พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 394 กลับมา (2)
เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงโครมครามก็ดังขึ้นภายในห้อง
ท่านชายเฉิงสี่มองของขวัญในมือบรรดาพี่น้องและมารดาตกลงพื้นด้วยความตกตะลึง ส่วนสีหน้าของพวกเขาต่างหวาดผวากันอยู่ไม่น้อย
“พวกเจ้า…” เขาเอ่ยปากขึ้นด้วยความตกตะลึง ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกขัดขึ้น
“เหตุใดเจ้าต้องพูดถึงนางด้วย!” แม่นางเฉิงหกกรีดร้องขึ้น นางลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วยกมือขึ้นชี้หน้าท่านชายเฉิงสี่ “เจ้าพูดถึงนางทำไม! หลายวันมานี้กว่าที่บ้านจะสงบได้ จะพูดถึงนางขึ้นมาอีกทำไม! เหตุใดเงาร้ายของนางจึงไม่จางหายไป! นางจากไปแล้วมิใช่หรือ ไปแล้วนี่ เหตุใดยังโผล่ออกมาอีก!”
นางยิ่งพูดก็ยิ่งเดือดพล่าน เงยหน้ามองไปรอบด้าน
หญิงผู้นั้น หญิงผู้นั้น เงาร้ายไม่จางหายไป นางไม่เคยจากไปไหน นางอยู่รอบๆ ตัวพวกนางมาโดยตลอด ต้องมาคอยตอแยพวกนางให้ตายให้ได้!
นังตัวซวยนี่! สิ่งชั่วร้ายนางนี้!
ภายในห้องพลันโกลาหลขึ้นมา ฮูหยินใหญ่เฉิงดึงแม่นางเฉิงหกมาปลอบด้วยตัวเองแล้วพานางส่งกลับไปพร้อมแม่นม
ท่านชายเฉิงสี่มึนงงมาตั้งนานแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่บ้านเลย เจ้าเล่ามาก่อนว่าที่เมืองหลวงเกิดเรื่องอันใดขึ้น” นายใหญ่เฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เขามองท่านชายเฉิงสี่ “หญิงนางนั้นเป็นอย่างไรกันแน่”
หญิงนางนั้น…
ท่านชายเฉิงสี่ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันน่ะหรือ ความจริงแล้วก็มิได้เกิดเรื่องใดขึ้น เขามาถึงเมืองหลวงต้องไปเยี่ยมเยือนน้องสาวผู้นี้ให้ได้ จากนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดก็มา ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับน้องสาว เดิมทีคิดว่าเป็นน้องสาวที่ต้องการให้เขาดูแล ผลสุดท้ายกลับตาลปัตรปรากฏว่าเป็นเขาที่ได้รับการดูแลจากน้องสาวแทน
“ข้ายังให้เงินนางเอาไว้ใช้เพราะกลัวว่านางจะถูกตระกูลโจวปฏิบัติไม่ดีด้วย” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยแล้วแย้มยิ้มขึ้นมา “ใครจะไปนึกว่าสิ่งที่นางไม่เคยขาดเลยก็คือเงิน…”
เขายังเคยเห็นบัญชีพวกนั้นมากับตา เขาคิดว่าชาตินี้ตัวเองไม่มีทางหาเงินพวกนั้นมาได้เท่านี้แน่ๆ…
“ข้ายังกลัวว่านางจะได้รับการปฏิบัติไม่ดีจากตระกูลโจวอยู่เลย แต่สุดท้าย…”
สุดท้ายแล้วถึงนางไม่ต้องออกหน้าเอง เพียงแค่บ่าวรับใช้ของนางตะโกนออกมาก็สามารถทำให้นายใหญ่โจวตกใจจนแทบเป็นลม…
แม้ว่าเรื่องราวภายหลังเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเหตุใดนายใหญ่โจวจึงได้กลัวนางถึงเพียงนั้น
“นายใหญ่โจวกลัวนางเพียงนั้น…” ท่านชายเฉิงสามพึมพำขึ้น “เหตุใดพวกเราจะไม่กลัวเล่า…”
อีกทั้งเพราะพวกเราไม่กลัวนาง จึงได้ลิ้มรสชาติของผลลัพธ์ที่ตามมาเช่นนี้
“ผลลัพธ์อันใดหรือ พี่สาม เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
นายใหญ่เฉิงเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง
“เหตุใดเจ้าไม่เขียนจดหมายเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกเราได้รู้!” เขาเท้าเข่ากัดฟันถาม “เรื่องใหญ่เพียงนี้ เหตุใดเจ้าไม่เขียนจดหมายมาบอกที่บ้าน!”
ท่านชายเฉิงสี่มองนายใหญ่เฉิงด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย
“ตอนที่ข้ารู้ น้องสาวก็กำลังจะกลับบ้านมาแล้ว ข้าคิดว่านางกลับไปเองแล้ว ข้ายังต้องเขียนจดหมายอันใดอีก” เขาเอ่ยบอก
นายใหญ่เฉิงยังไม่ทันได้กล่าวคำใด ร่างกายก็โอนเอนล้มลงกับพื้น
ภายในห้องพลันวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
“อาการป่วยของท่านพ่อเป็นอย่างไรกันแน่ รีบเชิญหมอฝีมือดีมาดูหน่อยเถิด” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยอย่างร้อนใจ ไหนจะแม่นางหกอีก ดูท่าทางของนางแล้วก็ป่วยหนักไม่น้อย ท่านแม่ก็ดูจะมิได้สบายดีนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงเหมือนล้มป่วยกันทั้งบ้านเช่นนี้!
“ไม่ว่าหมอที่ไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น!”
ฮูหยินใหญ่ที่รีบกลับมาชี้หน้าท่านชายเฉิงสี่พลางตะคอกกล่าว
“เจ้าอย่าได้พูดถึงนางอีก อย่าพูดถึงนางอีก! อย่าได้พูดถึงนางที่ไว้ชีวิตพวกเราทั้งตระกูลอีก!”
“ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว” นายใหญ่เฉิงหลับตาพึมพำอยู่ภายในห้อง “นางยังคงติดตามอยู่รอบตัวเรา ครอบงำพวกเราไว้ตลอดชีวิตนี้แล้ว ไม่ว่านางจะอยู่หรือไม่ เราก็หนีนางไปไม่พ้น…”
ท่านชายเฉิงสี่ถูกตวาดจนตกอกตกใจยกใหญ่
นาง…
เกิดอันใดขึ้นกับนางหรือ
นางไม่อยู่รึ แล้วนางไปไหนแล้วเล่า
ขณะที่ตระกูลเฉิงกำลังวุ่นวายเพราะพูดถึงเฉิงเจียวเหนียงขึ้นมา บนแม่น้ำกว้างใหญ่ของเมืองหลวงก็มีเรือหลวงลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาในเขตเมืองหลวง
ความหนาวเย็นได้เข้าปกคลุมเมืองหลวงในต้นเดือนสิบเอ็ดแล้ว ทว่ากลับไม่เป็นอุปสรรคต่อเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนหัวเรือเลยแม้แต่น้อย เขาเงยหน้ารับลมหนาวของเหมันตฤดู มองสะพานโค้งที่คล้ายสายรุ้งแต่ละแห่งที่ลอดผ่านข้ามศีรษะเขาไป
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อนขึ้นมา เขานั่งอยู่บนรถม้าที่เคลื่อนตัวข้ามแม่น้ำ เห็นหญิงผู้นั้นกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนเรือกลางแม่น้ำ ลอดผ่านสะพานสายรุ้งหลายแห่ง ตอนนั้นเหมือนว่าหัวใจของเขาได้ลอยลิบไปไกล หวาดกลัวที่เอื้อมคว้าเอามันกลับมาไม่ได้
ที่แท้การมองสะพานสายรุ้งอยู่กลางแม่น้ำนั้นงดงามเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าตอนนั้นนางจึงได้ยิ้มแย้มอย่างเบิกบานเพียงนั้น
ยามนี้นางไปอยู่ที่ใดกันหนอ จากกันเกือบปีแล้ว ไม่มีข่าวคราวของนางอีกเลย
เด็กหนุ่มที่อยู่บนหัวเรือใบหน้าขาวผ่องดุจหยก ดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย ผนวกกับอาภรณ์สีมรกตเข้มขลิบขอบทองที่สะบัดพลิ้วไปตามลมราวกับเทพเซียนจุติลงมายังโลกมนุษย์ ดึงดูดสายตามากมายจากทั้งในแม่น้ำและริมฝั่ง มีสตรีที่ใจกล้าโบกไม้โบกมือส่งเสียงมาให้ น่าเสียดายนักที่เด็กหนุ่มรูปงามดุจดั่งประติมากรรมหินแกะสลักผู้นี้ไม่สนใจโลกภายนอกแต่อย่างใด
“จวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ตรงเข้าไปยังจินสุ่ยย่วนเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” มีคนสาวเท้าเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเบา
จินสุ่ยย่วนคือสวนหลวงของราชวงศ์ที่ดูดน้ำจากแม่น้ำมาโดยตรง ปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงล่องเรืออยู่ที่นั่น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
ภายในห้องโดยสารเรือพลันมีเสียงเรียกดังขึ้น สีหน้าแข็งทื่อของเด็กหนุ่มพลันอ่อนโยนขึ้นมา เขาหันไปมองด้านในยกมือส่งสัญญาณบอก
องครักษ์นายหนึ่งก็จูงมือเด็กน้อยผู้หนึ่งเดินออกมา
รูปร่างหน้าตาของเด็กน้อยคนนั้นไม่เหมือนกับองค์ชายรองในสมัยก่อนอีกแล้ว เหมือนกับที่เฉิงเจียวเหนียงได้บอกไว้ เขากินอิ่มนอนหลับและแข็งแรงเป็นอย่างมาก นั่นเพราะเขาตามใจตัวเองอย่างมากจึงได้อ้วนท้วนภายในระยะเวลาเกือบปีมานี้ สิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยนไปก็คือดวงตาที่ยังคงเหม่อลอยเฉื่อยชาและน้ำลายที่ไหลไม่หยุด ยิ่งทำให้ดูเป็นคนสติไม่สมประกอบมากขึ้นอย่างชัดเจน ทำเอาคนเห็นแล้วแทบจะไม่กล้ามองมาตรงๆ
ทว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับไม่ละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับมีความสุขดั่งเห็นของล้ำค่าที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น
“ลิ่วเกอร์ มานี่มา” เขากวักมือเรียก
เด็กน้อยจำไม่ได้ว่านี่คือการเรียกจึงโวยวายดีดดิ้น แต่องครักษ์ต่างชินเสียแล้วจึงคว้าเขาจับส่งให้ถึงมือจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งยองลง ให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์ชายรอง แม้ว่าสายตาขององค์ชายรองจะไม่เคยมองมาที่เขาเลยสักครั้ง
“ลิ่วเกอร์” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มบาง มือหนึ่งจูงมืออีกฝ่ายเอาไว้ อีกมือหนึ่งกดไหล่เขาเอาไว้ “พี่พาเจ้าไปดูภูเขาแม่น้ำกว้างใหญ่มาแล้ว เช่นนั้นยามนี้…”
เขาพูดพลางลุกขึ้น โอบไหล่เด็กน้อยเอาไว้ อีกมือชี้ไปเบื้องหน้า
“พี่จะพาเจ้าคว้าทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้านี้มาไว้ในมือเจ้า”
เขาพูดจบก็กำมือหมัดแล้วก้มหน้าลงมองเด็กน้อยที่กำลังยิ้มอย่างเหม่อลอยในอ้อมกอด
“ทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้านี้เป็นของเจ้า”