พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 393 หนึ่งปี (1)
รัชศกเฉียนหยวนแห่งต้าโจวปีที่เจ็ด ยามเดือนหนึ่งผ่านพ้นไป ฮ่องเต้ได้เปลี่ยนชื่อรัชสมัยว่าหย่งเหอ นับตั้งแต่กลางปีอย่างเดือนหกเป็นต้นไปก็ได้เริ่มใช้ว่าปีแรกของรัชสมัยหย่งเหอ
อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว ทว่าในท้องพระโรงกลับร้อนกว่า เหล่าขุนนางที่อยู่ในชุดประจำตำแหน่งแผ่นหลังต่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
การประชุมของราชสำนักยังคงดำเนินต่อไป แต่บนบัลลังก์กลับไร้ซึ่งเงาขององค์ฮ่องเต้ มีเพียงองค์ชายใหญ่ที่นั่งอยู่บนม้านั่งสี่ขาตัวหนึ่งใต้บัลลังก์นั้น
เมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อนแล้ว องค์ชายใหญ่ที่อายุได้สิบสองปีร่างกายสูงใหญ่ขึ้นมาไม่น้อย จึงทำให้เขาดูร่างผอมเพรียว สง่าผ่าเผยสมบารมีของราชวงศ์ ยามสวมชุดทางการประจำตำแหน่งองค์ชายอยู่ในท้องพระโรงอันโอ่อ่าแห่งนี้
เจ้ากรมกิจการเกาที่ยืนอยู่ในแถวมององค์ชายใหญ่ที่อยู่บนนั้นด้วยรอยยิ้มปลื้มอกปลื้มใจ
การเปลี่ยนชื่อรัชสมัยใหม่นี้ไม่เลว ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อรัชสมัยไปก็ยิ่งมีวันคืนที่ราบรื่นสมดั่งใจหมาย ตัวเขาได้ควบหลายตำแหน่งสมดังปรารถนา กลายเป็นหนึ่งในขุนนางของราชสำนัก ไม่ใช่เป็นเพียงแค่พระญาติที่ถูกจัดให้เป็นแม่ทัพนายกองทหารองครักษ์อย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขามีตำแหน่งและอำนาจในการเสนอหรือกล่าวในที่ประชุมราชสำนักมากยิ่งขึ้นแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ต้องหลบอยู่ด้านหลังคนอื่นให้คนอื่นช่วยพูดช่วยเสนอให้ตั้งหลายครั้งหลายคราเช่นนั้น
เขาสมปรารถนาแล้ว องค์ชายใหญ่ก็ก้าวหน้าไปกว่าเมื่อก่อนนัก พอปีใหม่ผ่านพ้นไปก็ราวกับว่าเติบโตขึ้นภายในพริบตา รู้ความมากขึ้น ตั้งอกตั้งใจเล่าเรียน ได้รับความชื่นชมจากอาจารย์ ฮ่องเต้ก็ยิ่งให้ความสำคัญมากขึ้นไปอีก และในตอนที่พระองค์เข้าร่วมฟังการประชุมของราชสำนักก็ไม่เอาแต่ใจเป็นเด็กๆ ดั่งเช่นเมื่อก่อน กะพริบตาปริบๆ ตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
ไม่นานการประชุมก็สิ้นสุดลง บรรดาขุนนางกลุ่มหนึ่งจึงมายังตำหนักด้านหลังของพระราชวังที่ฮ่องเต้ประทับรออยู่
“…เจ้าว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร”
องค์ชายใหญ่เดินเข้าไปถวายรายงานการประชุมของวันนี้ให้ฟังโดยสังเขป ภายในตำหนักก็มีเสียงเอ่ยถามของฮ่องเต้ดังขึ้น
“…ข้าคิดว่าที่ใต้เท้าหลี่พูดมานั้นถูกต้อง แต่ยังควรส่งคนไปตรวจสอบแล้วค่อยสรุปจึงจะเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ ลูกก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก เพียงแค่เคยเห็นในตำราบอกเอาไว้ จึงอยากไปตรวจดู…”
“ความคิดเจ้าดีมาก”
พอเจ้ากรมกิจการเกา อ้อ ไม่สิ ขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกาได้ยินประโยคนี้ของฝ่าบาทเข้า รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น
ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องออกไปรับราชการนอกเมืองอยู่ดี แต่จะไปทั้งทีก็อยากไปอย่างสบายใจ องค์ชายใหญ่ยามนี้ทำให้เขาเบาใจเป็นอย่างมาก
ประตูด้านถูกเปิดออก องค์ชายใหญ่จึงขอตัวลา พลางคำนับเหล่าขุนนางอำมาตย์ กิริยาท่าทางงดงามตามแบบแผนประเพณี ขุนนางใหญ่ ณ ที่นั้นต่างจับผิดอันใดไม่ได้สักอย่าง ซ้ำยังพากันชื่นชม
เด็กคนนี้โตแล้วจริงๆ
องค์ชายใหญ่หันหลังเดินจากมา ขณะที่กำลังเดินผ่านระเบียงที่ทอดยาวออกไป เขาก็เร่งฝีเท้าขึ้น มือสองข้างที่เดิมทีกุมกันไว้ก็แกว่งไปมาอยู่ใต้แขนเสื้อกว้าง แฝงไว้ด้วยท่าทางไร้เดียงสาของวัยหนุ่มสาว
“ไทเฮาขอรับ ไทเฮาขอรับ…”
เสียงขององค์ชายใหญ่ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักไทเฮา เสียงนั้นทั้งกังวานและเบิกบานใจ เห็นได้ถึงกำลังวังชาของวัยหนุ่มสาว
“เบาเสียงหน่อย หากฝ่าบาทรู้เข้าเดี๋ยวจะว่าเจ้าเสียกิริยาอีก” กุ้ยเฟยลุกขึ้นยิ้มบอก
ไทเฮาที่ประทับอยู่บนตั่งก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเมตตา
เหล่าชายาและสนมที่ยังคงนั่งอยู่ทางด้านหนึ่ง อีกทั้งองค์หญิงอีกสองพระองค์ที่อายุไล่เลี่ยกัน รวมถึงองค์หญิงที่เพิ่งจะอายุได้หนึ่งปี พอเห็นเขาเข้ามาก็ต่างพากันยิ้มแย้มเอ่ยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แม้จะดูครื้นเครงแต่ยังคงกิริยาอันงดงามไว้
“เสียกิริยาอันใดกัน ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงเสียหน่อย” ไทเฮายิ้มเอ่ยพลางยกมือกวักเรียกองค์ชายใหญ่ให้เข้ามานั่ง “เพิ่งจะสิบสองปีเอง นั่งอยู่ในท้องพระโรงเสียนานคงเหนื่อยแล้วกระมัง”
จากนั้นจึงเร่งให้นางกำนัลพัดวีและยกชามาให้ดื่ม
องค์ชายใหญ่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างไทเฮาด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ
“ไม่เหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ ข้านั่งไปได้แค่ครึ่งวันเท่านั้นจะบ่นเหนื่อยได้อย่างไร เสด็จพ่อสิ ทรงลำบากอยู่ทุกวี่วัน” เขาเอ่ยบอกอย่างจริงจัง
ไทเฮายิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก นางยื่นมือไปโอบไหล่เขาเอ่ยปากชมไม่หยุด
“ยังต้องไปนั่งฟังอาจารย์สอนอีกกระมัง” นางเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “เหนื่อยเพียงนี้คงต้องพักสักวันแล้วกระมัง”
“ไทเฮา ไม่เหนื่อยสักนิดพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งสิ่งที่อาจารย์สอนมานั้นข้าเคยท่องไปหมดแล้ว ไม่กลัวหรอกพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่เอ่ยเสียงดังด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างมาก
“ซื่อเกอร์ฉลาดเสียจริง” บรรดาพระชายาและสนมที่อยู่ด้านข้างต่างเอ่ยชื่นชม
รอยยิ้มบนใบหน้าองค์ชายใหญ่จึงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก กุ้ยเฟยก็พลอยชื่นใจไปด้วย
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องกับลิ่วเกอร์ยังไม่กลับมาหรือ”
เสียงเอ่ยถามของเด็กเล็กจากองค์หญิงโพล่งขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นนั้น
ทันใดนั้นบรรยากาศพลันหนักอึ้งขึ้นในพริบตา
สนมที่อยู่ด้านข้างรู้ว่าลูกพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ก็รีบยื่นมือไปอุ้มองค์หญิงมา
“…ใช่ ใช่ หากพวกเขาอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องดีใจกับความฉลาดเฉลียวและความพากเพียรขององค์ชายใหญ่ด้วยเป็นแน่” นางรีบเอ่ยขึ้น
สนมคนอื่นๆ จึงรีบเอ่ยเออออตามไป แต่ก็มีคนพูดถึงเรื่องราวใหม่ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนหัวข้อไป สีหน้าของไทเฮาดูเศร้าหมองอยู่ไม่น้อย
องค์ชายใหญ่นั่งอยู่เพียงครู่ก็ลุกขึ้นขอตัวลา เหลาสนมจึงพากันขอตัวลาเช่นกัน ตำหนักของไทเฮาพลันเงียบลง
“เหว่ยเกอร์พาลิ่วเกอร์ไปที่ใดรึ”
ไทเฮาเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
“เดือนก่อนบอกว่าออกจากเหิงซานไปแล้ว ได้ยินมาว่าซู่โจวมีหมอเทวดาอยู่คนหนึ่ง ยามนี้น่าจะอยู่ที่นั่นเพคะ” นางกำนัลรีบเอ่ยตอบเสียงเบา
ไทเฮายกมือขึ้นนับนิ้วดู
“ครึ่งปีกว่าเข้าไปแล้ว เหตุใดเด็กคนนี้ยังไม่กลับมาอีก หมอเทวดาอะไรพวกนั้นล้วนคุยโวโอ้อวดกันทั้งนั้น เขายังคิดจริงจังว่า…” นางเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ
“จวิ้นอ๋อง…ยังคงไม่ยอมแพ้เพคะ” นางกำนัลกระซิบ
ไทเฮาถอนใจอีกหนแล้วเอนกายลงนอนพลางหลับตาลง
“ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดสินะ”
นางกำนัลไม่กล้าเอ่ยตอบ นางปลดม่านลงแล้วเดินออกไปด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา
ส่วนทางด้านกุ้ยเฟยก็กำลังเลิกม่านขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“สนมหลิวคงจงใจกระมัง นางกลัวว่าทุกคนจะลืมเด็กสติไม่สมประกอบนั่นไปกระมัง” นางเอ่ย “ต้องเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาในทุกคราที่กำลังครื้นเครงกัน”
นางกำนัลก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำ
“องค์หญิงซูฮุ่ยโตเพียงนั้นแล้วก็น่าจะสั่งสอนเสียให้ดี นางเกิดจากตระกูลช่างอิฐช่างปูน แต่ละวันล้วนไปขลุกอยู่กับนางจะเรียนรู้อันใดขึ้นมาได้” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเคียดแค้น “เอาองค์หญิงซูฮุ่ยส่งให้พระชายาจูไป นางเกิดจากตระกูลกวีกาพย์กลอน สั่งสอนได้ดี”
ทั้งความเศร้าใจของไทเฮาและความไม่พอใจของกุ้ยเฟย ล้วนแต่ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่ออารมณ์ขององค์ชายใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือ ที่กำลังท่องตำราเล่มหนึ่งได้อย่างถูกต้องแม่นยำและไหลลื่น เขาฟังคำเอ่ยชมของอาจารย์ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ไม่ต้องถูกเปรียบเทียบอีกต่อไปแล้ว ไม่มีรูปแผนที่อันน่าสะอิดสะเอียนนั่นอีกต่อไป ไม่มีคำตำหนิว่ากล่าวที่ไม่หยุดไม่หย่อนพวกนั้นอีก ทุกคนต่างชื่นชอบเขา เอาอกเอาใจเขา นี่สิจึงเป็นวันคืนที่เขาควรจะมี
วันคืนเช่นนี้ดียิ่งนัก
ไม่มีเด็กคนนั้น จึงจะเป็นวันคืนที่ดีแท้จริง ส่วนเขาก็กลายเป็นคนที่ดีที่สุด
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากทบทวนบทเรียนของเมื่อวาน มีบางเรื่องที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก” องค์ชายใหญ่นั่งตัวตรง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใส