พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 373 เข้าใจไม่ดีพอ
ยามเมื่อหิมะตกลงมาอย่างหนัก เฉิงผิงก็เดินเข้าฝั่งเฉิงใต้มาได้ในที่สุด ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกักตัวอยู่บนถนนอีก
พวกเด็กๆ ในตรอกกำลังเล่นหิมะกันอยู่บนพื้น พอเฉิงผิงตะโกนขึ้น เด็กๆ เหล่านั้นพลันหยุดเล่นแล้วมองมาที่เขา
“นักต้มตุ๋นกลับมาแล้ว!”
เฉิงผิงยังไม่ทันจะพูดอะไร เหล่าเด็กๆ ก็พากันตะโกนขึ้นเสียงดัง เขายกมือหันหลังให้ในทันที แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าโครมครามดังขึ้น ทั้งยังไม่มีหิมะขว้างมาใส่ เขาจึงหันกลับไปพลางทิ้งมือลง ทว่าเหล่าเด็กๆ พากันวิ่งหนีหายไปหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกัน หรือเขาจะกลายเป็นแมลงยักษ์น่ากลัวไปแล้ว
เฉิงผิงถือโอกาสแกล้งทำท่าแยกเขี้ยวกางเล็บ คำรามออกมาทีหนึ่ง ปัดไหล่แล้วเดินเข้าไปด้านใน
หิมะหนาเช่นนี้ คงต้องหาที่หลบสักที่แล้ว เขามองไปรอบๆ พลางย่ำหิมะเดินไปจนเกิดเสียง เพียงแต่ยังไม่ทันออกจมาจากตรอกมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้น เด็กพวกนั้นพุ่งเข้ามาหา ด้านหลังมีหญิงอีกสองสามนางตามมาด้วย
เฉิงผิงตกใจชะงักฝีเท้าอย่างฉับพลัน ยกมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าไม่ได้หยิบเอาอะไรมาทั้งนั้น
“โธ่ ผิงเกอร์ เหตุใดเพิ่งจะกลับมาเล่า”
หญิงนางหนึ่งตะโกนถามยิ้ม พลางเร่งฝีเท้าเดินมาหา
ผิงเกอร์หรือ
เฉิงผิงเบิกตาโตมองนาง แล้วรีบหันไปมองด้านหลังตัวเอง ตรอกร้างว่างเปล่านี่ไร้ผู้คนนี่นา
หญิงนางนั้นยื่นมือไปจับเขาไว้แล้วลากเดินไปข้างหน้า
“…เจ้านั่นแหละ มองหาอะไรเล่า เหตุใดเจ้าเพิ่งจะกลับมา จะปีใหม่อยู่แล้ว ทุกคนกำลังเป็นห่วงกันอยู่ บอกว่าจะออกไปตามหาเจ้ากันใหญ่…”
ว่าอย่างไรนะ
“แม่นาง พวกเจ้าตามหาข้าหรือ มีธุระอะไรหรือ” เฉิงผิงถามพลางคิดจะหลบอยู่ด้านหลัง
ทว่ามีหญิงอีกสองนางมาล้อมเอาไว้ ทุกคนต่างจูงต่างลากเขาด้วยรอยยิ้ม จนเขาหลบไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งลากมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง
“ที่ที่เจ้าจะมาพักเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว” เหล่าหญิงต่างยิ้มบอก
เฉิงผิงมองบ้านตรงหน้า แม้ว่าจะเป็นบ้านที่ทำขึ้นอย่างไม่พิถีพิถันนัก สร้างจากดแผ่นไม้และใบหญ้า แต่สำหรับที่ฝั่งเฉิงใต้นี้ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“ของข้าหรือ” เขายกมือขึ้นชี้ตัวเองพลางเอ่ยถาม
“ใช่น่ะสิ เจ้าอย่าได้รังเกียจที่มันธรรมดาเช่นนี้เลย อย่างไรก็ให้มันพ้นปีใหม่ไปก่อน บ้านใหม่ตรงนั้นสร้างเสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนหลังใหม่ให้เจ้า” บรรดาหญิงทั้งหลายยิ้มเอ่ย
ยังมีบ้านหลังใหม่อีกหรือ
เฉิงผิงมองพวกนางอย่างตกตะลึง เงยหน้ามองไปรอบกายอย่างอดไม่ได้ เขาไม่ได้มาผิดที่ใช่หรือไม่ หรือนี่คือความฝัน
เขายกมือหยิกตัวเอง เจ็บจนร้องสูดปากออกมา
“เอ๊ะ” เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปอีกทาง “นะ…นั่นคือนายใหญ่เฉิงหรือ”
ในกองหิมะ บ่าวคนหนึ่งกางร่มผ้าสีมรกต ส่วนบ่าวอีกคนก็คอยพยุงร่างชายผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านหลังนั้น แม้ว่าชายผู้นั้นจะสวมเสื้อคลุมกันลมและหมวก แต่เฉิงผิงก็จำได้ในทันทีว่านั่นคือนายใหญ่เฉิง
“ใช่น่ะสิ นายใหญ่เฉิงมาหาแม่นางเฉิงอีกแล้ว” เหล่าหญิงทั้งหลายเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
สายตาเฉิงผิงหันไปมองพวกนางอีกหน แล้วก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
สำหรับฝั่งเฉิงใต้แล้วนายใหญ่เฉิงดำรงอยู่เหมือนดั่งเทพอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนเจอก็ต่างเคารพนบนอบกันยกใหญ่ แน่นอนว่าโอกาสที่จะได้เจอนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ทว่ายามนี้หญิงเหล่านี้กลับทำสีหน้าปกติเหมือนเห็นจนชินตาไม่พอ ยังทำน้ำเสียงและท่าทางพวกนี้อีก…
เกิดอะไรขึ้นที่นี่ในช่วงที่เขาไม่อยู่กัน
“แม่นางเฉิงหรือ” เขานึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามว่า “แม่นางเฉิงไหน”
พวกนางแย้มยิ้ม
“แม่นางเฉิงที่เจ้าเคยเจอนั่นอย่างไรเล่า” พวกนางพากันหัวเราะออกมา
เฉิงผิงพลันกระจ่างแจ้ง แต่ก็ตกตะลึงขึ้นมาอีก เขามองไปทางนั้นอีกหน
“แม่นางเฉิงผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาเอ่ยถาม
ปั้นฉินเปิดประตูออกมาเห็นนายใหญ่เฉิงอยู่หน้าประตู ก็ได้แต่จนใจ
“นายใหญ่ เหตุใดถึงมาอีกแล้ว นายหญิงข้าไม่รับแขกจริงๆ เจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ได้ยินนางบอกเช่นนั้น เหล่าผู้ติดตามตระกูลโจวที่ยืนอยู่บนระเบียงในเรือนก็รีบเดินมาด้วยสีหน้าไม่รับแขก
นายใหญ่เฉิงสีหน้าพลันเปลี่ยน
“ข้าไม่ใช่แขก” เขาเอ่ย “ไปบอกนางว่า หากยามนี้ไม่ว่าง ข้าก็จะรออยู่ตรงนี้ ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย ข้าไม่กลัวเสียมารยาทหรอก”
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แขก เขาคือผู้อาวุโส บอกก็บอกไปแล้ว ให้ผู้ใหญ่รออยู่นอกเรือนในสภาพอากาศเหน็บหนาวเช่นนี้ จากนั้นค่อยเป็นลมไปอะไรเทือกนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ แค่โดนผู้คนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์สองสามคำแค่นั้นเองไม่ใช่หรือ
ปั้นฉินมองนายใหญ่เฉิง กัดริมฝีปากแล้วเดินเข้าไป
นายใหญ่เฉิงย่างเท้าตามเข้ามา เขามองไปยังหญิงสาวที่นั่งถือตำราภายในบานประตูที่แง้มไว้กึ่งหนึ่ง เพราะกองหิมะใหญ่ที่ขวางกั้นไว้ ภาพที่เห็นจึงเหมือนอยู่ไกลออกไป
ยิงธนูเป็น เรื่องนี้ตระกูลโจวสอนให้ได้…
แต่รักษาคนได้ ผู้ใดสอนกัน
คนบ้าจะหายดีได้หรือ หรือว่าเจอผู้วิเศษใดเข้าจริงๆ หรือแท้จริงแล้วไม่ได้บ้าถึงเพียงนั้น ค่อยๆ หายดีขึ้นตามอายุที่มากขึ้นหรือ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยจึงไม่รู้ใช่หรือไม่
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดเรื่องตรงหน้านี้ก่อนดีกว่า
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถามพลางเดินไปหน้าประตูห้อง “ก่อเรื่องพอหรือยัง”
“คำถามนี้ควรเป็นข้าที่ถามท่าน” เฉิงเจียวเหนียงวางตำราในมือลงพลางเอ่ยขึ้น แล้วมองนายใหญ่เฉิงด้วยรอยยิ้มบาง “พวกท่านก่อเรื่องพอแล้วกระมัง ข้าไม่ถือสาเรื่องตอนเด็กๆ พวกนั้นแล้ว คนย่อมมีความรู้สึกเป็นธรรมดา จึงไม่โทษอะไรพวกท่าน แต่ต่อมาก็เริ่มหนักข้อขึ้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่หยุดไม่หย่อน เหตุใดยามนี้ท่านจึงมาถามข้าว่า ข้าก่อเรื่องพอหรือยัง”
ครั้งแล้วครั้งเล่าอะไร… ผู้ใดกันแน่ที่ก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน
นายใหญ่เฉิงแค่นยิ้มขึ้นในใจ
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขาเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“นายใหญ่ถามข้าเช่นนี้ หรือยังคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นอยู่” นางเอ่ย
เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นอยู่อย่างนั้นหรือ
นายใหญ่เฉิงเหม่อลอยครู่หนึ่ง ราวกับเห็นหญิงสาวตรงหน้ายืนขึ้น เล็งธนูในมือมาที่เขา…
“เจ้าต้องการสินเดิม ข้าก็จะให้สินเดิมแก่เจ้า แล้วเจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก” เขาเอ่ยด้วยความงุนงง
“สินเดิม” เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ “อันที่จริงจะได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่เฉิงได้สติกลับมา เขาแค่นยิ้มอีกครั้ง หากไม่เป็นไรจริงๆ ละก็ เจ้ายังจะก่อเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกหรือ!
“เจ้าบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่ก็เสียเงินเหล่านั้นไปให้พวกขุนนางละโมบโลภมากเหล่านั้นไปเปล่าๆ หรือ” เขาเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“เงินพวกนั้นน่ะหรือ…” นางเอ่ยพลางยิ้ม
ทันใดนั้นเองมีเสียงรถม้าพร้อมกับคนเอะอะดังขึ้นด้านนอก
มีคนมาอีกแล้วหรือ
นายใหญ่เฉิงหันไปมองด้านนอก
หมู่นี้เขาก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าทางฝั่งเฉิงใต้ทั้งคนทั้งรถวิ่งกันขวักไขว่ มีคนมามอบของขวัญปีใหม่ให้แทบจะไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลจากเมืองหลวง เดินทางมาไกลในฤดูหนาวเพื่อมอบของขวัญได้เช่นนี้ ไม่ใช่ตระกูลธรรมดาธรรมดาที่จะทำได้ หากเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ผิวเผินก็คงไม่มีทางทำแบบนี้เช่นกัน
มิตรภาพไม่มี แต่ผลประโยชน์นั้นไม่แน่
รักษาโรคอย่างนั้นหรือ!
นายใหญ่กัดฟันอีกครั้ง ตระกูลหวัง!
“นายหญิง ร้านจากเมืองหลวงมาส่งเงินปันผลให้ขอรับ!” จินเกอร์กระโดดโลดเต้นเข้ามาพลางร้องตะโกนบอก
ปั้นฉินที่คุกเข่าอยู่ข้างประตูก็ร้องออกมาแล้วผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“พี่ปั้นฉินมาหรือไม่” นางเอ่ยถาม
มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอก
“พี่ปั้นฉินไม่ได้มา ปลายปีในเมืองงานเยอะมาก ทั้งยังยุ่งกับกิจการค้าขาย นางปลีกตัวมาไม่ได้ ขอนายหญิงโปรดอภัยด้วย”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ สวมหมวกพร้อมด้วยชุดคลุมหนังหนา สีหน้าเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล พอเข้ามาก็ตรงมาคำนับทักทาย
“รีบเข้ามาเถิด มืออุ่นเสียหน่อย จินเกอร์ไปต้มชา…”
“อันที่จริงควรมาถึงตั้งนานแล้ว แต่ระหว่างทางมีหิมะจึงทำให้เดินทางล่าช้า…”
“อย่าได้กังวลไป เดินทางมาหัวเมืองเช่นนี้ย่อมใช้เวลาอยู่แล้ว”
“พี่ปั้นฉินกับผู้ดูแลอู๋เคยบอกว่าปีใหม่จะคึกคัก ดังนั้นมาแบบนี้ดีแล้ว จะได้ดูผู้ดูคนได้ด้วย”
ภายในเรือนมีคนเพิ่มมาเพียงคนสองคนเท่านั้น แต่กลับเหมือนเพิ่มมาสิบยี่สิบคน หัวเราะพูดคุยกันสนุกสนาน นายใหญ่เฉิงรู้สึกว่าหูแทบระเบิด ยืนอยู่บนระเบียงแท้ๆ แต่เหมือนอยู่ห่างไปไกลแสนไกล ไม่มีใครมองเห็นเขา เขาก็เห็นคนพวกนั้นไม่ชัดเช่นกัน
คนพวกนี้คือใคร พวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่
ร้านในเมืองหลวงหรือ เงินปันผลหรือ แล้วยังมี…ปั้นฉินมาหรือไม่อีก
หรือยังมีเรื่องอะไรที่พวกนางยังปิดบังตระกูลหวังอยู่อีก
“นายใหญ่ หากท่านหมดธุระแล้วก็เชิญกลับไปเถิด”
เสียงของสาวใช้ดังขึ้นข้างหู
นายใหญ่เฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ายามนี้เขาได้เดินออกมาแล้ว นอกประตูคึกคักกว่าข้างในเสียอีก
รถม้าคันใหญ่สองคันกำลังขนของลงกันอย่างคึกครื้น มีเด็กๆ รายล้อมอยู่รอบด้าน พอมีคนโยนลูกอมให้ก็โหวกเหวกแย่งกันใหญ่
“…เหตุใดจึงแบ่งเป็นสามร้านอีก”
“เดิมทีผู้ดูแลใหญ่บอกว่าให้เอารวมกัน แต่ทุกคนต่างไม่ยอม บอกว่าทำมาค้าขายนายหญิงผู้เป็นเถ้าแก่ จะปล่อยให้ผู้ดูแลใหญ่ครอบครองไว้ผู้เดียวไม่ได้…”
ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะจากคนในที่นั้นกันยกใหญ่
นายใหญ่เฉิงยืนฟังด้วยความตะลึง
สาม…ร้าน!
“…เช่นนี้แล้วก็เท่ากับผู้ดูแลใหญ่กำลังเอาเปรียบนายหญิงใช่หรือไม่ มอบให้นายหญิงสามส่วน ส่วนของเขาก็ไม่ต้องให้แล้ว แขวนชื่อไว้ก็พอ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“…นี่จากเรือนไท่ผิง…นี่จากเรือนนางฟ้า…อันนี้จากร้านยา…แปลกใจล่ะสิ ผู้ดูแลร้านยารู้ดีว่าตัวเองหาเงินได้ไม่เท่าสองร้านนั้น ก็ยิ่งกังวล เจ้าดูของพวกนี้สิ ประณีตอย่างมาก…”
คนที่อยู่หน้ารถรวมถึงเด็กๆ ต่างพากันเข้าไปมุงดู ส่งเสียงชื่นชมยกใหญ่
นายใหญ่เฉิงก็เดินเข้าไปอย่างงุนงงเช่นกัน เขายกมือสะกิดชายคนหนึ่ง
ชายคนนั้นหันมามองเขา
“เรือนนางฟ้าที่เจ้าพูดถึง…” นายใหญ่เฉิงมองเขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เป็นร้านที่ขายนางฟ้าผ่านทางเหมือนกันหรือ…”
ชายผู้นั้นหัวเราะยกใหญ่
“ท่านผู้เฒ่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว” เขาเอ่ย
ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ…
นายใหญ่เฉิงแอบโล่งใจ
“ไม่ใช่ก็ขาย แต่คือ…” ชายผู้นั้นยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่งด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “มีร้านเราขายเพียงร้านเดียว ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีอีกแล้ว”
นายใหญ่เฉิงมองเขาด้วยใบหน้าซีดเผือดลงเรื่อยๆ
“ร้านของพวกเจ้าหรือ” เขาถามเสียงสั่น “นางฟ้าผ่านทางเป็น เป็น…”
เขาหันขวับไปมองประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียง ยกมืออันสั่นเทาชี้ไปทางนั้น อยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก
“อ๋อ ใช่แล้ว ใช่แล้ว นางฟ้าผ่านทางเป็นนายหญิงของเรา…” ชายผู้นั้นเอ่ยต่อประโยคของเขาด้วยรอยยิ้ม พลางมองนายใหญ่เฉิง ราวกับเพิ่งจะสังเกตเห็นการแต่งตัวที่ไม่ธรรมดาของผู้เฒ่าคนนี้ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านผู้เฒ่าเป็นใครหรือ”
ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ
ข้าเป็นคนโง่!
นายใหญ่เฉิงอยากจะตะโกนให้ดังลั่นออก ทว่าไร้เสียง เขาอ้าปากพะงาบ ดวงตามืดสนิท ร่างกายซวนเซ เสียงตกใจดังขึ้นข้างหูไม่ขาด
‘เจ้าบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่ก็เสียเงินเหล่านั้นไปให้พวกขุนนางละโมบโลภมากเหล่านั้นไปเปล่าๆ หรือ’
‘เงินพวกนั้นน่ะหรือ…’
จะมีอะไรให้ต้องสนใจอีก! มีเงินทองกองเป็นภูเขาเลากาเช่นนี้ เสียเงินเพียงแค่นั้นเพื่อความสะใจมีอะไรให้กังวลกัน!
มิน่าเล่านางจึงได้กล้านัก! มิน่าเล่านางถึงได้ทำได้ลงคอ!
เกิดอะไรขึ้นกับเด็กบ้าคนนี้กันแน่! ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เมืองหลวงในยามนี้ไม่ได้มีหิมะโปรยปราย ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่งทั่วทั้งผืน ทำให้วังหลวงแสนอึมครึมในยามเหมันต์ดูสว่างไสวขึ้นมาก
เทศกาลปีใหม่ก็ทำเอาคนในวังยุ่งกันจนหัวหมุนเช่นกัน
“องค์ชายพะย่ะค่ะ องค์ชาย ของขวัญปีใหม่จากจวนฮ่องเต้มาแล้วพะย่ะค่ะ” ขันทียิ้มเอ่ยเดินเข้ามา พลางส่งรายการของขวัญให้ “องค์ชายจะไปดูหรือไม่พะย่ะค่ะ”
จิ้นอ๋องจวิ้นอ๋องดึงขาที่เหยียดออกกลับมานั่งไขว่ห้าง ยื่นมือรับรายการของขวัญมา
“ยังเป็นชุดเดิมกับปีที่แล้ว” เขากวาดตาเอ่ยขึ้น “เสื้อผ้าพวกนี้ข้าคงใส่ไม่ได้แล้ว ของปีที่แล้วคับไป ไม่รู้ว่าปีนี้จะหลวมไปหรือคับไป…”
รายการของขวัญเหล่านี้ล้วนเป็นกรมพิธีการของวังหลวงจัดเตรียมขึ้นทีเดียวพร้อมกัน รูปแบบจึงได้เหมือนกันทุกอย่าง
“มีจดหมายจากท่านแม่ หรือไม่ก็เหล่าพี่น้องมาบ้างหรือไม่” เขานิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม
เรื่องราวมากมายล้วนเปลี่ยนผันไปตามอายุ เขาจึงเลือกที่จะไม่ถาม แต่มีเพียงคำถามเดียว ทุกปีที่ต้องถามขึ้นมาไม่เคยเปลี่ยน
เสียดายก็แต่คำตอบก็ยังคงเช่นเดิม ขันทีหลบตาลงหลบสายตาเขา
“สิ้นปียุ่งนัก พระชายาจึงไม่มีเวลา…องค์ชาย สองเดือนก่อนพระชายาส่งจดหมายตอบกลับมาไม่ใช่หรือ…” เขารีบยิ้มเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียงอ๋อออกมาแล้วพยักหน้าแย้มยิ้ม
“ใช่ ท่านแม่ส่งจดหมายมาเมื่อสองเดือนก่อน ข้าลืมไปเสียแล้ว นางให้ข้าไปไถ่ถามเรื่องตำแหน่งของน้องชาย ข้ายังไม่มีโอกาสได้พูดเลย” เขายิ้มบอกพลางลุกขึ้น “อาศัยจังหวะที่ฝ่าบาทและไทเฮากำลังอารมณ์ดีในปีใหม่นี้ ข้าจะหาโอกาสเหมาะๆ ดู ไปกันเถอะ แม้ว่าทุกปีจะเหมือนเดิม แต่อย่างไรเสียก็เป็นของขวัญ เป็นของขวัญที่มาจากครอบครัว ไปดูเสียหน่อย”
รายการของขวัญในมือเขาตกลงพื้น เขาคว้าอาภรณ์อันวิจิตรงดงามมาสวมใส่แล้วสาวเท้าออกไป