พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 394 กลับมา (1)
รัชศกหย่งเหอปีที่หนึ่งปลายเดือนสิบ ท่านชายเฉิงสี่ออกจากเมืองหลวงมาในเดือนเจ็ด หลังแวะเยี่ยมเยือนเหล่าศิษย์พี่ที่นอกเมืองแล้ว รถม้าของเขาก็แล่นเข้ามายังเขตเมืองเจียงโจว คนของตระกูลเฉิงที่มารับรออยู่หลายวันแล้วจึงรีบเข้ามาต้อนรับด้วยความดีใจ
พอพ่อบ้านตระกูลเฉิงเห็นรถม้าท่านชายเฉิงสี่ก็ตกใจอยู่เล็กน้อย
นี่เป็นรถม้าชั้นดีคันหนึ่ง เดินทางมาเนิ่นนานยังดูเหมือนใหม่เอี่ยม เห็นได้ชัดว่าวัสดุที่นำมาใช้ประกอบนั้นเป็นของดี เขาเหลียวกลับไปมองรถม้าที่ตัวเองขับมาอีกครั้ง
ฮูหยินใหญ่เฉิงกำชับนักกำชับเสียหนักหนาว่าท่านชายเฉิงสี่เดินทางไกล เกรงว่ารถม้าจะพังจนนั่งมิได้แล้ว จึงให้นำรถม้าที่จัดแต่งไว้เรียบร้อยของที่บ้านมาด้วยเป็นพิเศษ
ทว่าสิ่งที่เรียกว่ารถม้าที่จัดแต่งไว้เรียบร้อยนั้น กลับเทียบรถม้าที่วิ่งมาแสนมาไกลแล้วไม่ได้เลยสักนิด
ท่านชายเฉิงสี่จำต้องเปลี่ยนรถม้าเพราะไม่อยากให้ความเป็นห่วงของมารดาต้องสูญเปล่า
ผ่านมาครึ่งวันรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงริมแม่น้ำ ท่านชายเฉิงสี่เลิกม่านขึ้นมองไปด้านนอกด้วยความตื่นเต้น
นับๆ ดูแล้วเขาจากบ้านมาได้ปีกว่าแล้ว แม้ตอนนี้จะเติบใหญ่แล้วแต่ก็ถือได้ว่านี่เป็นคราแรกที่จากบ้านมานานถึงเพียงนี้ ความรู้สึกคิดถึงบ้านที่เดิมทีเจือจางลงไปแล้ว ยามนี้กลับถาโถมขึ้นมาอีกระลอก ดวงตาของท่านชายเฉิงสี่แดงขึ้น รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้านี้ทั้งคุ้นตาและแปลกหน้า
จะว่าไปก็ดูแปลกตายิ่งนัก…
สายตาท่านชายเฉิงสี่กวาดมองไปยังบ่าวที่เฝ้าประตูแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดจึงไม่มีใบหน้าที่คุ้นเคยเลยเล่า
ทว่าการเปลี่ยนหน้าที่ของคนเฒ่าคนแก่ในบ้านนั้นเป็นเรื่องปกติ ท่านชายเฉิงสี่สลัดความคิดนั้นออกจากหัว แต่พอกลับมาถึงในเรือนก็อดคิดขึ้นมาอีกมิได้
“ชุนหลานมิได้อยู่ที่นี่แล้วหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างตกใจ
สาวใช้ของเขาถูกเปลี่ยนแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาหันไปมองสาวใช้ตรงหน้าที่หลบอยู่ด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน ในใจก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
หรือยามที่เขาไม่อยู่ชุนหลานจะทำอันใดผิดพลาดขึ้น
เป็นไปไม่ได้ ชุนหลานสาวใช้นางนี้เขารู้จักเป็นอย่างดี นางตั้งมั่นจะติดตามอยู่ข้างกายเขา ระมัดระวังตัวเป็นยอด
แล้วจะทำผิดได้อย่างไร
“ในบ้านเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้น พอเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉุกคิดขึ้นมา แม้ว่าจะเหมือนดั่งเก่าก่อน แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกที่แปลกไป
สิ้นเนื้อประดาตัว
ไม่ผิดแน่ ตระกูลของเขาต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วเป็นแน่
ท่านชายเฉิงสี่สั่นสะท้านอยู่ในใจ
“นายใหญ่ล้มป่วยเจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้ไม่รู้จะปิดบังอย่างไร ก่อนจะคุกเข่าแล้วบอกไป
ป่วยเป็นอะไรกัน จนสภาพบ้านเรือนถึงได้ลำบากยากแค้นถึงเพียงนี้! ท่านชายเฉิงสี่ตกใจจนแทบจะเป็นลม ไม่สนใจจะอาบน้ำล้างหน้าล้างตาอะไรทั้งนั้น เขาเดินดุ่มๆ ไปหาทางเรือนฮูหยินใหญ่ทันที
นายใหญ่เฉิงลุกจากเตียงได้แล้ว เพียงแต่ขยับกายได้ไม่ค่อยจะคล่องตัวนัก เขามองท่านชายเฉิงสี่ที่คุกเข่าร้องไห้มาได้พักใหญ่แล้ว ก่อนจะเกลี้ยกล่อมให้ลุกขึ้น
“รู้ว่ามิใช่เรื่องใหญ่อันใด จึงมิได้ให้คนไปส่งข่าวแก่เจ้า กว่าจะได้ไปร่ำเรียนกับท่านอาจารย์เจียงโจวนั้นมิใช่เรื่องง่าย จะให้ล้มเลิกอย่างสูญเปล่ากลางคันเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ยขึ้น
ท่านชายเฉิงสี่ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง เหล่าพี่น้องที่อยู่ข้างๆ ก็พากันร้องไห้ไปด้วย ฮูหยินใหญ่เฉิงเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยปลอบพวกเขา
“กลับมาก็ดีแล้ว ปีนี้จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที” นางเอ่ยพลางพินิจมองลูกชาย “ผอมลงตั้งเยอะ”
“ท่านแม่ ท่านดูอย่างไรน่ะ” แม่นางเฉิงหกเอ่ย “พี่สี่อ้วนขึ้นชัดๆ ท่านดูหน้าเขาสิกลมเสียขนาดนี้”
คนในเรือนพากันหัวเราะออกมา ฮูหยินใหญ่เฉิงก็หัวเราะไปทั้งขอบตาแดงก่ำ บรรยากาศดีขึ้นมาในที่สุด
ท่านชายเฉิงสี่มองน้องสาว รู้สึกว่านางรู้ประสาขึ้นแล้ว แต่ยามหันไปมองนางอีกครั้งกลับรู้สึกว่าสีหน้าของนางไม่ดีดังเก่าก่อน ราวกับโตเป็นสาวขึ้นมาไม่น้อย
โตขึ้นมาไม่น้อยไม่ใช่คำที่เหมาะสมจะใช้กับหญิงสาวในตระกูลของพวกเขา ลูกหลานผู้หญิงในตระกูลของพวกเขาล้วนแต่ถูกอบรมฟูมฟักมาอย่างเพรียบพร้อม กล่าวคือยามโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็วางตัวดีกิริยามารยาทงดงาม ไม่ใช่ว่าพอมองแล้วรู้สึกว่าแก่กว่าอายุเช่นนี้
อายุมีแต่จะร่วงโรย แต่คำว่าร่วงโรยไม่เหมาะกับเหล่าหญิงสาวตระกูลเฉิงเลยสักนิด
หรือเป็นเพราะการป่วยของท่านพ่อหรือ
ท่านชายเฉิงสี่คิดไปต่างๆ นานา เหล่าพี่น้องเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนากันแล้ว นั่นคือเรื่องของขวัญที่ท่านชายเฉิงสี่นำกลับมาด้วย
“…แน่นเต็มรถคันใหญ่เลย” ท่านชายเฉิงสามกล่าวเกินจริงไปเล็กน้อยพลางตบบ่าท่านชายเฉิงสี่ “เจ้าผ่านทางมาเจออันใดก็ซื้อไปตลอดทางเลยใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ ทั้งหมดนี่เตรียมมาจากเมืองหลวงต่างหาก” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มเอ่ยแล้วเร่งบ่าวรับใช้ให้ยกเข้ามา อาศัยจังหวะนี้แบ่งของขวัญให้แก่ทุกคน
เรื่องแจกจ่ายของขวัญเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจไม่ว่าเมื่อใด ฮูหยินใหญ่และนายใหญ่เฉิงคิดอยากให้บรรยากาศภายในบ้านคึกครื้นขึ้นมาบ้าง จึงได้คอยสร้างสีสันให้สนุก เพียงไม่นานภายในห้องก็มีของขวัญชิ้นเล็กชิ้นใหญ่กองอยู่เต็มไปหมด เสียงตื่นเต้นตะลึงตะลานดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
จนกระทั่งหยกสมปรารถนาชิ้นหนึ่งถูกส่งมาในมือ เนื้อบริสุทธิ์แวววาวของมันเตือนให้นางนึกถึงราคาที่แพงและสูงค่า ฮูหยินใหญ่เฉิงประหลาดใจขึ้นมาในทันที
“ชายสี่ เจ้าเอาเงินที่ไหนมาซื้อของพวกนี้กัน” นางเอ่ยถาม
บรรดาพี่น้องที่กำลังเล่นของขวัญของตัวเองอยู่นั้นต่างชะงักมือลงแล้วมองไปยังท่านชายเฉิงสี่เช่นกัน
“นั่นสิ เจ้าสี่ แท่นฝนหมึกที่เจ้าให้ข้านี่คงมิใช่ราคาน้อยๆ กระมัง” ท่านชายเฉิงสามเอ่ยถาม
แม่นางเฉิงหกจึงมองปิ่นล้ำค่าในมือของตน ฝีมือและรูปร่างเช่นนี้ไม่เคยเห็นในเจียงโจวมาก่อน จะต้องเป็นแบบใหม่ของเมืองหลวงเป็นแน่ ปีก่อนๆ นางยังได้ใส่เครื่องประดับอยู่ ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ตอนฉลองปีใหม่ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปประดับมัน อีกทั้งกิจการของที่บ้านก็ฝืดเคือง จนกระทั่งยามนี้ก็ยังมิได้แต่งหน้าแต่งตัว
แม่นางเฉิงหกพลิกปิ่นไปมาแล้วเงยหน้ามองท่านชายเฉิงสี่
ค่าใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมดโดนลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว พี่ชายที่ไปร่ำเรียนอยู่ข้างนอกผู้นี้เอาเงินมาจากไหนเพื่อซื้อของขวัญมากมายเพียงนี้กัน ดูจากสีหน้าของท่านแม่แล้ว เงินนี่ต้องมิใช่น้อยๆ เป็นแน่
ท่านชายเฉิงสี่ยังไม่ทันได้ตอบ ฮูหยินใหญ่เฉิงก็เอะใจแล้วตะโกนขึ้น
“ชายสี่ เงินครึ่งปีนี้ข้ายังมิได้ให้คนส่งให้เจ้าเลย!” นางตวาดลั่น นางตกใจตัวเองไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะลืมไปเสียได้ หรือลูกชายจะใช้เงินที่ส่งไปให้ตอนฉลองปีใหม่ของปีที่แล้วประหยัดจนมาถึงยามนี้ นั่นมันร้ายแรงเกินไปแล้ว!
ทว่าท่าทางของลูกชายไม่เห็นทุกข์ร้อนตรงไหนเลย…
“ไม่เป็นไร ท่านแม่ ข้ายังมีพอใช้อยู่” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยบอก
“จะพอได้อย่างไร เจ้าเอาเงินจากไหนมา” นายท่านใหญ่เฉิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ชี้พัดอันหนึ่งตรงหน้าของตน “พัดอันนี้ก็น่าจะตำลึงสองตำลึงกระมัง”
แพงถึงเพียงนี้เชียวหรือ สีหน้าของท่านชายเฉิงสี่ตกใจอยู่เล็กน้อย
“ท่านพ่อ อันที่จริงของเหล่านี้ข้ามิได้เป็นคนเตรียมขอรับ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าแดงเล็กน้อย
“เป็นผู้ใด” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถาม
“เป็นน้องสาวลูกคนโตของท่านอารองขอรับ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็มองออกไปด้านนอก “จริงสิ เหตุใดจึงไม่เห็นท่านอารองกับอาสะใภ้และน้องๆ เข้ามาเลยเล่าขอรับ ข้าไปเยี่ยมด้วยตัวเองดีกว่า”
“ช้าก่อน!” นายใหญ่เฉิงตะเบ็งเสียงดังขึ้น
คุณชายเฉิงสี่สะดุ้งตกใจ
“น้องสาวคนโตคนใด น้องสาวคนไหนของเจ้าที่ซื้อของพวกนี้ให้เจ้ากัน” นายใหญ่เฉิงถลึงตาถามขึ้น
ความคิดแวบขึ้นในหัวทำเอานายใหญ่เฉิงหายใจหอบกระชั้น
“น้องสาว ลูกคนโตของท่านอารองอย่างไรเล่าขอรับ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยบอก “ของพวกนี้ล้วนเป็นคนของนางที่อยู่ในเมืองหลวงซื้อมาให้ข้า ข้าจะไม่ปิดบังท่านพ่อท่านแม่ก็แล้วกัน ครึ่งปีนี้ล้วนเป็นพวกเขาที่ให้เงินกับข้า รถเอย เสื้อผ้าเอย ล้วนเป็นแม่นางปั้นฉินที่ซื้อให้ข้า ข้าจึงได้บอกว่าจะไปขอบคุณน้องสาวคนโตอย่างไรเล่า…”