พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 380 ตั้งใจ
“เหลวไหล!”
เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วทั้งตำหนัก
เหล่าขันทีนางในที่โถงทางเดินก็พากันถอยกันคนละก้าว กุ้ยเฟยที่เพิ่งมาถึงก็ได้แต่สงสัย
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ” นางถาม
“ตอบกุ้ยเฟยพะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งรีบขานอย่างนอบน้อม “จิ้นอันจวิ้นอ๋องอยู่ข้างในขอรับ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะอยู่ข้างใน นี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ยังขวัญหนีดีฝ่อไม่ได้สติ ทั้งยังพักอยู่ที่ตำหนักของไทเฮาไม่ไปไหน
กุ้ยเฟยเบ้ปาก
“ยังเช้าอยู่เลย เหตุใดจวิ้นอ๋องถึงไม่ได้ไปอยู่กับชิ่งอ๋อง” นางเอ่ย
หลังจากที่องค์ชายรองล้มไปห้าวันก็ฟื้นขึ้นมา ทว่าเป็นเหมือนที่หมอหลวงพูดไว้ไม่มีผิด กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ จัดการตัวเองไม่ได้แม้แต่เรื่องขับถ่าย พูดจาไม่รู้ความ
พอเห็นเช่นนั้นแล้ว ฮ่องเต้และไทเฮาก็ปวดใจอยู่ไม่น้อย ทั้งยังสั่งให้หมอหลวงรักษาต่อ ทว่าในใจก็รู้ดีว่าไม่มีหวัง
แต่เมื่อสามวันก่อน ฮ่องเต้ก็มีคำสั่งปลดองค์ชายรองให้เป็นชิ่งอ๋อง
เป็นเพราะทายาทล้มป่วย ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เลื่อนพิธีอวยยศออกไปก่อน องค์ชายใหญ่จะได้อวยยศเป็นหนิงกั๋วกงก็ต่อเมื่ออายุได้สิบเอ็ดขวบ ทว่าตอนนี้กลับยังไม่ได้ยศจวิ้นอ๋องเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปต้องพูดถึงเรื่องครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ส่วนองค์ชายรองปีนี้เพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งกั๋วกง แถมยังถูกลดตำแหน่งอีกต่างหาก ซึ่งเป็นเรื่องผิดหลักเกณฑ์ประเพณี
ทว่ากลับไม่มีขุนนางในราชสำนักคนไหนคัดค้าน องค์ชายรองกลายเป็นคนบ้า หากจะอวยยศให้ ประกาศแรกก็เหมือนเป็นจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสียดจัญไร ประกาศที่สองก็เพื่อแสดงความรักของพ่อที่มีต่อลูก
ยามนี้คงไม่มีผู้ใดอวดดีหาเรื่องใส่ตนด้วยการคัดค้านฮ่องเต้ ทั้งยังไม่ประโยชน์อันใดที่จะผิดใจกับโอสรของฝ่าบาทที่กลายเป็นคนบ้า
ขันทีเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
“เพราะเรื่องของชิงอ๋องนั่นแหละพะย่ะค่ะถึงได้ทะเลาะกัน” เขากดเสียงให้ต่ำลง
ในใจของกุ้ยเฟยเป็นกังวลขึ้นมาในทันใด ฝ่ามือในเสื้อคลุมนั้นกำแน่น
“เกิดอะไรขึ้นอีก” นางถาม
ขันทีถอนหายใจ
“บอกว่าจะพาชิ่งอ๋องออกไปหาหมอรักษาพะย่ะค่ะ” ขันทีตอบพลางส่ายหน้า
ออกไปหาหมออย่างนั้นหรือ
กุ้ยเฟยนิ่งไปชั่วขณะ
“เจ้าสติแตกเสียจนคิดแต่เรื่องเหลวไหล”
ไทเฮาตบโต๊ะเอ่ย พลางมองดูเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างเหนื่อยระอาใจ
หลายวันมานี้ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในสายตาของนางมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ถึงอาละวาดเช่นนี้ได้
ใต้ตาของเขาดำคล้ำ แม้ผมเผ้าจะถูกหวีอย่างเรียบร้อย ทว่าคราบเปื้อนบนเสื้อผ้านั้นกลับทำให้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“พวกเจ้าดูแลจวิ้นอ๋องกันอย่างไร!”
ไทเฮาตวาดลั่นด้วยความขุ่นเคือง
ขันทีที่อยู่ด้านนอกพากันกรูเข้ามานั่งคุกเข่ารับผิด
“ไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “อย่าได้โทษพวกเขาเลย ข้าอยากจะดูแลลิ่วเกอร์เอง”
ไทเฮามองเขาแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
“เหว่ยหลัง” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าดูตัวเจ้าตอนนี้สิ…”
“ไทเฮา ไทเฮา อย่าเพิ่งสนใจว่าข้าเป็นอย่างไรเลย หาทางรักษาลิ่วเกอร์ให้หายดีก่อนเถิดพะย่ะค่ะ…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องคลานเข่าไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนใจ
“เหว่ยหลัง!” ไทเฮาขึ้นเสียงตวาดลั่น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมองนาง
ดวงตากลมโตของเด็กหนุ่มแดงก่ำ สีหน้านั้นอ้อนวอนร้องขอด้วยความเจ็บปวด
ไทเฮาใจอ่อนยวบขึ้นมาในทันใด ก่อนจะถอนใจออกมาอีกครั้ง
“ตื่นเสียเถิด อย่างไรก็ไม่หาย” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
“ไม่พะย่ะค่ะ ไม่พะย่ะค่ะ นี่ยังไม่ใช่จุดจบ” เขาเอ่ยพลางส่ายหัวไม่หยุด “ข้ายังอยากได้ยินเขาเรียกข้าว่าท่านพี่ ข้ายังอยากออกไปเที่ยวเล่นกับเขา ข้าอยากจะลองดูสักครั้ง”
เขาก้มหัวจรดลงกับพื้น
“ไทเฮา ได้โปรดให้ข้าลองดูสักครั้งเถิด ให้ข้าลองดูสักครั้งเถิด ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม ข้าไม่ได้ดึงเข้าไว้ ได้โปรดให้ข้าลองดูสักครั้งเถิด บางทีออกจะดึงเขากลับมาได้… ข้าอยากได้ยินเขาเรียกข้าว่าท่านพี่… ไทเฮา ข้าต้องการลิ่วเกอร์ ข้าต้องการลิ่วเกอร์ของข้ากลับคืนมา… ไทเฮา…”
ไทเฮาน้ำตาไหลพรากก่อนจะยกมือขึ้นมากุมหน้า
ข้าต้องการลิ่วเกอร์ของข้ากลับคืนมา ข้าต้องการลิ่วเกอร์ของข้ากลับคืนมา
นกเต้าแขกร้องโหยหวนคงเป็นเสียงเช่นนี้กระมัง
“เจ้าไปได้ยินเรื่องของหมอผู้นี้มาจากที่ใด” ไทเฮาเอ่ยเสียงสั่นเครือ
…
กุ้ยเฟยเดินวนไปมาอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้าของนางดูร้อนรน ขณะที่กำลังจะอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปนั้น นางในผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เป็นอย่างไรบ้าง” กุ้ยเฟยรีบถาม
“ไทเฮาตกลงเพคะ ทั้งยังเชิญฝ่าบาทมาด้วย” นางในตอบ
กุ้ยเฟยถอนหายใจ ท่าทางดูดีใจอย่างไม่อาจปกปิด ก่อนจะประนบมือขึ้นมาสวดมนต์
“แล้วฝ่าบาทว่าอย่างไร” นางถามต่อ
“ฝ่าบาทก็ตกลงเพคะ บอกว่าจะทำความปรารถนาของจวิ้นอ๋องเป็นจริง”
ทำให้ความปรารถนาเป็นจริงอย่างนั้นหรือ
กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ
“ฝ่าบาทขอบใจจวิ้นอ๋องด้วยเพคะ” นางในคิดออกก็พูดขึ้น
กุ้ยเฟยขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาทขอบใจเขาอย่างนั้นหรือ ขอบใจเขาเรื่องใด” นางถาม
“เห็นบอกว่าขอบใจที่ช่วยเป็นดูแลแทนฝ่าบาท” นางในเอ่ย “ความหมายน่าจะประมาณนั้นเพคะ ข้าเองก็ฟังไม่ชัด…”
กุ้ยเฟยโบกมือปัด
อย่างไรเสียก็แปลว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะพาชิ่งออกไปหาหมอนอกวัง…
“พวกเขาจะไปหาหมอจากที่ใด” นางนึกขึ้นได้ก็ถามขึ้น “ไปเชิญมาหรือยัง”
นางในส่ายหน้า
“กุ้ยเฟยเพคะ ไม่ได้เชิญมาหาเพคะ แต่จะออกไปหาหมอข้างนอก” นางเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ
กุ้ยเฟยตกตะลึงไปชั่วขณะ
“จวิ้นอ๋องจะพาชิ่งอ๋องออกไปนอกวังเพื่อหาหมอผู้นั้น” นางในเอ่ย
“เพราะเหตุใด” กุ้ยเฟยถาม
“จวิ้นอ๋องบอกว่าหากเชิญหมอมาเดินทางไปกลับจะเสียเวลา สู้ไปหาหมอถึงที่จะดีเสียกว่า อาการป่วยของชิ่งอ๋องยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” นางในนึกไปพลางตอบไปพลาง สีหน้าดูกระอักกระอ่วน “หลังจากนั้นก็พูดต่ออีก ทว่าข้าฟังไม่ถนัด… แต่สุดท้านไทเฮากับฝ่าบาทก็ตกลงเพคะ”
กุ้ยเฟยไม่ได้ถามต่อ ในหัวมีแต่คำว่าออกไปหาหมอนอกวังดังอื้ออึงไปหมด
ในที่สุดเจ้าคนขวางหูขวางตาทั้งสองก็ออกจากวังไปเสียที!
ชิ่งอ๋องนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นแค่คนบ้า ส่วนจิ้นอันจวิ้นอ๋องนั้นนางแทบไม่อยากเห็นให้เสียสายตา หากไม่ใช่เพราะเป็นเด็กที่เรียกลูกเรียกหลานให้มาเกิด นางก็ไม่อยากแม้แต่จะชายตามอง
นึกถึงยามที่ไปเยือนตำหนักไทเฮา พอเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นทีไร ก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นมาทันที
ไม่ใช่ว่าเรื่องบาดหมางใจต่อกัน เพียงแต่นางไม่อยากจะเห็นหน้าเขาก็เท่านั้น
ความปรารถนาเป็นจริงอย่างนั้นหรือ หากเป็นจริงก็ดีน่ะสิ ความปรารถนาของเจ้าเป็นเช่นไรก็จงทำให้สุดสิ้น หากรักษาชิ่งอ๋องไม่หาย ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้กลับมา
ชาตินี้ก็อย่างหวังจะได้กลับมาอีก…
กุ้ยเฟยชะงักฝีเท้าลง หัวใจเต้นถี่รัว…
หากคราวนี้ไม่อาจสมความปรารถเล่า หากคราวนี้…
“นางใน นางใน” นางตะโกนเรียก
นางในผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบจากอีกฝั่ง
กุ้ยเฟยกวักมือเรียกให้นางเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบไม่กี่ประโยค นางในพยักหน้าก่อนจะออกไป
เดือนสิบสองอันหนาวเหน็บ แม่น้ำรอบนอกเมืองหลวงจับตัวเป็นน้ำแข็งบ้างแล้ว ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการตกปลาเป็นอย่างยิ่ง
ยามนี้ภายในกระท่อมฟางมีคนนั่งล้อมวงกันอยู่เจ็ดแปดคน มีทั้งคนแก่คนหนุ่ม มีทั้งบ่าวไพร่และผู้ติดตาม
เสียงร้องว่า ‘เยี่ยม’ ดังขึ้นริมแม่น้ำ
“ท่าทางปลาคงติดเบ็ดจวิ้นเหยียนแล้วล่ะ” คนหนึ่งในกระท่อมเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะลุกยืนขึ้นแล้วมองไปยังอีกสามคนที่อยู่ริมน้ำ หนึ่งในนั้นหน้าแดงก่ำ ซึ่งก็คือเกาหลิงจวิ้น หรือเจ้ากรมกิจการเกานั่นเอง
“แต่ก่อนข้าไม่ชอบตกปลาเท่าไรนัก เพราะคิดว่าเสียดายเงินค่าเครื่องมือ คิดไม่ถึงเลยว่าตกปลายามหน้าหนาวจะตกง่ายถึงเพียงนี้” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้ากรมกิจการพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก” มีคนเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนชี้นิ้วไปที่ริมน้ำอีกฝั่ง “ใช่ว่าผู้ใดอยากตกก็ตกได้เสียหน่อย”
ทุกคนเหลียงมองตาม ริมฝั่งน้ำมีผู้คนเดินกันกระจัดกระจาย บ้างก็ตกปลาได้ บ้างก็มือเปล่า
เจ้ากรมกิจการเกามิได้รังเกียจคำพูดยกยอปอปั้นเหล่านี้แต่อย่างใด เขาคิดว่าให้เมื่ออีกฝ่ายอยากเยินยอ จะแสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยงไม่รับคำให้คนลำบากใจไปเพื่อเหตุใด เขาเกาหลิงจวิ้นผู้นี้เข้าหาง่ายจะตายไป จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
ขณะที่หัวเราะกันอยู่นั้นก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่
“แม่ครัวมาถึงแล้ว” ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นสาวใช้อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่งลงจากรถมา ใบหน้าแสนธรรมดา สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน นางสวมเสื้อคลุมมีหมวก แม้จะเป็นเสื้อคลุมสีเข้ม ทว่าจากขนสุนัขจิ้งจอกที่ล้อมรอบนั้น เห็นได้ชัดว่าคงมีราคาไม่เบา
ยามนี้แม่ครัวเป็นที่ต้องการอย่างมาก รายได้ดียิ่งนัก สวมเครื่องประดับเงินทองก็มีให้เห็นมากมาย
เพียงแต่แม่ครัวผู้นี้ยังสาวไปหรือเปล่า
“แม่นางปั้นเหนียงผู้นี้เป็นแม่ครัวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทำอาหารและขนมเก่งนัก” คนหนึ่งเอ่ยอธิบายขึ้น
ปั้นฉินอย่างนั้นหรือ
พอได้ยินชื่อนี้ คนหนึ่งที่นั่งขันสมาธิตกปลาอยู่บนเก้าอี้ไม่ที่ห่างออกไปไม่ไกลก็เหลียวมองมา ภายใต้หมวกผ้าสักหลาดนั้นเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา
ปั้นฉินอีกแล้วหรือ
ตระกูลโจวก็มีคนหนึ่ง ตระกูลจางก็มีคนหนึ่ง อ๋อ ใช่แล้ว คงเป็นคนของตระกูลเฉิงกระมัง ที่แลกตัวกับสาวใช้ของนายใหญ่ตระกูลจาง
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม มองดูสาวใช้เดินเข้ามาคำนับกับเหล่าขุนนางอย่างสง่าผ่าเผย โดยไม่มีท่าทียำเกรงเลยสักนิด จากนั้นนางก็ปลดเสื้อคลุมออกก่อนจะมัดรวบแขนเสื้อขึ้น รับปลาที่เจ้ากรมกิจการเกาตกได้มาก่อนจะง่วนกับการประกอบอาหาร
เจ้ากรมกิจการเกาและพรรคพวกกลับมานั่งล้อมวงหน้าเตาผิงในกระท่อม พวกเขาพูดคุยหัวเราะกัน ทว่าผ่านไปไม่นาน ปลาที่ตกขึ้นมาได้ก็ถูกนำมาหั่นเรียงรางพร้อมกับของกลับแกล้มอีกเจ็ดแปดอย่างก็ถูกยกเข้ามา
“นี่เป็นน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของร้านข้า” ปั้นฉินเอ่ยพลางจัดวางจานใบเล็กบนโต๊ะ
เจ้ากรมกิจการเกาคีบเนื้อปลาจิ้มน้ำจิ้มแล้วส่งเข้าปาก ก่อนจะส่งเสียงอืมแล้วพยักหน้าในทันใด ยามเนื้อปลาสัมผัสกับลิ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็ปรากฏขึ้นในทันใด
“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม” เขาเอ่ยซ้ำถึงสามหน
พอได้ยินคำพูดนั้นทุกคนก็โล่งออก ก่อนจะพากันยิ้มแย้ม
“เกรงว่าจะมีไม่พอกิน” คนหนึ่งเอ่ยหลอกล้อ
“เจ้านี่ จะให้ข้าไปตกปลาให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยพลางหัวเราะ
คนฝั่งนั้นยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เสียงของชายอีกคนก็ดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง
“หลานตกปลาได้พอดี เหล่าใต้เท้าโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ทุกคนหันไปมอง ก่อนจะตกตะลึงในทันใด
“ท่านชายฉิน” มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามคำนับให้พวกเขาอีกครั้ง
“ชายสิบสามคารวะใต้เท้า” เขาเอ่ย
เจ้ากรมกิจการเกายิ้มพลางบอกให้เข้าลุกขึ้น เขามองดูท่านชายฉินสิบสาม แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้คือใคร จะว่าไปแล้วตระกูลเกาเองก็เป็นญาติกับตระกูลฉิน ทั้งยังเป็นพระญาติของฮ่องเต้ ทว่าทั้งสองตระกูลกลับไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
“ที่หลานขอมอบปลาให้ ก็เพราะข้าเองก็หิว ขอเหล่าท่านลุงอย่าได้หัวเราะเยาะ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ
เป็นอย่างนี้นี่เอง
ทว่าไม่มีผู้ใดตอบ ทุกคนเหลียวไปมองเจ้ากรมกิจการเกา
“หิวแล้วก็ต้องกิน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย จะเตรียมอาหารมาเองทำไมเล่า” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พอได้ยินดังนั้นทุกคนจึงพากันหัวเราะชอบใจ ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางส่งปลาที่ตกได้ให้กับผู้ติดตาม ส่วนปั้นฉินที่อยู่อีกฝั่งก็ยื่นมือออกมารับ นางเหลือบตามองท่านชายฉินสิบสามก่อนจะก้มหน้าง่วนกับงานของตัวเองต่อ
ท่านชายสิบสามย่อมไม่อาจร่วมโต๊ะกับเหล่าผู้อาวุโสได้ เขาจึงต้องอยู่ที่โต๊ะเล็กอีกตัวตั้งอยู่ถัดกัน
เจ้ากรมกิจการเกาถามไถ่เขาเรื่องเล่าเรียน
“ยามนี้แข้งขาหายดีแล้ว เรื่องเล่าเรียนก็ไม่อาจละเลยได้” เขาเอ่ย สีหน้าเป็นห่วงดังที่ผู้อาวุโสพึงมี
“ขอรับ เชิญอาจารย์มาช่วยสอนทบทวนแล้ว อีกสามปีละลองลงสนามสอบดู วันนี้แอบออกมาพักผ่อนเสียหน่อยน่ะขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พูดกันไม่นานเนื้อปลาแร่ก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ ท่านชายฉินสิบสามกินได้สองสามคำก็คำนับขอบคุณขอตัวลา เจ้ากรมกิจการเกาและพวกพรรคมิได้รั้งเขาไว้ พลางมองดูเด็กหนุ่มเดินจากไป
ส่วนปั้นฉินเองก็ขอตัวลาเช่นกัน
“แม่ครัวผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ…”
พอแม่ครัวกลับไป คนบนโต๊ะก็เริ่มถกเถียงกัน
“ได้ยินมาว่านางปรนนิบัติดูแลนายท่านจางเป็นอย่างดี ข้าวปลาอาหาร ของกิน ของดื่ม ต่างเป็นของบำรุงร่างกายชั้นยอด มีคนไปเรียนวิธีการต้มชาจากนาง ได้ข่าวมาว่ากินแล้วแม้แต่ขาที่ปวดเมื่อยมานานหลายปีก็หายเป็นปลิดทิ้ง”
พอได้ยินดังนั้นเจ้ากรมกิจการเกาที่เดิมไม่สนใจก็เหลียวกลับมา
“ผู้ใดหรือ” เขาขมวดคิ้วถาม “เป็นแม่ครัวของตระกูลใด”
“ตระกูลของจางเจียวโจวน่ะสิ เป็นแม่ครัวประจำตัวของนายท่านจาง” คนผู้นั้นตอบ
จางเจียงโจว!
เจ้ากรมกิจการเกานิ้งไปชั่วขณะ
“ใต้เท้า” คนผู้นั้นยิ้มออกมา “ความจริงแล้วเรื่องเมื่อคราวก่อน ก็ถือว่าเจียงโจวช่วยพวกเราไว้นะ”
“ช่วยให้สำเร็จโทษหวังปู้ถังน่ะหรือ” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
“แต่เขาก็ทำให้เฉินเซ่าไม่สมหวัง” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ใต้เท้า ท่านลองคิดดู หากไม่ใช่เพราะจางเจียงโจวเข้ามาแส่ ไม่แน่ว่าอาจจะยืดเยื้อมาถึงวันนี้ก็เป็นได้ ยิ่งยืดเยื้อมากเท่าใด ก็ยิ่งดึงคนเข้ามาข้องเกี่ยวมากเท่านั้น…”
จะว่าไปก็ถูก แม้จะวันนี้จะไม่สมดั่งใจหมาย แต่อย่างน้อยก็พอจะยืนหยัดต่อไปได้
เจ้ากรมกิจการเกาคลายโมโหลง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา
“เขาไม่ได้ทำเพื่อช่วยข้าเสียหน่อย” เขาเอ่ย
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผู้ใดก็ทำเพื่อช่วยตัวเองทั้งนั้น
“ใต้เท้า ยามนี้พวกเราไม่ต้องให้เขามาช่วยพวกเราก็ได้ เพียงแต่อย่าให้เขาไปช่วยผู้อื่นก็พอ อย่าได้สร้างความวุ่นวายให้พวกเราก็พอแล้ว” คนหนี่งเอ่ยพลางหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ “อีกอย่าง ใต้เท้า คราวนี้ที่ข้าไปขอยืมตัวแม่ครัวมาจากตระกูลจาง ข้าบอกว่าจะออกไปข้างนอกกับใต้เท้า ตระกูลจางไม่พูดอะไรสักคำ ตอบตกลงเสียอย่างนั้น”
นี่หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
หมายความว่าได้หน้าอย่างไรเล่า
ในที่สุดเจ้ากรมกิจการเกาก็ยิ้มออกมา
ยามที่นั่งรถกลับมาถึงบ้านแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้ากรมกิจการเกาก็ยังไม่จางหาย ทั้งยังเล่าเรื่องราวในวันนี้ให้กับเหล่าชิงเค่อฟังในห้องหนังสือ
“ยินดีกับใต้เท้าด้วยขอรับ” เหล่าชิงเค่อเอ่ยยินดีพลางคำนับ
เจ้ากรมกิจการเกาส่งเสียงฮึดฮัด
“ก็แค่ให้อาหารเด็กคนหนึ่งบอกว่าหิว ก็แค่ยืมตัวแม่ครัวมาแล่ปลา มีอะไรให้น่ายินดีกัน” เขาเอ่ยอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้าจะดีอกดีใจอะไรขนาดนั้น”
“ใต้เท้าจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกนะขอรับ” ชิงเค่อคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ท่านชายฉินน้อยมาเพื่ออาหารอย่างนั้นหรือ ตระกูลจางแค่ให้ยืมตัวแม่ครัวอย่างนั้นหรือ ใต้เท้า ท่านคิดน้อยเกินไปหรือเปล่าขอรับ”
“หากไม่ใช่แค่นั้น แล้วมีเรื่องอะไรอีกเล่า” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าต้องเป็น เรื่องรัชทายาทขอรับ…” ชิงเค่อกระซิบเอ่ยพลางหัวเราะ
รอยยิ้มของเจ้ากรมกิจการเกาหายไปในพริบตา เขาลูบเคราไม่เอ่ยคำใด ทว่าในแววตากลับประกายความดีใจอย่างปิดไม่มิด
ไม่ผิดแน่ รัชทายาท ยามนี้ฮ่องเต้เหลือรัชทายาทเพียงแค่องค์เดียวแล้ว เหล่าคนในราชสำนักก็คงเริ่มคิดไตร่ตรอง เริ่มสืบข่าวกันแล้วสินะ
“ใต้เท้า มีคนมาจากวังหลวงขอรับ”
คำรายงานจากด้านนอกทำเอาเจ้ากรมกิจการเกาตกใจ เขารีบให้คนเชิญเข้ามา พอได้ฟังคำจากคนของกุ้ยเฟย เจ้ากรมกิจการเกาก็หน้าดำคล้ำเครียดในทันที
“เหลวไหล!” เขาขมวดคิ้วตวาดลั่น “คิดอะไรไม่เข้าท่า! ยามนี้คนจ้องจะใส่ร้ายเจ้าอยู่ตลอด ยังไม่รีบหนีไปให้ไกลอีก หากเป็นแต่ก่อนจะลงมือก็คงคุ้มค่าไม่น้อย แต่ยามนี้เสือนั้นไร้กงเล็บ ต่างอะไรกับหมูกับหมา ยังจะมาเสียเวลาคิดเรื่องเช่นนี้อีก”
เหมือนดังเหยี่ยวที่ต้องประมาณคู่ต่อสู้เสียก่อนว่าสูสีหรือเหนือกว่าตน ไม่จำเป็นต้องสนใจเหล่าแมลงหรือว่ามด และตอนนี้พวกเขาคือเหยี่ยว ส่วนชิ่งอ๋องก็เป็นแค่มดแมลงมิปาน
นี่สินะโชคชะตา
เจ้ากรมกิจการเกากำโต๊ะแน่นก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่