พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 391 ก่อเรื่อง
พอได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธของแม่ทัพ ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็พากันถอยออกห่าง
“ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยมิบังอาจเอาดีใส่ตัวเช่นนั้น” สวีซื่อเกินเงยหน้าตอบในทันใด
แม่ทัพผู้นั้นถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะ ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็มีค่ากว่าเดรัจฉานหรือสิ่งของ!” เขาตวาดลั่น คิ้วหนาเลิกสูง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาตบบนร่างกายของตัวเองแล้วชี้นิ้วไปที่ทหารกล้าที่อยู่ด้านหลัง “พวกข้าคือผู้ปราบกบฏโจรตะวันตก พวกข้าคือคนที่แลกชีวิตกับศึกสงคราม แม้ไม่มีเกือกม้าเหล็กบ้าบอของเจ้า พวกข้าก็รบกบฏโจรตะวันตกได้ ถึงจะมีเกือกม้าเหล็กของเจ้า พวกข้าก็รบกบฏโจรตะวันตกได้เช่นกัน จะมีหรือไม่มีของสิ่งนี้ คนที่เอาชนะกบฏตะวันตกได้ก็คือพวกข้าอยู่ดี”
สวีซื่อเกินก้มหน้าขานรับ
แม่ทัพผู้นั้นส่งเสียงถุยอย่างขุ่นเคืองออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับแล้วพาคนของตนเดินจากไป
สวีปั้งฉุยเดือดดาลจนแทบบ้า เขาสะบัดสวีซื่อเกินออกหมายจะพุ่งตัวเข้าไป สวีซื่อเกินที่ล้มอยู่บนพื้นก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา สวีปั้งฉุยจึงหยุดฝีเท้าลงก่อนรีบหันหลังกลับมาในทันใด
“พี่สี่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เขาพยุงร่างสวีซื่อเกินขึ้นพลางเอ่ยถาม
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร” สวีซื่อเกินตอบทั้งที่ยังคงกุมต้นแขนของตัวเองอยู่
สวีปั้งฉุยไม่เชื่อก่อนจะดึงแขนของเขาออกมาแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น พอเห็นรอยม่วงช้ำจนเลือดแทบจะไหลออกมาบนต้นแขนของสวีซื่อเกิน ก็กระทืบโมโหแล้วยืนขึ้น ทว่ากลับถูกสวีซื่อเกินเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน
“ท่านพี่ ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่! ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นทหารทัพหลังขี้ขลาดตาขาวกลัวตาย พอทำเกือกม้าเหล็กขึ้นมา ก็ไม่มีผู้ใดเห็นความตั้งใจ แต่กลับถูกคนใส่ร้ายเสียอย่างนั้น จนถึงบัดนี้ท่านก็ยังคงเป็นทหารผู้น้อยอยู่ จนพวกข้าได้เป็นทหารศึกกันหมดแล้ว!” สวีปั้งฉุยตะโกนออกมาอย่างคับแค้นใจ
หมอดูแลสัตว์และคนอื่นๆ ที่หลบอยู่อีกฝากหนึ่งพากันเดินเข้ามา
“สหายสวีถูกใส่ความ ไม่รู้ว่าแม่ทัพหรือขุนนางคนใดกราบทูลเรื่องเกือกม้าเหล็กต่อฝ่าบาท แถบยังใส่สีตีไข่มากมาย จนเบื้องบนไม่พอใจถึงได้ยุยงให้เหล่าแม่ทัพกองทหารม้ามาหาเรื่องถึงที่” คนหนึ่งเอ่ยกระซิบขึ้น
“แล้วนี่ไม่ใช่ผลงานของพี่สี่หรือไร ที่ทำให้ม้าบาดเจ็บน้อยลง หากเป็นแต่ก่อนเจ้าพวกกระจอกนั่นมีปัญญาขี่ม้าคู่เสียที่ไหน! ไม่ใช่เพราะเกือกม้าเหล็กหรอกหรือ!” สวีปั้งฉุยตะโกนลั่น “ฆ่าศัตรูจนเสียเลือดเนื้อนับว่าทำคุณประโยชน์ แล้วเหตุใดสิ่งที่พี่สี่ทำถึงไม่ใช่”
ไม่มีผู้ใดตอบเขา มีเพียงเสียงหัวเราะเจื่อนก่อนจะพากันแยกย้ายออกไป
สวีปั้งฉุยโมโหจนแทบกระอักเลือด
“ข้านึกว่าท่านสุขสบายดีเสียอีก ดูสิดู ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่กัน!” เขาร้องตะโกน
“ข้าก็ตั้งใจทำเรื่องนี้อยู่อย่างไรเล่า” กลับกันสีหน้าของสวีซื่อเกินนั้นสงบนิ่ง เขายิ้มแล้วเอ่ยต่อ “เป็นคุณประโยชน์หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดมาตัดสิน”
เขาเอ่ยพลางมองฝูงม้าตรงหน้า น้ำเสียงนั้นแสนปลื้มปิติ มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมต้นแขนที่บาดเจ็บ
“สิ่งที่ทำลงไปมิได้สูญเปล่าและได้ผลจริง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
…
สวีปั้งฉุยควบม้าเข้ามาในค่ายทหาร ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวที่กำลังพูดคุยกันอยู่ที่ลานกว้างเหลียวมองมาก ก่อนจะตกใจไม่น้อย
ตอนออกไปก็ดูท่าทางขึงขังดีอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดตอนกลับมาถึงได้ไร้วิญญาณเช่นนี้ ผู้ใดที่ป้อมปราการทำให้เขาอารมณ์เสียกันนะ
ทหารเข่นฆ่าศัตรูอย่างไร้ความปราณี ย่อมเป็นที่โปรดปราดของเหล่าแม่ทัพ ขุนนางทำคุณประโยชน์แต่ไม่แก่งแย่งตำแหน่ง ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าขุนนางด้วยกัน เจ้านายเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแพร่ ย่อมเป็นที่รักของบรรดาบ่าวไพร่ ยามนี้พวกคนที่เคยว่ากล่าวใส่ร้ายพวกเขา ก็ล้วนแต่ถูกบีบจนไม่มีที่ยืนแล้ว
“คนที่มาเป็นแม่สื่อแม่ชักทาบทามก็มีไม่น้อยเหมือนกัน” ฟ่านเจียงหลินยิ้มเอ่ยพลางมองไปที่สวีเม่าซิว “ยังจะไปล้อเจ้าหมอนั่นอีก”
สวีเม่าซิวหัวเราะชอบใจแล้วตะโกนเรียกสวีปั้งฉุย
สวีปั้งฉุยก้มหน้าก้มตาท่าทางเศร้าหมอง แต่ก็ยังเอ่ยขานตอบ
“เจ้าไปที่ใดมาหรือ” ฟ่านเจียงหลินถาม
“ข้าไปเยี่ยมพี่สี่ที่ป้อม” สวีปั้งฉุยก้มหน้าตอบ
บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้รับรางวัลอย่างงาม พวกเขาสามารถเลือกไปประจำการอยู่ที่ป้อมใดก็ได้ตามใจตนในฐานะทหารศึก แต่ด้วยผลงานของเกือกม้าเหล็ก สวีซื่อเกินจึงได้รับการเสนอชื่อจาก
แม่ทัพจูซื่อ ให้เป็นผู้รับผิดชอบการผลิตเกือกม้าต่อไป และผู้ตรวจการกัวเองก็อนุญาตแล้วด้วย
ตั้งแต่ขั้นตอกเกือกม้าไปจนถึงการหลอมเหล็กเข้าฝ่าเท้าก็กินเวลาไปกว่าครึ่งปี จากเดิมที่ยังต้องหาวิธีสวมเกือกม้าอย่างไรเพื่อมิให้ม้าบาดเจ็บ จนกระทั่งตอนนี้ม้าศึกทุกตัวในเมืองหลงกู่ก็ต่างคุ้นชินกับการสวมเกือกม้าเหล็กนี้แล้ว ทั้งหมดนี้ต้องทุ่มเทเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อมิใช่น้อย
แต่หยาดเหงื่อแรงกายที่เขาเสียไป ไม่มีผู้ใดเห็นเหมือนเหล่าทหารศึกที่เอาชนะศัตรูกลับมาได้ จนกระทั่งตอนนี้เขาจึงยังเป็นทหารผู้น้อยเพียงผู้เดียว ไม่เคยได้รับความดีความชอบใด ทั้งยังไม่เคยเรียกร้อง
ฟ่านเจียงหลินกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่สวีเม่าซิวกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าซื่อหรือ” เขาถามออกไปตามตรง
สวีปั้งฉุยฝืนยิ้ม
“ไม่มีอะไร” เขาตอบ
ฟ่านเจียงหลินยกมือขึ้นตบหัวเขา
“เจ้านี่ไม่ดูตัวเองเอาเสียเลย ยังจะกล้าโกหกข้าอีกหรือ!” เขาเอ็ด
สวีปั้งฉุยลูบหัวตัวเอง
“พี่สี่ถูกคนกลั่นแกล้ง” เขาตะโกนออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ “ทั้งยังถูกคนทำร้ายด้วย!”
พอคำพูดนั้นถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวก็เปลี่ยนไปในทันที
“โธ่เว้ย เหตุชีวิตเขาถึงต้องเจอเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ด้วย!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนลั่นแล้วก้าวเดินออกไป
สวีเม่าซิวยื่นมือออกไปรั้งเขาไว้
“ถามให้แน่ชัดเสียก่อน” เขาเอ่ยแล้วหันไปมองสวีปั้งฉุย “เกิดอะไรขึ้น”
“พวกแม่ทัพขุนนางพวกนั้นไม่ยอมรับว่าเป็นคุณความดีของพี่สี่ แถมยังโกรธแค้นหาว่าพี่สี่แย่งความดีความชอบไปจากพวกเขา ยุยงให้คนมารุมทำร้ายพี่สี่ จนเป็นรอยแผลเกือกม้าเต็มไปหมด…” สวีปั้งฉุยร้องตะโกน
พวกขุนนาง… ยุยง…
ฟ่านเจียงหลินเหลียวไปมองสวีเม่าซิว
“ถามแน่ชัดแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านจะทำเช่นไรต่อ”
สวีเม่าซิวมองเขาแล้วหัวเราะ
“ควรทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น!” เขาเอ่ยก่อนจะปล่อยฟ่านเจียงหลินให้เป็นอิสระแล้วเดินจากไป “พาพรรคพวกไปด้วย!”
ฟ่านเจียงหลินหัวเราะยกใหญ่
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะฝีมือของขุนนางหรือทหารด้วยกัน หากพี่น้องของเขาไม่ได้รับความยุติธรรมแล้วละก็
สิ่งแรกที่ต้องทำคือยืนหยัดเคียงข้างพี่น้อง หากมัวแต่คิดหน้าคิดหลังชั่งน้ำหนักผลประโยชน์อยู่อย่างนั้นจะเรียกว่าพี่น้องได้อย่างไร!
“พาพวกพ้องไปด้วย เรียกพวกเขามา” เขาตะโกนลั่น
พอเห็นทั้งหกคนกำลังควบม้าออกไปอย่างขึงขัง หลิวขุยที่คาบขนมแป้งทอดคาปากอยู่ก็ตาเบิกโพลงในทันใด
“เฮ้ย เฮ้ย พวกเจ้าจะไปไหน!” เขาตะโกนเรียกก่อนจะถุยขนมแป้งทอดในปากออก
ไม่มีผู้ใดสนใจเขา สวีเม่าซิวและพวกพ้องควบม้าออกไปอย่างรีบเร่ง
“คิดจะหนีหรือ อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะเล็ดลอดจากสายตาของข้าไปได้!” หลิวขุยตะโกนออกมา เดินไปไม่กี่ก้าวก็ควบขึ้นม้าแล้วตามออกไป
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในเมืองหลงกู่
“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” คนด้านนอกที่ได้ยินเสียงถามขึ้นอย่างสงสัย
“คนตีกัน คนตีกัน!”
พอได้ยินว่าคนตีกัน ฝูงชนก็กรูเข้ามาในทันที พอเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป ในเมืองก็เงียบเหงาไม่มีเรื่องให้บันเทิงใจ พอเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นก็คงไม่มีผู้ใดอยากพลาด
เสียงโครมครามดังขึ้น ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งถูกโยนออกมา เขาไม่ทันจะได้ลุกขึ้น ฟ่านเจียงหลินก็ถลาเข้าใส่ ใช้เท้ายันเขาไว้กับพื้นก่อนจะส่งหมัดต่อยออกไปอย่างแรง
ผู้คนพากันโห่ร้องชื่นชมความดุดันนั้น
คนมากมายพากันกรูเข้ามากว่าจะแยกทั้งสองออกจากกันได้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถูกต่อยจนเลือดอาบทั้งใบหน้า
“เจ้าคิดจะทำอะไร ก่อกบฏรึ”
“ฟ่านเจียงหลิน พวกเจ้าอีกแล้วหรือ คราวก่อนฆ่าขุนนางยังไม่พอหรืออย่างไร ยังฆ่าพวกเดียวกันอีกหรือ”
คนอีกฝั่งตะโกนลั่น
“คราวก่อนพี่น้องของข้าถูกคนกลั่นแกล้งถึงได้กล้าลงมือ คราวนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน”
ฟ่านเจียงหลินและพวกพ้องร้องตะโกน
พริบตาเดียวก็กลับมาตะลุมบอนกันอีกครั้ง
หลิวขุยมองตกตะลึงอ้าปากค้าง
“พวกเจ้านี่มันเศษสวะแท้ๆ” เขาตะโกนขึ้น “ไม่ยอมฆ่าโจรแถมยังปล่อยตัวไป เอาแต่ไล่ล่าล้างแค้นให้ตัวเอง!”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ท่ามกลามฝูงชนแสนวุ่นวายนั้น จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่ามีไม้จากที่ไหนฟาดเขาอย่างเต็มแรง จนหลิวขุยสะดุ้งตกใจตัวโยน
“ไอ้พวกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ตีข้าทำไม! คิดว่าข้าจะยอมให้กลั่นแกล้งอย่างนั้นหรือ!”
เขาตะโกนลั่นก่อนจะส่งกำปั้นออกไปในทันที
ท่านชายโจวหกได้ข่าวก็รีบมายังศาลาว่าการในทันที คนที่ร่วมก่อเรื่องทะเลาะวิวาทก็ถูกจับตัวมาที่ศาลาว่าการแล้วเช่นกัน เหล่าขุนนางผู้บัญชาการจากเมืองหลวงตื่นตระหนกกันยิ่งนัก บรรยากาศภายในศาลาว่าการราวกับอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำที่มีสายฟ้าผ่าลงมา มีแต่เสียงร้องตะโกนให้โบยลงโทษ
สวีเม่าซิวและพวกพ้อง
“ใต้เท้า พวกข้ามีความผิด พวกข้ายอมรับโทษ แต่พวกเขาเองก็มีความผิด ก็ไม่สมควรละเว้นเช่นกัน!” สวีเม่าซิวเอ่ย
ขุนนางผู้บัญชาการแค่นหัวเราะ มองไปที่สวีเม่าซิวอย่างไม่แยแส ก็แค่ทหารชั้นผู้น้อย หากใส่ใจลมปากของพวกนั้นก็มีแต่จะทำให้ตนเสื่อมเสียเกียรติ
“พวกเจ้าทุบตีผู้อื่น กลายเป็นความผิดของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ” ขุนนางผู้น้อยที่อยู่ข้างกันตวาดลั่น
“เหตุใดใต้เท้าถึงไม่ถามพวกข้าว่า ทำไมถึงได้ทุบตีพวกเขา” สวีเม่าซิวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ขุนนางผู้น้อยหัวเราะเย้ยหยัน
“คนอย่างพวกเจ้า มีสิทธิ์อะไรมาถามยอกย้อนใต้เท้า” เขาตะโกนออกมา
“ข้าน้อยย่อมไม่มีสิทธิ์ถามอยู่แล้ว แต่คนพวกนี้รุมทำร้ายสวีซื่อเกินจากสำนักตรวจม้า ทั้งยังถูกใส่ร้ายว่าไม่พอใจกับตำแหน่งที่ใต้เท้าผู้ตรวจการเป็นคนมอบให้ เช่นนั้นแล้วใต้เท้าจะไม่ไต่สวนเลยหรือ” สวีเม่าซิวตะโกนกลับ
ถึงขนาดกล้ากล่าวอ้างถึงผู้ตรวจการเช่นนี้ ผู้บัญชาการประจำเมืองหลงกู่ก็สีหน้าตึงเครียดขึ้นมา
“สวีเม่าซิว เจ้าคิดจะก่อเรื่องในศาลาว่าการของข้าหรือ” เขาตวาดเสียงเข้ม
ทหารศึกขั้นต่ำกล้าดีอย่างไรถึงได้ถามยอกย้อนผู้บังคับบัญชากองทหารม้าประจำถนนเว่ยโจวแห่งเมืองหลงกู่เช่นนี้ ผู้คนที่มามุงดูอย่างคึกครื้นข้างนอกก็พากันเงียบในทันใด
ก็เลียนแบบจากหญิงผู้นั้นมาอย่างไรเล่า ถึงไม่คิดเกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้ ท่านชายโจวหกเอ่ยเย้ยหยันอยู่ในใจ
“ใต้เท้า ข้าน้อยมิบังอาจ” สวีเม่าซิวเหยียดหลังตรง “ข้าน้อยเพียงแต่ต้องการกอบกู้ชื่อเสียง
พี่น้องของข้าน้อยถูกทำร้าย เพราะถูกกล่าวหาว่าแย่งความดีความชอบผู้อื่น พวกข้ายอมไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ที่ใต้เท้าผู้ตรวจการมอบหมาย เหตุใดถึงกลับกลายเป็นเอาดีใส่ตัวไปได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พี่น้องของข้ามิต้องถูกคนทุบตีทุกวันหรือ สิ่งที่พวกข้าได้ทำผิดไป ใต้เท้าทั้งหลายโปรดลงโทษ แต่ใต้เท้าผู้บัญชาการก็ควรกำหนดโทษแก่คนพวกนั้นเช่นกัน มิเช่นนั้นแล้วจะหมายความว่า ที่พวกเขาทุบตีคนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่การที่ใต้เท้าผู้ตรวจการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พี่น้องของข้า คือการเอาดีใส่ตัว คือเรื่องที่ผิด…”
ผู้บัญชาการหน้านิ่ง ทว่าหัวใจกับเต้นรั่วเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่
เจ้าทหารกระจอกสามหาว!