พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 363 ใครผิด (1)
“ท่านแม่!”
แม่นางเฉิงเจ็ดเดินออกมาจากห้อง มองมายังแม่นมของฮูหยินรองเฉิงที่ถูกนายรองไล่ออกไปด้วยสีหน้าคับข้องใจ
“แมลงกัดจนข้านอนไม่หลับ…”
เมื่อมองดูลูกสาวผิวขาวกลายเป็นสาวบ้านนอกผิวแห้งกร้านในช่วงเวลาไม่กี่วัน ฮูหยินรองเฉิงก็เจ็บปวดใจเช่นกัน
อย่าว่าแต่ลูกสาวนอนไม่หลับเลย นางเองก็นอนไม่หลับ
สายตาของนางมองตรงหน้าประตูบ้านเปิดอยู่กึ่งหนึ่ง เมื่อครู่สาวใช้เพิ่งจะปัดกวาดไป น่าจะไปเตรียมเตารีดให้ร้อนเพื่อนำมารีดผ้าปูที่นอน
“ตอนนี้พี่สาวของเจ้าไม่อยู่บ้าน ถ้าเช่นนั้นไปนอนในบ้านนางเสียก่อนดีหรือไม่” นางเอ่ย
แม่นางเฉิงเจ็ดทำสีหน้ารังเกียจ
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไปห้องคนบ้านั่นหรอก!” นางเอ่ยขึ้น
“อย่าทำตัวเป็นคนโง่นักเลย!” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เราแม่ลูกทั้งสองจะพลิกชีวิตได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับนางแล้ว”
นางเอ่ยจบพลางดึงแม่นางเฉิงเจ็ดเดินเข้าไป ก่อนจะเปิดประตูอีกบานออก ไออุ่นในห้องปะทะใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้ง
ฮูหยินรองเฉิงตกตะลึง
“กลิ่นชิงไท่!” นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
ว่ากันว่าเป็นเครื่องหอมที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ก่อนที่เรือนเองก็เคยซื้อมาช่วงหนึ่ง ต่อมาถูกฮูหยินใหญ่เฉิงตัดออกเพราะอ้างว่าสิ้นเปลืองเกินไป จึงเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน ถึงแม้จะดีเหมือนกัน แต่ฮูหยินรองเฉิงก็ยังรู้สึกไม่พอใจนัก
ของดีที่เคยใช้อยู่ ใครจะยอมเปลี่ยนใช้ของที่ด้อยกว่าเล่า
คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะใช้สิ่งนี้
แม่นางเฉิงเจ็ดไม่รู้จักของเหล่านี้ นางเพียงรู้ว่าหลายมาวันนี้ตนถูกรมควันจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นหอมของที่นี่ช่วยนางไว้ จึงไม่ลังเลที่จะเข้าไป
“ท่านแม่ ข้าจะนอนที่นี่!” นางพูดโพล่งขึ้นทันที
ฮูหยินรองเฉิงแตะนางเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเดินตามเข้ามา ก่อนจะต้องประหลาดใจยามเดินสำรวจในห้อง
ห้องใหญ่กว่าที่พวกนางอยู่ไม่มากนัก บนผนังแขวนที่รองนั่งไม้ไผ่ไว้ พรมทำจากฟางอ่อนนุ่ม ผู้ติดตามมองสีหน้าของฮูหยินรองเฉิงยิ่งประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆ
“ภาพนี้เป็นของอาจารย์อู๋ซาน…” นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะมองยังฉากบังลมนั้น พลางยื่นมือไปลูบคลำอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “…นี่มันฝีมือของ…”
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูโคมไฟนี้สิ ช่างงามนัก ข้างบนยังมีภาพ…” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย คุกเข่านั่งลงบนพื้นดูโคมที่ประดับอยู่
โคมไฟกระดาษขาวละเอียดวางตระหง่านอยู่บนชั้นวางดอกไม้แกะสลัก ลายเส้นที่เรียบง่ายบนนั้นมีเค้าโครงดอกบัวกึ่งบานอยู่
“…ม่อกาน…” นางยื่นมือไปแตะที่ชื่อผลงานข้างบนภาพพลางเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงสูดหายใจลึกพลางคุกเข่าคลานเข้ามา ยกโคมขึ้นดูอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเบิกโตโพลง
“เป็นโคมของตระกูลม่อแห่งเมืองเยี่ยนโจว!” นางเอ่ย “นี่มันเป็นเครื่องบรรณาการของผู้อื่นนี่…”
“ท่านตาก็มีมิใช่หรือ” แม่นางเฉิงเจ็ดก็จำได้ว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน นางเบ้ปากเอ่ย
“ท่านตาของเจ้ามองเป็นของรักของหวง อย่าว่าแต่ใช้เลย แค่หยิบออกมาดูยังเสียดาย” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย พลางหมุนโคมนั้นไปมา
นางก็หยิบออกไปใช้อย่างมักง่ายเช่นนี้…
น่าเสียจริง…
เสียงดังตึงตัง แม่นางเฉิงเจ็ดลากโต๊ะเล็กที่อยู่อีกฝั่ง พลางร้องเอ๊ะขึ้นมาหนึ่งที
“ท่านแม่ โต๊ะยาวอันนี้ของนางคล้ายกับกระดานหมากรุกเลย” นางยิ้มเอ่ย
แม่ลูกกำลังมองอยู่ ด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“พวกท่านทำอะไรน่ะ” ปั้นฉินตะโกนอย่างตกใจ
ฮูหยินรองเฉิงรีบวางโคมในมือลงอย่างกระดากอาย ส่วนแม่นางเฉิงเจ็ดก็ยู่ปากแล้วผลักลิ้นชักกระแทกเข้าไป
“พวกเราแค่ดูว่ามีอะไรช่วยได้บ้างหรือไม่” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
“รีบออกไป รีบออกไป” ปั้นฉินเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงเคยเห็นสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์เช่นนี้มาก่อน เหมือนยามที่แม่นมข้างกายของนางไล่ตะเพิดแม่นมชั้นต่ำที่เข้ามาในห้องโดยไม่ได้ตั้งใจไม่มีผิด
“เจ้าจะตะโกนทำไมเล่า เจ้าก็เป็นแค่บ่าวรับใช้”
แม่นางเฉิงเจ็ดตะคอกกลับ นางถึงแม้จะเป็นเด็ก แต่เด็กนั้นอ่อนไหวกว่านัก บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ พอเห็นสาวใช้แสดงท่าทีรังเกียจออกมาให้เห็น ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ข้าไม่ไป ข้าจะนอนที่นี่!”
ฮูหยินรองเฉิงไม่ถึงขั้นทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ นางก่อนจะหัวเราะตาม
“ปั้นฉิน เจ้าดูสิ เจียวเหนียงก็ไม่อยู่บ้าน ก็ให้แม่นางเจ็ดนอนที่นี่ก่อนเถอะ” นางเอ่ยขึ้น พลางรีบชี้ไปยังเตียงนอน “พวกข้าไม่นอนบนเตียงหรอก นอนบนพรมนี้ก็พอแล้ว”
“ฮูหยินรอง จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ” ปั้นฉินรีบเอ่ย “นายหญิงไม่ชอบให้ใครมาอยู่ในห้องนาง แม้แต่ข้าตอนกลางคืนน้อยครั้งนักที่จะนอนที่นี่”
“เจ้าเป็นใครล่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยเสียงขึงขัง “เจ้ามันก็แค่สาวใช้!”
ปั้นฉินหน้าแดงก่ำขึ้นมา หากพูดถึงเรื่องวาทศิลป์ นางคงเทียบกับชิงเหมยของนายใหญ่จางไม่ได้หรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซู่ซินของนายใหญ่จาง
เมื่อมองเห็นสาวใช้ที่มีท่าทางอึดอัดใจ ฮูหยินรองเฉิงก็แอบยิ้มในใจ
“ปั้นฉิน แม่นางเจ็ดเป็นน้องสาวของนาง อายุยังน้อย ก็ให้นางนอนที่นี่ไปก่อนเถิด ข้าว่าหากเจียวเหนียงอยู่ ก็คงจะไม่ว่าอะไร” นางหรี่ตายิ้มเอ่ย
ปั้นฉินกัดริมฝีปากล่างมองยังสองแม่ลูกคู่นี้ที่อยู่ในห้องครู่หนึ่ง นางไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะก้าวเท้าหันกลับออกไป
แม่นางเฉิงเจ็ดทำเสียงถุยไล่หลัง
“นางคนชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาอวดเบ่งต่อหน้าข้า! ตบเจ้าสักฉากก็คงร้องไห้แล้ว!” นางเอ่ย พลางกระโจนลงนอน ยืดแขนขาออก ก่อนจะถอนหายใจอย่างสบาย “นี่สิถึงจะสมกับเป็นที่ที่ควรอยู่”
ฮูหยินรองเฉิงยิ้มพลางยื่นมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ แล้วมองสำรวจบริเวณโดยรอบต่อ
ดูไปแล้ว ภายในห้องนี้ดูเหมือนตกแต่งเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เรียบง่ายเลย ของที่ใช้ล้วนเป็นของชั้นยอดทั้งนั้น ไม่คิดว่าบ้านตระกูลโจวจะร่ำรวยถึงเพียงนี้ ทั้งยังยินยอมให้ผู้หญิงคนนี้ใช้อย่างไม่นึกเสียดาย…
“ประเดี๋ยวต้มน้ำมาอาบสักหน่อย เจ้าก็นอนได้…” นางก้มศีรษะเอ่ยกับแม่นางเฉิงเจ็ด
พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ได้ยินเสียงเท้าดังวุ่นวายจากนอกประตู ด้านหลังยังมีผู้ติดตามหลายคนของพ่อบ้านเฉามาด้วย
“พวกเจ้ามาพอดี เข้าบ้านไปเอาของมาให้ข้าหน่อย…” ฮูหยินรองเฉิงมองไปที่พวกเขาแล้วเอ่ย
พูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกปั้นฉินขัดจังหวะ
“จับพวกนางโยนออกไป!” นางยื่นมือชี้พลางเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ
ฮูหยินรองเฉิงยังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็เห็นผู้ติดตามหลายคนที่เดินเข้ามา ไม่พูดพรำทำเพลงก็จับนางไว้
“พวกเจ้าจะทำอะไร! โอ๊ย ปล่อยมือ! บังอาจ บังอาจ!”
เสียงกรีดร้องเสียงด่าทอดังขึ้นจากลานบ้าน
แต่ทว่าเสียงโหวกเหวนั้นไม่ได้เรียกให้คนมามุงดู เด็กๆ ทั้งหลายที่หยอกเล่นกันอยู่ด้านนอกประตู กลับแค่ตกใจแล้วเหลียวมองรอบด้าน พอได้ยินเสียงนั้นก็แค่เหลือบมองแล้วหันกลับไป ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
ฮูหยินรองเฉิงเดินโซเซถูกผลักออกนอกประตู แม่นางเฉิงเจ็ดเดินตามหลังกันออกมา ล้มลุกคลุกคลานบนพื้น ทั้งตกใจ ทั้งโมโห ทั้งอับอาย นางร้องไห้เสียงดังลั่น ฮูหยินรองเฉิงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ยื่นมือไปกอดนางไว้
“บาดเจ็บตรงไหน บาดเจ็บตรงไหน” นางเอ่ยถามไม่หยุด แล้วมองกลับไปด้านหลังอย่างเคียดแค้น “พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
ปั้นฉินมองพวกนาง ใบหน้ายังคงแดงก่ำ ไม่เอ่ยคำใดก่อนจะปิดประตูดังปัง
หากนางพูดไม่เก่ง ก็ไม่ต้องพูด ทำเรื่องที่นางควรทำก็พอแล้ว
“นี่ นี่!” ฮูหยินรองเฉิงโกรธจัด รีบลุกขึ้นกระโจนเข้าไป “เจ้าไม่มีสิทธิ์มาไล่พวกข้า พวกข้าถูกนายหญิงของเจ้าใส่ร้ายจนเข้าบ้านไม่ได้ เจ้าจะมาไล่พวกข้าได้อย่างไร เจ้าจะให้พวกข้าไปอยู่ที่ไหน”
“นายหญิงของกูลข้าใส่ร้ายท่านว่าอย่างไร” พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้วเอ่ยอย่างนิ่งเฉย “คนที่ไล่ท่านออกจากบ้านก็ไม่ใช่นายหญิงของข้า”
“หากไม่ใช่เป็นเพราะนายหญิงของเจ้าให้พวกข้าเป็นพยาน ข้าจะเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้หรือ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยความโมโห
“นายหญิงข้าให้ท่านไปตายท่านจะไปหรือไม่” พ่อบ้านเฉายิ้มเอ่ย “จะว่าไปแล้ว หากท่านไม่อยากไป ใครจะบังคับท่านได้”
“ก็เพราะพวกเจ้าบีบบังคับข้า!” ฮูหยินรองเฉิงตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“บีบบังคับท่านอย่างไรหรือ” พ่อบ้านเฉายิ้มเอ่ยถาม
หากไม่เป็นพยานนางก็จะไม่แต่งงาน…
พ่อบ้านเฉาก็ยิ่งยิ้ม
“ฮูหยินเฉิง นายหญิงข้าไม่แต่งงานแล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน หรือหรือว่าจะขัดต่อผลประโยชน์ของท่าน มิเช่นนั้นท่านคงจะไม่เดือดร้อนเช่นนี้” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “พูดกันตามตรง คนที่บีบบังคับท่านก็มีแต่ตัวท่านเองนั่นแหละ”
ปากคอเราะร้าย พูดจาไร้เหตุผล ถึงว่าละนายใหญ่ถึงโกรธจนลมจับ!