พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 390 เรื่องเล็ก
ณ เมืองหลวง หิมะหนักในปลายเดือนหนึ่ง ละอองหิมะขาวส่งสัญญาณดีว่าปีนี้พืชผลคงอุดมสมบูรณ์นัก
หิมะที่กองพะเนินอยู่บนถนนยามเช้ามืดถูกกำลังพลของทางการเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม โดยเฉพาะหน้าวังหลวงก็ยิ่งสะอาดหมดจด
ผู้ตรวจการยืนอยู่หน้าที่นั่งของตนในตำหนักใหญ่ เหล่าขุนนางอำมาตย์เองก็ยืนประจำที่ เหลือก็เพียงแต่ฮ่องเต้ที่ยังไม่ปรากฏตัว
จนเริ่มมีคนกระซิบกระซาบพุดคุยกันอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นเสียงตำหนิของผู้ตรวจการก็ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของตำหนัก
ผ่านไปเพียงครู่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้น เหล่าองค์รักษ์ปรากฏตัวขึ้น ตามมาด้วยฮ่องเต้ เหล่าขุนนางคุกเข่าคำนับ การประชุมราชสำนักประจำเดือนนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น
เฉินเซ่าที่ยืนอยู่ในแถวมองออกไปก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ใบหน้าของฝ่าบาทซูบผอมเสียยิ่งกว่าเดิม ทว่าแต่ก่อนยามมาประชุมราชสำนักก็ยังพอดูมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าฝ่าบาทคร้านจะแสร้งทำอีกต่อไป
ไม่นานการประชุมของราชสำนักก็จบลง เหล่าใต้เท้าอำมาตย์ทั้งหลายรวมถึงขุนนางฝ่ายเสมียนกลาง บัณฑิตฮั่นหลิน ขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นก็ถูกเรียกตัวเข้าไปยังตำหนักว่าการ
ยามพวกเขาเข้าไปก็เห็นขันทีใหญ่กำลังพูดคุยกับฮ่องเต้อยู่ เสียงเอ็ดขุ่นเคืองของฮ่องเต้ลอยออกแว่วมา
“สององค์ชายเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเช่นนี้ จะเหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ…”
“องค์ชายบอกว่าจะไปตามหาหมอฝีมือดีต่อพ่ะย่ะค่ะ…”
ถึงจะมีเพียงสองประโยคที่เอ่ยขึ้น แต่พอได้ยินคำว่าองค์ชาย หมอ และข้างนอก เฉินเซ่าและบรรดาใต้เท้าทั้งหลายก็เข้าใจในทันทีว่ากำลังพูดถึงจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังพาชิ่งอ๋องออกไปหาหมอนอกวัง
ได้ข่าวว่าผ่านปีใหม่ไปแล้วก็ยังไม่กลับมา ดูท่าทางคงไม่กลับมากันในเร็ววันนี้
ประตูถูกเปิดออก ทุกคนรีบปรับสีหน้าในทันใด ขันทีโค้งคำนับผายเป็นสัญญาณเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไป ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีหน้ากลับมาเรียบเฉยดังเดิม ไม่มีความเกรี้ยวโกรธใดให้เห็น เหล่าใต้เท้าทั้งหลายก็เริ่มรายงานเรื่องในราชสำนัก แต่เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทัพตะวันตกเฉียงเหนือ บรรยากาศภายในตำหนักก็ดูไม่สู้ดีนักในทันใด
“จงเฉิงปู้ประพฤติตนเย่อหยิ่ง หยิ่งทะนงในชาติตระกูล บาดหมางกับแม่ทัพในกองทัพ เห็นควรต้องโยกย้ายตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ…”
“ใต้เท้ากัว เพียงคำพูดของเจียงเหวินหยวนเพียงผู้เดียวไม่อาจเชื่อถือได้ ผู้ตรวจการโจวชื่นชมเขาว่าสติปัญญาเฉียบแหลมนัก เพิ่งจะถูกโยกย้ายไปประจำที่ตะวันตกเฉียงเหนือได้ไม่กี่เดือน ก็ทำผลงานชนะศึกได้แล้ว”
การแย่งชิงตำแหน่งแม่ทัพในแดนตะวันตกเฉียงเหนือยังคงดำเนินต่อไป ฮ่องเต้ยกมือขึ้นมานวดขมับ
“เรื่องนี้ค่อยพิจารณากันทีหลัง” เขาเอ่ยตัดบนสองคนที่กำลังถกเถียงกัน ก่อนจะหันไปมองทุกคน “เรื่องต่อไป”
ซานซือสื่อ ขุนนางกรมพระคลัง ก็เดินก้าวขึ้นมา
“เฟิ่งหลินร้องเรียนผู้ตรวจการสำนักขนส่งถนนไท่ชาง…”
พอได้ยินรายงานการขาดทุนของท้องพระคลังรวมถึงรายชื่อของคนมากมายที่ทุจริต ฮ่องเต้ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น
“สอบสวนและลงโทษ สอบสวนและลงโทษ สอบสวนและลงโทษให้หมด กรมการตรวจตรา สำนักไตร่สวน ศาลต้าหลี่ไปกันให้หมด อย่าให้เล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” เขาตะโกนลั่น
คดีนี้เริ่มจะปานปลายไปกันใหญ่แล้ว
สำหรับเรื่องนี้เฉินเซ่าละคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้มีข้อกังขาแต่อย่างใด แต่คนที่เห็นต่างก็คงไม่หาเรื่องใส่ตัวโดยการเอะอะโวยวายต่อหน้าฮ่องเต้ในตอนนี้ นอกจากเสียงขานรับแล้วท้องพระโรงก็เงียบสงัด
ไม่มีเรื่องใดได้ดั่งใจเลยสักอย่าง ฮ่องเต้ถอนหายใจ กวาดสายตามองเหล่าขุนนางทั่วท้องพระโรง
“มีเรื่องใดอีก” เขาถามน้ำเสียงขุ่นเคือง
ทั้งท้องพระโรงไม่มีเสียงขานตอบ ทันใดนั้นก็มีขันทีเดินเข้ามาพร้อมทั้งรายงานว่าเจ้ากรมกิจการเกาขอเข้าเฝ้า ด้วยตำแหน่งของเขาบวกกับยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางฝ่ายเสมียนกลางอย่างเต็มตัว ใต้เท้าเกาจึงไม่มีสิทธิกราบทูลรายงานเรื่องต่างๆ ได้ทันทีเหมือนดั่งเฉินเซ่าและคนอื่นๆ
หากเป็นยามอื่น เจ้ากรมกิจการก็คงทำได้เพียงแค่รอ แต่ยามนี้ฮ่องเต้ดูเหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อย จึงอนุญาตให้เขาเข้าเฝ้าได้ นึกเพียงว่าคงจะไม่ใช่ข่าวที่น่ากลัดกลุ้มใจกระมัง
เมื่อเสียงขานเรียกของขันทีดังขึ้น ขันทีผู้หนึ่งก็กำลังกระซิบกระซาบกับเจ้ากรมกิจการเกาอยู่
“…เรื่องเป็นเช่นนี้ขอรับ” ขันทีกดเสียงต่ำก่อนจะถอยออกไป “ใต้เท้าโปรดพิจารณาด้วยขอรับ”
เจ้ากรมกิจการเกาพยักหน้าแล้วมองสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเก็บมันลงไป หากกราบทูลเรื่องนี้ออกไปในยามนี้คงไม่เหมาะสมนัก เช่นนั้นจะทูลเรื่องอันใดดีให้ฝ่าบาทอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยจะมีเรื่องให้รื่นรมย์ใจเสียด้วยสิ… เรื่องใหญ่ไม่มี ทว่าว่าเรื่องเล็กเล่า…
เจ้ากรมกิจการเกาขมวดคิ้วมุ่นพลางก้าวเดินไป เขานึกขึ้นอะไรได้บางอย่างใบหน้าจึงยิ้มแย้มขึ้นมา
ใช่แล้ว หากเป็นเรื่องเล็กก็ยังพอมีเรื่องให้น่ายินดีอยู่บ้าง ยามนี้ฝ่าบาทคงไม่สนว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่ขอให้เป็นเรื่องดีก็พอ
เขาสูดหายใจลึกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเบิกบานใจ
“ฝ่าบาท… มีข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ…”
เสียงนั้นดังขึ้นกลางท้องพระโรง ก็พาลทำให้เฉินเซ่าและคนอื่นๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา ทว่าฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรดูผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย
“สำนักม้ามีข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ…”
เมื่อเจ้ากรมกิจการเกาเอ่ยคำนั้น ทุกคน ณ ที่นั้นก็เผลอหัวเราะออกมา
“ปีนี้สำนักม้าขายม้าได้กำไรก้อนโตหรืออย่างไร” มีคนเอ่ยกระซิบกับเฉินเซ่าด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ทว่าเฉินเซ่ามิได้ตอบกลับ เขาไม่ได้สนใจฟังว่าเจ้ากรมกิจการเกาพูดสิ่งใดเสียด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องที่ฝ่าบาทยอมให้เจ้ากรมกิจการเข้าเฝ้า ทั้งที่แต่ก่อนเขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องรอให้ประชุมราชสำนักจบลงเสียก่อน
ท่าทางไม่นานเจ้ากรมกิจการเกาคงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางฝ่ายเสมียนกลางสมใจแล้วกระมัง
เช่นนี้หาใช่เรื่องดีไม่ เหล่าพระญาติสายรองควรจะส่งไปอยู่นอกเมืองหลวงมากกว่า ปล่อยให้อยู่ในเมืองหลวงดั่งยามนี้ก็เท่ากับเป็นต้นตอของหายนะแล้ว แถมยังอ้างชื่อเสียงยศถาบรรดาศักดิ์เข้าร่วมประชุมราชสำนักเป็นว่าเล่นอีก ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเลอะเลือนหรืออย่างไร
เฉินเซ่าสีหน้าบึ้งตึง เสียงของเจ้ากรมกิจการเกาลอยเข้าหูมาเป็นระยะ
“ม้าศึกของทัพตะวันตกเฉียงเหนือบาดเจ็บน้อยลงเป็นจำนวนมาก…”
ม้าศึกอย่างนั้นหรือ ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเฉินเซ่า
เป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรือ…
“เป็นข่าวดีอย่างไรกัน” ฮ่องเต้ส่ายหน้า ทว่าสีหน้าดูผ่อนคลายลงไม่น้อย
“ฝ่าบาท แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าวิธีการใหม่ที่พวกเขานำมาใช้นั้นได้ผลจริง
พ่ะย่ะค่ะ เดิมทีสำนักตรวจม้าจะส่งม้าศึกได้เพียงปีละสามถึงสี่ร้อยตัวเท่านั้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการ หากลดจำนวนม้าที่เสียไปได้ และจำนวนม้าศึกที่เราส่งได้ยังคงเท่าเดิม ก็เท่ากับว่าจำนวนม้าที่เราส่งออกไปได้โดยรวมย่อมเพิ่มขึ้น ฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถเพิ่มจำนวนทหารม้าในทัพตะวันตกเฉียงเหนือได้พ่ะย่ะค่ะ…” เจ้ากรมกิจการเกาเอ่ย
ทหารม้าอย่างนั้นหรือ!
สำหรับกองทัพแล้วทหารม้าคือสิ่งที่เหล่าแม่ทัพโปรดปรานมาช้านาน เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะเหล่าทหารม้านั้นแข็งแกร่งทว่าหายากนัก ของหายากมักล้ำค่า เช่นนั้นแล้วทหารม้าเองจึงเป็นของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะเหตุใดกองทัพโจรแถบตะวันตกเฉียงเหนือถึงได้เก่งกาจอย่างนั้นหรือ เพราะว่าพวกเขามีม้าอย่างไรเล่า ทหารม้าหนึ่งนายมีม้าถึงสามตัว ส่วนกองทัพของพวกเขาทหารม้าหนึ่งนายกลับมีม้าเพียงตัวเดียว หากมีม้าเพียงพอแล้ว เหล่าโจรตะวันตกเฉียงเหนือก็คงไม่กล้าเหิมเกริม!
ในเมื่อหาวิธีการที่ทำให้ม้าบาดเจ็บน้อยลงได้! ก็ถือว่าเป็นข่าวดีอย่างไรเล่า
ฮ่องเต้นั่งยืดตัวตรง เฉินเซ่าและบรรดาขุนนางเองก็กำลังครุ่นคิด
“แล้วสิ่งนั้นเรียกว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ถาม
เจ้ากรมกิจการเกาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“เป็นชื่อที่คิดกันขึ้นมาเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้มีชื่อเรียกที่แท้จริง สำนักม้าขอฝ่าบาทโปรดตั้งชื่อให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คำพูดนั้นพาลให้คนทั้งโถงถ่มน้ำลายเย้ยหยันอยู่ในใจ
ไม่มีชื่อเรียกที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ เจ้าจำไม่ได้เองเสียมากกว่า ทันใดนั้นทุกคนก็เข้าใจในทันทีเดิมทีเจ้ากรมกิจการเกาผู้นี้คงไม่ได้ตั้งใจมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้เป็นแน่ แต่เป็นเพราะรู้ข่าวก่อนหน้าว่ายามนี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดีนัก จึงเปลี่ยนเรื่องที่หมายจะกราบทูลในตอนแรก และบางทีเรื่องนี้เขาจะได้ยินมาจากผู้อื่นอีกทอด ทั้งยังไม่ได้เก็บมาใส่ใจเสียด้วยซ้ำ
“ในเมื่อสวมเหล็กเข้ากับเท้าของม้า เช่นนั้นก็เรียกว่าเกือกม้าเหล็กก็แล้วกัน” ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ย
เพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างเกือกม้าเหล็กนี้ การประชุมจึงจบลงอย่างชื่นมื่น พอเห็นเจ้ากรมกิจการเกาท่าทางแสนลำพองใจนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าขุนนาง เฉินเซ่าจึงเอ่ยรั้งซานซือสื่อไว้
“เรื่องของสำนักม้า กรมพระคลังของเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร เหตุใดถึงปล่อยให้คนชั่วนั่นแย่งความดีความชอบไปได้” เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด
ผู้ใดจะไปรู้ว่าสำนักม้านอกจากจะขายม้าแล้วจะยังทำการอื่นเป็นด้วย ซานซือสื่อคิดในใจ
“ข้าจะไปตรวจสอบขอรับ” เขาเอ่ย
ถึงจะรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย เรื่องนี้ถูกเจ้ากรมกิจการเกาชิงกราบทูลเอาหน้าไปแล้ว ความดีความชอบอื่นจะไม่ยอมให้เขาแย่งเอาไปได้เด็ดขาด
เกือกม้าเหล็กที่ฮ่องเต้ตั้งชื่อให้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในราชนำสัก แต่สำหรับทัพตะวันตกเฉียงเหนือนั้นคุ้นเคยกันชื่อนี้ยิ่งนัก
กำแพงเมืองหลงกู่ที่เสียหายเพราะไฟสงครามได้รับการซ่อมแซมแล้วพอประมาณ ของประดับตกแต่งในเทศกาลปีใหม่ยังไม่ได้ถูกปลดลง บรรยากาศจึงดูรื่นเริงไม่น้อยในอากาศแสนหนาวเย็นเช่นนี้
บนถนนอันคับแคบกลางเมือง มีคนผู้หนึ่งกำลังควบม้าเข้ามาอย่างเร็วรี่จนฝุ่นตลบไปหมด เสียงเกือกม้าเหล็กกระทบพื้นดังก้องไปทั่วทุกตรอกซอกซอย ดึงดูดให้ผู้คนเหลียวมองมา แต่พอเห็นว่ามีหัวคนมากมายห้อยอยู่บนหลังม้าก็ตกใจกลัวอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่สี่! พี่สี่!”
น้ำเสียงห้าวหาญฟังดูแสนดื้อรั้นดังขึ้น
ชายผู้หนึ่งยืนขึ้นท่ามกลางเหล่าหมอสัตว์ที่กำลังง่วนอยู่กับฝูงม้า พอเห็นคนที่กำลังควบม้าเข้ามาก็ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้า
“เบาเสียงหน่อยเจ้าหมอนี่ ประเดี๋ยวม้าจะตื่นเอา” เขาเอ่ย
“หากม้าศึกพวกนี้ตื่นกลัวง่ายเสียขนาดนั้นก็ไม่สมควรให้พี่สี่ต้องดูแลแล้ว เอาไปลากเกวียนขนของเสียให้หมด” สวีปั้งฉุยเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกวักมือเรียก “พี่สี่ พี่สี่ ท่านรีบมาทางนี้เร็วเข้า”
สวีซื่อเกินยืดตัวขึ้นแล้วเดินออกมาอย่างจนใจ
“แล้วจะเจ้าวิ่งไปวิ่งมาทำไมอีก” เขาถาม
สวีปั้งฉุยยังคงไม่ลงจากหลังม้า เขาท่าทางดีอกดีใจทั้งยังสะบัดแส้ให้ม้าวิ่งวนไปมาอยู่หลายหน หมายให้สวีซื่อเกินหัวคนที่ห้อยอยู่บนหลังม้าอย่างชัดเจน
หัวคนแสนอเนจอนาถห้อยอยู่บนหลังม้าเสียขนาดนั้นเหตุใดสวีซื่อเกินจะมองไม่เห็น เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“เจ้าหมอนี่ คราวนี้ได้กี่คนแล้วล่ะ” เขาถาม
สวีปั้นฉุยหัวเราะชอบใจพลางยกมือขึ้น
“สิบคน!” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เอาละ คราวนี้คงได้ความดีความชอบไม่น้อยแล้วกระมัง” สวีซื่อเกินยิ้มเอ่ย
อยู่ในกองทัพแล้วก็ย่อมต้องอาศัยความดีความชอบที่ตนทำ พอมีความดีความชอบแล้วคนธรรมดาสามัญก็กลายเป็นขุนนางได้ ขุนนางผู้น้อยก็จะได้เลื่อนขั้น ทหารผู้น้อยก็จะได้รับความไว้วางใจ
“เหล่าผู้กล้าของเราก็ฟื้นตัวกันแล้ว” สวีปั้งฉุยเอ่ยอย่างลำพองใจ
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง
“สวีซื่อเกิน!” ชายผู้เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงดังลั่น
น้ำเสียงฟังดูไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย สวีปั้งฉุยขมวดคิ้วแน่น สวีซื่อเกินรีบเดินเข้าไปรับในทันใด
“แม่ทัพซ่ง…” เขาเอ่ยคำนับ
ไม่ทันสิ้นเสียง แม่ทัพซ่งก็ปาสิ่งของในมือออกมาอย่างแรง
แม่ทัพร่างสูงใหญ่กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ไม่อาจปกปิดร่างกำยำนั้นไว้ได้ สิ่งของที่ถูกปาออกมาอย่างแรงจากมือนั้นกระแทกเข้ากับต้นแขนของสวีซื่อเกินอย่างจัง สวีซื่อเกินที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจนล้มลงกับพื้นพลางกุมต้นแขนของตนเองไว้ เขาส่งเสียงฮึดฮัด ทว่าไม่กล้าลุกยืนขึ้น
สิ่งของที่ถูกปาออกมาร่วงลงด้านข้าง นั่นคือเกือกม้า
“เจ้านี่!” สวีปั้งฉุยทั้งตกใจทั้งโมโห กระโดดลงจากหลังม้าแล้วถลาตัวเข้ามาในทันใด
เหล่าผู้ติดตามข้างกายแม่ทัพผู้นั้นไม่ยอมเสียเปรียบจึงพอกันส่งเสียงก่นด่า
“ทำอะไรของเจ้า! คิดจะล่วงเกินผู้บังคับบัญชาอย่างนั้นหรือ”
สำหรับทหารผู้น้อยในกองทัพแล้ว การล่วงเกินผู้บังคับบัญชานั้นมีโทษใหญ่หลวงนัก
สวีซื่อเกินยุดยื้อกอดขารั้งสวีปั้งฉุยไว้ไม่ให้เขาโถมตัวเข้าไป
“เหตุใดต้องทำร้ายกันด้วย! เหตุใดต้องทำร้ายกันด้วย!” สวีปั้งฉุยตะโกนลั่น ดวงตาแดงก่ำราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แม่ทัพไม่สนใจเขาแต่อย่างใด พลางมองสวีซื่อเกินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วแค่นหัวเราะออกมา
“ทหารกล้าม้าแกร่งคือผลงานของเจ้าอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย “กล้าพูดออกมาได้อย่างไร”
สวีซื่อเกินส่ายหน้า
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่เคยพูดเช่นนั้นขอรับ” เขาเอ่ย
แม่ทัพส่งเสียงเย้ยหยัน
“ก็แค่สวมเกือกเหล็กให้ม้า ความดีความชอบที่พวกข้าเสี่ยงชีวิตได้มาก็กลายเป็นของเจ้าอย่างนั้นหรือ” เขาตวาดลั่นพลางชี้นิ้วไปที่สวีซื่อเกิน “แต่ก่อนไม่มีของพรรค์นี้ พวกข้าชายชาติทหารก็เอาชนะศัตรูชิงตัวเชลยศึกมาได้ เช่นนั้นแล้ววีรบุรุษแห่งเขาฉีเหลียนซานจะมีความหมายอะไร หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีเหล่าบรรพบุรุษผู้กล้าอย่างนั้นหรือ”