พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 360 เยื้องย่าง
รถม้าถูกลากไปยังด้านหลังของลานกว้าง หญ้าอ่อนที่เพิ่งขึ้นใหม่ถูกป้อนเข้าปากม้า
คนงานรับเงินที่ถูกโยนมาให้ก่อนขานรับน้ำเสียงเบิกบาน
“พวกเขาชอบกินอะไรก็สั่งกันเอง ข้าขอแค่ข้าวต้มเปล่ากับผักจานเล็กสักสองอย่างก็พอ”
คนงานหน้าประตูยืนตั้งใจฟังอย่างนอบน้อม เขาแทบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เอาก้มหน้าก้มตาสายตาจับข้องไปที่ชายกระโปรง
นั่นไม่ใช่สีสันงดงามสะดุดตาเลยสักนิด เพียงแค่สีเขียวอ่อน ทั้งยังไม่มีลูกไม้ขอบระบายตกแต่ง เพียงแต่ยามที่ชายกระโปรงนั้นจรดลงกับพื้น กลับไม่อาจละสายตาไปได้
“ขอรับ แม่นาง” คนงานขานรับ ชายกระโปรงเบื้องหน้าขยับไหว เผยให้เห็นถุงเท้าสีขาวยามเยื้องย่างออกไป
ไม่นานถุงเท้านั้นก็หายไปจากสายตา เพราะมีร่างหนาใหญ่ของใครคนหนึ่งเข้ามาบดบัง
“ยังไม่รับไปอีก” หญิงที่ติดตามมาด้วยเอ่ยขึ้น
คนงานรีบหันหลังกลับวิ่งออกไป แต่เพราะตกใจจึงเกือบชนเข้ากับเสา
หญิงนางนั้นหัวเราะยกใหญ่ หัวเราะได้ครู่หนึ่งถึงรู้สึกตัวว่าตนเองเสียกิริยาจึงรีบเก็บเสียง ก่อนจะหันซ้ายหันขวาด้วยความเก้อเขิน
เฉิงเจียวเหนียงเข้ามานั่งในห้องแล้วก็หยิบหนังสือขึ้นมา
หญิงอีกนางส่งสายตาให้นาง
พวกนางยืนนิ่งมาก็นานมากแล้ว เห็นคงต้องเอ่ยปากถามว่ามีอะไรให้รับใช้หรือไม่เสียที
“นายหญิง ห้องนี้พวกเราควรจะปัดกวาดเช็ดถูสักรอบหนึ่งหรือไม่เจ้าคะ” คนหนึ่งไหวพริบดีจึงเอ่ยขึ้นมาก่อน
ความคิดนี้ไม่เลว พวกคนร่ำรวยเงินทองออกบ้านทีก็มักจะพิถีพิถันเสมอมิใช่หรือ จะดื่มจะกินจะนอนก็มักจะใช้ของที่นำมาเอง รังเกียจว่าของผู้อื่นจะไม่สะอาด
หญิงทั้งสองนางดีใจทันใดก่อนจะพากันถลกแขนเสื้อขึ้น
“ไม่ต้อง” เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลงก่อนจะเอ่ยพลางส่งยิ้มให้ “พวกเจ้าก็เหนื่อยมาตลอดทางแล้ว ไปกินข้าว พักผ่อนเสียเถิด”
จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า!
“เช่นนั้นจะได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พวกเราถูกสั่งมาให้ปรนนิบัตินายหญิงนะเจ้าคะ…” พวกนางเอ่ย
พอสิ้นเสียง เฉิงเจียวเหนียงก็ลุกยืนขึ้น
“ไม่กล้าหรอก คนแซ่เดียวกันจะมาเป็นข้าทาสได้อย่างไร” นางเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะโค้งคำนับให้ “ที่ให้พวกเจ้ามาด้วย เพราะเป็นหญิงออกไปไหนคนเดียวนั้นไม่เหมาะสม จึงจำต้องให้พวกเจ้ามาด้วย มิได้ให้มารับใช้”
หญิงทั้งสองตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“นายหญิงอย่าได้เกรงใจ แม้พวกเราจะมิใช่ข้าทาส แต่ก็เป็นสิ่งที่พวกข้าพอจะทำได้มิใช่หรือเจ้าคะ” หนึ่งให้นั้นตอบกลับทันใด พลางยกอ่างน้ำขึ้นมา
“อย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คำพูดนั้นทำเอาฝีเท้าของหญิงนางหนึ่งชะงักไป
ใครจะกล้าทำให้นางลำบากใจ ใครจะกล้าทำให้นางลำบากใจ
บอกว่าจะสร้างบ้านให้ก็สร้างบ้านให้ บอกว่าจะฟ้องร้องนายใหญ่ก็ฟ้องร้องนายใหญ่จริงๆ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับพวกเจ้านะ…”
เสียงของหญิงสาวลอยมาอีกครั้ง
ประโยคนั้นทำให้หญิงทั้งสองได้สติขึ้นมาในทันใด
ไม่ได้ล้อเล่นนะ…
หญิงทั้งสองหันหลังกลับแล้วเดินออกไปในทันที พอเดินออกมาก็เพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะหันกลับไปชะโงหหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ อยู่ที่หน้าประตู
“เช่นนั้น…หากนายหญิงต้องการอะไรก็เรียกพวกข้าได้นะเจ้าคะ” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ข้างกันอย่างเหม่อลอย
“เช่นนั้นแล้วแปลว่านางให้พวกเราออกมาเหมือนแม่ลูกออกมาเที่ยวอย่างนั้นหรือ”
“กินดีอยู่ดี ได้ใช้ของดีๆ แถมยังไม่ต้องทำงาน”
หญิงทั้งสองนั่งอยู่บนเบาะกลางห้องรับแขก สีหน้าราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ประตูถูกเปิดออก คนงานของร้านเดินยิ้มแย้มเข้ามาพร้อมกับโต๊ะตัวหนึ่ง
“แม่นางทั้งสอง อาหารมาแล้วขอรับ”
ถ้วยชามเล็กใหญ่แสนประณีตวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แต่เห็นจามชามก็แทบตาลายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวปลาอาหารในนั้น
“เชิญแม่นางทั้งสองรับประทานขอรับ”
คนงานของร้านออกไปด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น
ประตูห้องถูกแง้มไว้กึ่งหนึ่ง ตะเกียงที่ถูกจุดไว้บนพื้นอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วเบาะรองนั่ง หากเหลียวไปมองก็จะเห็นละอองหิมะโปรยปรายที่ลานด้านนอก กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วโพรงจมูก หญิงทั้งสองสบตากัน ก่อนจะอ้าปากหัวเราะไร้เสียง มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาผลักกันเป็นนัยว่าอย่างได้เสียกิริยา
“ชีวิตนี้ก็คุ้มแล้วละ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้…”
“พวกเราจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“ตอนออกมาจากเรือนแม่นางปั้นฉินก็สั่งไว้แล้วนี่ บอกว่าให้พวกเราเชื่อฟังนายหญิง นางบอกให้ทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น อย่าได้อวดดีคิดทำการใดเอง”
“นางให้พวกเราติดตามมาด้วย เช่นนั้นก็…แค่ติดตามอย่างนั้นหรือ”
หญิงทั้งสองสบตากันก่อนจะเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ก็แค่ติดตามน่ะสิ!”
พวกนางหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกิน
ขณะเดียวกันฮูหยินหวังเองกำลังวางถ้วยในมือลง มองดูแม่นมที่เดินเข้ามาพร้อมกับหิมะที่ติดอยู่บนบ่า
“เหล่าฮูหยินตระกูลเจ้า…ไม่ไหวแล้วหรือ” นางถามออกไปอย่างอดไม่ได้
แม่นมตระกูลเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะสำลักออกมา ไปได้ยินข่าวเช่นนี้มาจากไหนกัน
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เจ้าค่ะ เหล่าฮูหยินของข้ามิได้เป็นอะไร” นางรีบเอ่ย “แต่นายใหญ่ของข้า…”
“นายใหญ่ของเจ้าเป็นอะไรไปหรือ” ฮูหยินหวังตกใจ เรื่องนี้ใหญ่กว่าเรื่องของเหล่าฮูหยินเฉิงเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแค่ไม่สบาย หมอก็มาดูแล้ว ไม่ได้ป่วยหนักอันใด…” แม่นมเอ่ยตาเป็นประกาย
ฮูหยินหวังมองนางพลางวางตะเกียบลง ก่อนจะเรียกบ่าว ทำท่าจะลุกขึ้น
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ไม่ต้องเจ้าจะ ฮูหยินไม่ต้องไปเยี่ยมหรอกเจ้าค่ะ” แม่นมรีบห้ามเอาไว้ “ฮูหยินกำชับมาว่า ท่านไม่ต้องไปเยี่ยม เพียงแต่ให้มาบอกว่าเรื่องงานหมั้นหมายออกจะต้องเลื่อนออกไปก่อนระยะหนึ่ง พอถึงเวลาแล้วฮูหยินจะมาคุยกับพวกท่านเองเจ้าค่ะ”
ยิ่งเลื่อนออกไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ฮูหยินหวังเอ่ยอยู่ในใจ ก่อนจะนั่งลงที่เดิม
“ไม่เป็นอะไรแน่หรือ” นางถาม
แม่นมพยักหน้ารัว
“ตระกูลเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด ประเดี๋ยวก็เหล่าฮูหยินป่วย ประเดี๋ยวก็นายใหญ่ป่วย” ฮูหยิน
หวังขมวดคิ้วถาม “ได้ไปเรียกคนให้มาดูบ้างหรือยัง อาจจะมีวิญญาณร้ายคอยกลั่นแกล้งอยู่ก็เป็นได้…”
มิใช่วิญญาณร้ายที่คอยกลั่นแกล้งหรอก…
แต่เป็นคนในตระกูลต่างหากที่กลั่นแกล้งกันเอง
แม่นมได้แค่พูดอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยต่อน้ำเสียงคลุมเครือ
ฮูหยินหวังถามไถ่อีกสองสามคำก่อนจะบอกใหญ่แม่นมตระกูลเฉิงกลับไป นางมองดูข้าวปลาอาหารที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ทว่ากลับไม่มีความอยากเลยสักนิด นางแหงนหน้ามองดูหิมะที่โปรยปรายกลางลานบ้าน
“หากรู้แต่แรกว่าพวกเขาป่วยออดๆ แอดๆ กันแบบนี้ ก็คงไม่ต้องให้ชายสิบเจ็ดไปหลบซ่อนตัว” นางเอ่ยสีหน้าเป็นกังวล “หิมะตกหนักเช่นนี้ ชายสิบเจ็ดอยู่ที่ใดกันนะ จะหนาวหรือไม่ ไม่รู้ว่าได้สวมเสื้อผ้าอบอุ่นหรือเปล่า คิดถึงบ้านบ้างไหม คิดถึงแม่บ้างไหม กินดีอยู่ดีหรือไม่”
ลูกชายเดินทางไกลกว่าพันลี้ คนเป็นแม่ยอมกังวลใจ ยิ่งนางเป็นคนรบเร้าให้ลูกชายไปเองอีกต่างหาก
ฮูหยินหวังยกมือกุมอกก่อนจะทอดถอนใจ
หิมะตกหนักตลอดทั้งคืน แสงยามเช้ามืดเริ่มสาดส่อง
“ตรงนั้นคือเขาลู่เจียวหรือ”
ยามเช้าตรู่เช่นนี้คนเดินถนนบางตา ร้านรวงริมทางต่างเปิดประตูออกมาปัดกวาดหิมะ เฉิงเจียวเหนียงและเหล่าผู้ติดตามที่เดินกันอยู่บนถนนนั้นช่างแสนสะดุดตา
พอได้ยินเสียงของหญิงร่างอวบ คนงานประจำร้านริมทางคนหนึ่งก็พยักหน้าในทันใด
“ใช่แล้ว อยู่ตรงนั้น พวกข้าได้ยินมาว่าหิมะตกบนเขาลู่จริงนั้นงดงามนัก ทว่าไม่เคยมีโอกาสได้ไป”
คนงานร้านมองตามหญิงผู้นั้น ก็เห็นเหล่าชายหนุ่มกำลังล้อมหญิงสาวในชุดคลุมที่ยืนอยู่ตรงกลาง หมวกใบใหญ่ปิดปังใบหน้า มีเพียงคางมนโผล่ออกมาให้เห็น ผิวนั้นขาวนวลงามดุจหยก
ลูกสาวเศรษฐีตระกูลใดออกมาเที่ยวกัน
“แม่นางน้อย เห็นเช่นนี้ดูเหมือนใกล้ แต่แท้จริงแล้วไกลออกไปตั้งยี่สิบลี้เชียวนะขอรับ” คนงานเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงก้าวไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งเลิกหมวกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะทอดสายตามองดูขุนเขาที่อยู่ไกลออกไป
“ดี พวกเราไปกันเถิด” นางเอ่ย
เขาลู่เจียวยามนี้ราวกับประดับประดาไปด้วยเครื่องเงินแวววาวเพราะหิมะที่ตกหนักทั้งคืน เหมือนดั่งสรวงสรรคในเมืองมนุษย์ เพราะเป็นจุดชมหิมะอันเลื่องชื่อ เขาแห่งนี้จึงมีร้านอาหารโรงเตี๊ยมตั้งอยู่มากมาย ในยามนี้ ณ ร้านอาหารที่ดีที่สุด ภายในห้องที่ชมทิวทัศน์ของหิมะได้งามที่สุดบนชั้นสอง ก็มีเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวดังลอยออกมา
“นายหญิง เหมือนคนจะเยอะไม่น้อยขอรับ” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยพลางหลบตา
คนงานของร้านออกมาต้อนรับได้ยินดังนั้นก็ร้อนรนในทันใด
“แม่นาง คนไม่เยอะ คนไม่เยอะ บนชั้นสองมีแขกแค่กลุ่มเดียว มีที่นั่งเหลือมากมาย ท่านจะกั้นม่านบังก็ได้ ไม่รบกวนกันอย่างแน่นอนขอรับ” เขารีบเอ่ย “ร้านของพวกเราชมทิวทัศน์หิมะได้งามที่สุดแล้ว ด้านนอกมีระเบียงกว้างขวาง ในห้องก็อบอุ่นขอรับ”
“เช่นนั้นก็ที่นี่ก็แล้วกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คนงานประจำร้านนำทางเดินไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางขานรับแล้วผายมือไปข้างหน้า เหล่าผู้ติดตามแบ่งกลุ่มห้าคนประจำอยู่ชั้นล่าง อีกห้าคนติดตามเฉิงเจียวเหนียงขึ้นไปข้างบน ส่วนหญิงอีกสองนางก็ตามขึ้นไปเช่นกัน พอเดินเข้าไปในโถงก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากชั้นบนชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เสียงหัวเราะหวานของเหล่าหญิงสาวราวกับบทเพลงบรรเลงมิปาน ฟังดูเสนาะหูยิ่งนัก
ดูเหมือนว่าแขกกลุ่มนั้นคงจ้างหญิงสาวมาบรรเลงเพลงขับกล่อม ทว่าผู้ติดตามที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หากขึ้นไปเช่นนี้จะดีหรือ
หากดูท่าไม่ดี… ก็ไล่คนพวกออกไปเสียก็สิ้นเรื่อง!
ผู้ติดตามเร่งฝีเท้าเดินเสียงตึงตังขึ้นไปชั้นบน
เสียงย่ำเท้านั้นนพาลให้คนบนชั้นสองตกใจ เสียงหัวเราะเงียบลงในทันใด ก่อนจะพากันเหลียวมองมา
ผู้ติดตามสองคนก็เหลียวไปมองเช่นกัน พอหันไปเห็นก็รีบหันหลังไปขวางเฉิงเจียวเหนียงไว้ทันที
ภายในโถงอันโอ่อ่าที่หันหน้าตรงกับทิวทัศน์ของหุบเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ บนพื้นปูด้วยพรมผืนหนา ยามนี้มีคนนั่งกระจัดกระจายอยู่ห้าคน ทว่ามีชายหนุ่มเพียงคนเดียว ส่วนที่เหลือคือหญิงสาวแต่งกายเผยเนื้อหนัง ผมเผ้าของพวกนางยุ่งเหยิง สองฟากมีหญิงคณิกาสองนางคอยดีดฉิน ล้วนแต่งหน้าหนาแววตาหยาดเยิ้ม
นี่ร้านอาหารหรือหอนางโลมกันแน่
พอเห็นว่ามีคนมากมายขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
เหล่าหญิงสาวเพิ่งได้สติก็พากันกรีดร้องออกมา ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาปิดแล้วโถมตัวเขาหาอ้อมอกของชายหนุ่ม แต่น่าเสียดายที่นายหนุ่มผู้นั้นผอมบางนัก จึงเกือบถูกพวกนางเบียดจนหงายหลังลงไป
“เฮ้ ไสหัวไป ไสหัวไป ใครใช้ให้พวกเจ้าขึ้นมา! ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเหมาที่นี่ทั้งหมด”
เสียงแหลมเล็กของชายหนุ่มดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มหญิงสาว
พอได้ยินเสียงนั้น ผู้ติดตามทั้งสองคนที่หันหลังกลับไปแล้วก็ชะงักฝีเท้าในทันที ก่อนจะเหลียวไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งยังลืมบอกให้เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลังให้หยุดเดินก่อน
“ท่านชาย ท่านไม่ได้จ่ายเงินเหมาทั้งร้านนี่ขอรับ” คนงานของร้านที่นำทางขึ้นมาเอ่ยพลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยเรียก “เชิญพวกท่านทางนี้ขอรับ”
หญิงสองนางที่ขึ้นมาก่อนกำลังตื่นตาตื่นใจกับความงามบนชั้นสอง พอหันไปเห็นภาพประเจิดประเจ้อตรงหน้าก็ร้องตกใจออกมาในทันใด
“หน้าไม่อายเสียจริง!” พวกนางตะโกนลั่น
เสียงตะโกนนั้นพาลทำให้เหล่าหญิงสาวกรีดร้องเสียงแหลมออกมา พลางคร่ำครวญน้อยเนื้อต่ำใจ
เฉิงเจียวเหนียงก้าวขึ้นมาบนชั้นสอง หญิงทั้งสองนางจึงรีบเข้าไปขวางในทันใด
“อย่ามองเจ้าค่ะ อย่ามองเจ้าค่ะ มองแล้วจะเป็นตากุ้งยิงเอานะเจ้าคะ” พวกนางร้องตะโกน
คำพูดนั้นช่างเหยียดหยามกันเหลือเกิน พอเห็นเหล่าหญิงสาวถูกดูแคลนเช่นนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นก็กระเด้งตัวยืนขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไสหัวไป ไสหัวไป ไสหัวไป” เขาชี้นิ้วตะโกนลั่น
พอเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าหญิงงาม ก็รู้ในทันทีว่าว่าคือท่านชายผู้นั้น เหล่าผู้ติดตามสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เฉิงเจียวเหนียงแหงนขึ้นมอง
“บังเอิญเสียจริง เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” นางเอ่ยพลางยิ้มบาง
ท่านชายหนุ่มน้อยที่กำลังเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยจูบของหญิงสาว บัดนี้กำลังนิ่งชะงักไปเพราะเสียงนั้น
หมวกถูกปลดออก ใบหน้างดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า
ทว่ายามนี้พอได้เห็นใบหน้าอันงดงามนั้น ท่านชายหนุ่มน้อยกลับทำหน้าเหมือนราวกับเห็นผีมิปาน ใบหน้าของซีดเผือดในทันที
“โธ่เว้ย! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
เขาตะโกนลั่น ก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัว ประหม่าเสียจนสะดุดเท้าของตัวเองล้มลง ก่อนจะกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เหล้ายากับแกล้มที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะหกกระจายลงบนพื้นเสียงดังโครมคราม
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังเสียจนเพดานแทบปลิว ก่อนภาพตรงหน้าจะอลหม่านขึ้นมาในทันใด
คนงานของร้านได้แต่มองอย่างงุนงง ก่อนจะเหลียวไปมองหญิงสาวตรงหน้า
“ยังสาวอยู่เลยหรือ… แม่เจ้า” เขาเอ่ยพึมพำ