอองหิมะก็กลายก้อนหิมะที่ร่วงหล่นลงบนพื้น ทับถมอยู่บนต้นไม้ กำแพง และหลังคา
พอเห็นท่านชายฉินสิบสามกระตุกเชือกม้า บ่าวก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยมัด เขามองท่านชายอยู่นานสองนาน ก็ไม่เห็นท่าทีว่าท่านชายจะขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
“ท่านชาย ตอนนี้แม่นางปั้นฉินอยู่ที่ร้านขอรับ” เขาอดไม่ได้จึงเอ่ยปากบอก
พอเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงรถม้าดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงของหญิงนางหนึ่ง
“ท่านชายสิบสาม มาหาข้าหรือ”
ท่านชายฉินสิบสามไม่ได้ลงจากม้า เขามองดูสาวใช้ทำลงจากรถม้า
“กลับมาแต่เช้าเชียว พอนายหญิงไม่อยู่ก็เริ่มอู้งานแล้วหรือ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สาวใช้เองก็หัวเราะทว่ากำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นใครอีกคนหนึ่งกำลังรีบร้อนลงมาจากรถม้า
ไม่รู้ว่าเพราะรีบร้อนหรือว่าเพราะขาสั้นจึงทำให้คนผู้นั้นล้มลงไปบนพื้น
ท่านชายฉินสิบสามหันไปมอง ก็เห็นเด็กหญิงอายุราวสิบปี ก้มหน้าก้มตาท่าทางลนลาน
สาวใช้คนใหม่อย่างนั้นหรือ
“เจ้าลงมาทำไม” สาวใช้เอ่ยพลางเข้าไปพยุงนาง “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะให้รถไปส่งเจ้า”
“ไม่… ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่ปั้นฉิน ท่านถึงบ้านแล้ว ข้ากลับเองจะดีกว่า” เด็กหญิงก้มหน้าตอบ
“แต่ว่าหิมะตกอยู่นะ” สาวใช้เอ่ย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร” เด็กหญิงก้มหน้าก้มตาคำนับ
สาวใช้เห็นท่านชายฉินสิบสามท่าทางสงสัย จึงยิ้มก่อนจะผายมือเอ่ยอย่างจนใจ
“ข้าไปเยี่ยมท่านชายเฉิงสี่ที่สำนักบัณฑิตนอกเมืองมาเจ้าค่ะ สาวใช้นางนี้เป็นคนบ้านเดียวกับพวกข้า แล้วก็ไปเยี่ยมท่านชายสี่เช่นกัน ข้าเห็นว่าหิมะตกจึงพานางกลับมาด้วย” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามร้องอ๋อ ท่านชายเฉิงสี่อย่างนั้นหรือ เขามองสาวใช้ตัวน้อยอีกครั้ง เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้นมาลอบมองเขาพอดี พอทั้งสองสบตากัน นางตกใจจนต้องรีบก้มหน้าหลบสายตา ก่อนจะวิ่งหนีไปราวกับกระต่ายน้อยมิปาน
ท่านชายฉินสิบสามเผลอยิ้มออกมา
“ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ” เขายิ้มเอ่ย
เขามองดูเด็กหญิงที่วิ่งออกไปอีกครั้ง ก็เห็นว่าแผ่นหลังของร่างเล็กนั้นวิ่งออกไปไกล
“สาวใช้ผู้นั้นมาจากตระกูลใดกัน” เขาถามอย่างอดไม่ได้
สาวใช้เหลียวไปมองตามก่อนจะส่ายหน้า
“ข้าเองก็ไม่ได้ถาม” นางตอบ “ท่านชายสี่บอกเพียงแค่ว่านางถูกขายมาที่เมืองหลวง ไม่รู้ว่าเป็นสาวใช้ตระกูลใด”
เรื่องไม่เล็กไม่สลักสำคัญเช่นนั้นนางก็คร้านจะถาม นางมองไปที่ท่านชายฉิน
“ท่ายชายสิบสาม นายหญิงของข้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
“ไม่มีเรื่องอันใดหรอก เพียงแต่นายหญิงของเจ้าใช้เงินมือเติบ ท่าทางเจ้าคงต้องส่งเงินไปล่วงหน้าแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
สาวใช้ถอนหายใจก่อนจะยิ้มออกมา
“ตกลงกันไว้แล้วว่าสิ้นปีถึงจะปันผลกำไร ตอนนี้จะเอาเงินที่ไหนส่งไปให้ล่ะเจ้าคะ” นางเอ่ย “ท่านวางใจเถิด นายหญิงของข้าจะขาดแคลนสิ่งใดก็ไม่เคยหวั่น เรื่องเงินยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะยกใหญ่ ก่อนจะกลับหัวม้า
มองดูท่านชายฉินควบม้าออกไป รอสาวใช้เดินเข้าประตูเรือนไป ชุนหลิงที่หลบอยู่ที่มุมกำแพงจึงชะโงกหน้าออกมา สีหน้าดูตกใจกลัวไม่น้อย นางขยี้ขมูกหันหลังกลับก่อนจะเดินไปตามทางช้าๆ
ขณะเดียวกันทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเจียงโจว ก็มีรถม้าสองคนและองครักษ์อีกหลายสิบนายกำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“พ่อหนุ่ม เจ้าดูสิ อากาศไม่ดีนัก ข้าว่ารีบหาที่พักก่อนไม่ดีกกว่าหรือ” นางเอ่ยอย่างระแวดระวัง
องครักษ์ที่ขี่ม้าอยู่ข้างกันส่ายหน้า
“ไม่ต้องห่วง นายหญิงเตรียมการไว้แล้ว” เขาเอ่ย
หญิงสาวสองคนมองดูรถม้าข้างหน้าอย่างอดไม่ได้
นายหญิงผู้นี้คงเตรียมการไว้แล้วจริงๆ
วันนั้นจู่ๆ นางก็เดินออกมาถามเด็กคนหนึ่งว่าแถบเจียงโจวมีที่ใดน่าเที่ยวบ้าง เจ้าเด็กนั่นก็ตอบไปว่าเขาลู่เจียว วันต่อมาแม่นางผู้นั้นก็เช่ารถออกมาจริงๆ
ปั้นฉินกับพ่อบ้านก็วุ่นอยู่จนตามมาด้วยไม่ได้ แต่ก็มิวายรบเร้าให้เฉิงจี้หาหญิงสาวจากฝั่งเฉิงใต้ตามออกมาด้วยจนได้ ตกลงกันไม่นานก็พากันขึ้นรถม้าออกมาจากบ้านเสียแล้ว
สายลมโหมกระหน่ำพัดพากลุ่มก้อนหิมะเข้ามา หญิงทั้งสองนางจึงรีบกลับเข้าไปในรถ
ภายในรถจุดเตาผิงไว้ ทั้งยังมีปูผ้าผืนหนารองพื้น หญิงทั้งสองนางเอาแต่ลูบคลำผ้ามาตลอดทาง จนถึงบัดนี้ก็ยังลูบไม่หยุด
“ผ้าเนื้อดีเช่นนี้เอามาปูรองพื้นน่าเสียดายแย่ หากเอาไปทำเสื้อกันหนาวคงทั้งอุ่นทั้งงามไม่น้อย” คนหนึ่งเอ่ยบ่น
“เจ้าจะไปรู้อะไร คนมีเงินก็อย่างนี้แหละหนา เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาว่ากันว่าแม้แต่กระโถนถ่ายทุกข์ของฮูหยินใหญ่เฉิงยังเลี่ยมด้วยทองคำเลย” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พาหยิบกาบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำชา หรี่ตามองสายน้ำที่ไหลผ่านปากของกาอย่างเพลิดเพลิน
“หยุดดื่มได้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องจอดแวะฉี่อีก ไม่อายเขาหรือ” นางรีบเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือตีอีกคน
หญิงสาวทั้งสองพากันหัวเราะยกใหญ่
“เฮ้อ หากได้รับใช้นายหญิงผู้นี้ตลอดก็คงดี”
ทั้งสองนอนอยู่บนรถ มองดูเพดานรถแล้วทอดถอนใจ
ใช้ชีวิตมาจนป่านนี้ ก็เพิ่งจะได้มีความสุขเอาตอนที่ได้ออกมากับนายหญิงคราวนี้
รถม้าเคลื่อนไปได้พักใหญ่ก่อนจะหยุดลง ทั้งสองรีบลุกขึ้นนั่งก่อนจะแหวกม่านออก ก็เห็นว่าตอนนี้กำลังเข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ยามนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว ทั้งยังมีพายุหิมะ บนถนนนั้นเงียบสงบนานๆ ที่จะมีคนท่าทางรีบร้อนเดินผ่านมา
คงจะพักที่นี่แล้วกระมัง แม้นายหญิงจะไม่ต้องการคนปรนนิบัติข้างกาย แต่พวกนางก็พอจะรู้งานอยู่บ้าง ทั้งสองจึงรีบลงรถไป ก่อนจะยืนอยู่ที่หน้ารถม้าของเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง ลงรถเถิดเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากรถก่อนจะแหวกม่านออก หญิงทั้งสองรีบก้มหน้า เลียนแบบท่าทางของเหล่าแม่นมตระกูลเฉิงทีมักจะยื่นมือออกไปรับไว้
ทว่าไม่มีผู้ใดจับฝ่ามือของนาง นายหญิงผู้นั้นลงรถมาด้วยตัวเอง ผ้าคลุมกุ้นขอบทองโบกสะบัดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะปลิวไสวยามนางเดินเข้าไปข้างใน