พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 395 มีหัวใจ
ชิ่งอ๋องกลับมาแล้ว
ข่าวคราวนี้มิได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก บางคนถึงขนาดนึกไม่ออกว่าชิ่งอ๋องคือผู้ใด
จากไปไม่ถึงปี ทุกอย่างได้เปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา
รถสี่ล้อที่เคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่วว่องไวทำให้อิฐสีมรกตบนพื้นกระทบกันเกิดเสียงดังขึ้น ทำลายความเงียบงันของวังหลวง
ผู้ที่สามารถนั่งรถม้าอยู่ในวังได้มีเพียงเหล่าองค์ชายเท่านั้น พี่น้องของฮ่องเต้มีไม่มากนัก อีกทั้งยังแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งอยู่นอกเมือง ไม่มีใครกลับมาตลอดทั้งปีแน่นอน ครั้งล่าสุดที่รถม้าหน้าตาแบบนี้เคลื่อนไปมาอยู่ในวังหลวงก็คือเมื่อปีก่อน ยามตอนที่จวิ้นอ๋องพาชิ่งอ๋องออกจากวังไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังหลับตาสงบจิตสงบใจอยู่ภายในรถ พอได้ยินเสียงล้อรถและเสียงเกือกม้าดังกุบกับก็พลันลืมตาขึ้น เขาเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก
ขันทีรอบด้านรีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
สายตาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องตกอยู่บนม้าที่ใช้ลากรถตัวนั้น
เสียงกระทบดังกุบกับกังวานขึ้นเป็นจังหวะมาให้ได้ยิน
“บนกีบม้านั่นคือสิ่งใด” เขาเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท คือเกือกม้าเหล็กพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียิ้มทูลตอบ
“เกือกม้าเหล็กรึ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยทวน
“ฝ่าบาทออกไปต่างถิ่นเสียนานจึงไม่ทราบถึงข่าวคราวในเมืองหลวง นี่เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สำนักม้าทำขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ สวมเข้ากับกีบม้าเพื่อปกป้องกีบของมัน ยามนี้ม้าในกองทัพต่างใช้วิธีนี้กันทั้งสิ้น ลดการสูญเสียไปได้มากนัก ชื่อเรียกนี้เป็นฝ่าบาทเป็นทรงตั้งให้พ่ะย่ะค่ะ ม้าในวังหลวงก็ใช้สิ่งนี้กันหมด เวลาเดินเสียงก็ไพเราะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียิ้มเอ่ย
กระทั่งม้าก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หนึ่งปีมานี้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากมายจริงๆ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปล่อยม่านลง
ภายในตำหนักของไทเฮามีผู้คนนั่งกันอยู่เต็มไปหมด ทุกคนต่างมองไปยังนอกประตูด้วยท่าทางกังวลไม่น้อย
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องเสด็จ” เสียงประกาศของขันทีดังขึ้นจากนอกประตูใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
คนที่นั่งอยู่ในตำหนักต่างพากันยืดตัวตรง ประตูถูกผลักให้เปิดออก เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามา ฝีเท้าของเด็กหนุ่มที่เดิมทีเนิบช้าพอเหยียบเข้ามาด้านในก็กลายเป็นไวขึ้น
“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
เขาก้าวเข้าไปหาแล้วโขกศีรษะคำนับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับสะอื้น
น้ำตาของไทเฮาก็พลันไหลริน นางยื่นมือขึ้นรีบเอ่ยเรียก เหล่าชายาและสนมที่อยู่รอบด้านต่างพากันร่ำไห้ออกมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหัวจรดพื้นอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไทเฮา ไทเฮาดึงเขามาพินิจมองอย่างละเอียด ก่อนจะร้องไห้ออกมาอีก
“ดูสิ ผ่ายผอมถึงเพียงนี้แล้ว…” นางเอ่ยขึ้น
เหล่าสนมที่อยู่ด้านข้างเช็ดน้ำตาพลางดันองค์ชายใหญ่เบาๆ
“ท่านพี่” องค์ชายใหญ่เดินเข้าไปเรียกหา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปมองเขาแล้วพยักหน้าให้
“ฝ่าบาทสูงขึ้นแล้ว” เขาเอ่ย
องค์หญิงองค์อื่นๆ ต่างพากันเข้าไปหา เพียงไม่นานตำหนักใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงเด็กๆ ดังเจี๊ยวจ๊าว จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับน้องทีละคนทีละคน
ไทเฮาดึงเขาให้ออกมาดูด้านนอก
“ชิ่งอ๋องเขา…” นางเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวถอยหลังไปสองก้าว
“ชิ่งอ๋องนั่งเรือมาเหน็ดเหนื่อย พอเข้าวังมาก็หลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้จึงได้ส่งเขากลับไปก่อนแล้ว” เขาเอ่ยบอกแล้วโค้งคำนับ “ไทเฮา โทษที่ข้ามิได้ปลุกเขา ไทเฮา ชิ่งอ๋องไม่ใช่ลิ่วเอ๋อร์คนนั้นอีกต่อไปแล้ว ขอไทเฮาโปรดอย่าได้ปฏิบัติต่อเขาดั่งคนปกติ โปรดเห็นใจเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคนี้ทำให้ไทเฮาน้ำตาหลั่งไหลพลั่งพรูออกมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากเอาไว้
ความรู้สึกห่างเหินที่เกิดขึ้นเพราะห่างจากกันไปนานแรมปีได้กลับมาอีกครั้งทันใด
ด้านหน้าตำหนัก ไทเฮาก้าวเท้ายาวๆ ไปพร้อมกับกุ้ยเฟยและจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ขนาบข้างซ้ายขวาสีหน้าจนใจ ส่วนด้านหลังของพวกนางมีบรรดาพระชายาและสนมที่นุ่งห่มผ้าคลุมหลากสีสันเดินติดตามมา องค์ชายใหญ่และองค์หญิงทั้งหลายก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แม้แต่องค์หญิงองค์สุดท้องยังถูกพระชายาจูอุ้มเอาไว้ในอกเดินอออกมาด้วย
“ไทเฮา อย่าออกไปเลยเพคะ อากาศหนาวเพียงนี้” กุ้ยเฟยกระซิบบอกอีกครั้ง
“ใช่พ่ะย่ะค่ะไทเฮา ลิ่วเกอร์หลับไปได้ไม่นาน อีกเดี๋ยวก็ตื่นแล้ว ข้าจะพาเขามาเข้าเฝ้าไทเฮาเองพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“ตามปกติแล้ว ข้าเป็นไทเฮา เขาเป็นหลานชาย แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเขาที่มาเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม แต่เจ้าบอกว่าเขามิใช่ลิ่วเกอร์คนเดิมแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่มองว่าเขาเป็นหลานชายข้า” ไทเฮาสะอื้นตอบพลางเร่งฝีเท้าไม่หยุด “ข้าไม่ทำตามธรรมเนียม ข้าจะไปดูเขา”
กุ้ยเฟยเช็ดน้ำตา จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ไม่พูดอะไรต่อ สีหน้าโศกศัลย์
“ข้าทำให้ไทเฮาต้องเจ็บปวดใจ” เขาเอ่ยเสียงเบา
เจ้าเพิ่งจะรู้หรือไร นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ กุ้ยเฟยเช็ดน้ำตาไปพลาง เหลือบมองเด็กหนุ่มจากหางตาด้วยความเคียดแค้น
ยังไม่ทันจะเดินถึงหน้าประตูตำหนักก็เห็นขันทีสองนายวิ่งกระหืดกระหอบออกมา
“องค์ชายตื่นแล้ว องค์ชายตื่นแล้ว” พวกเขาตะโกนบอกด้วยสีหน้าตื่นตระหนกราวกับเจอเรื่องที่น่ากลัวอย่างไรอย่างนั้น
นี่กำลังรังเกียจชิ่งอ๋องอยู่หรือไร
ชิ่งอ๋องมิใช่เด็กน้อยปกติอีกต่อไปแล้ว คนพวกนี้ต่างกำลังรังเกียจเด็กที่ผิดปกติอยู่หรือ
ไทเฮาโกรธกริ้วขึ้นมาทันใด
“ตบปากเดี๋ยวนี้!” นางตะหวาดขึ้น “ไพร่สถุนพวกนี้นี่ ตามเข้ามาปรนนิบัติชิ่งอ๋องด้วย!”
บรรดาขันทีพากันตกอกตกใจคุกเข่าโขกหัวกราบไหว้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบออกหน้าไกล่เกลี่ยทันที
“ไทเฮา พวกเขามิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ลิ่วเกอร์ติดตามข้ามาช้านาน พอเห็นคนเข้าก็จะหวาดกลัว” เขาเอ่ยพลางสาวเท้าเข้าไปด้านใน “ขอไทเฮาโปรดทรงอภัยด้วย ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
ไม่รอให้ไทเฮาอนุญาต เขาก็ย่างก้าวเข้าไปในตำหนักเสียแล้ว ก่อนจะวิ่งเข้าไปในที่สุด
ไทเฮามองแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่วิ่งออกไปอย่างรีบร้อน จมูกก็พลันคัดขึ้นมาอีกครั้ง นางทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะย่างเท้าเดินตามเข้าไป
ภายในตำหนักมีเสียงร้องแปลกๆ ดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว เสียงแหบแห้งแหลมสูง เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ
องค์หญิงทั้งสองเบียดกันอยู่ด้านหลัง สีหน้าพวกนางต่างดูหวาดกลัว
แม้ว่าองค์ชายใหญ่จะยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคง ทว่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับกำไว้แน่น
ทุกคนยืนอยู่ภายในตำหนัก มองไปยังม่านที่ถูกยกขึ้นก็จะเห็นเด็กน้อยที่อยู่บนตั่งเตียงด้านในนั้น
เมื่อหนึ่งปีก่อนยามเกิดเรื่องกับเด็กคนนี้ได้ไม่นาน เขาก็ออกจากวังไป ทุกคนต่างไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเขาบาดเจ็บในสภาพเช่นไร อีกทั้งในตอนนั้นไม่ว่าจะบาดเจ็บอยู่ในสภาพใดก็ได้เตรียมใจกันไว้แล้ว ทว่าผ่านไปหนึ่งปี พวกเขาต่างลืมกันไปแล้วว่าเด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บ และจดจำได้เพียงรูปลักษณ์ที่องค์ชายรองเคยเป็นเท่านั้น
ใบหน้าแดงระเรื่อ รอยยิ้มกว้าง ดวงตาแวววาวสดใส กระโดดไปมาอย่างซุกซนน่ารัก
ทว่ายามนี้ทุกคนมองไปยังเด็กที่กำลังนอนอยู่บนเตียงแล้วก็ต่างรู้สึกราวกับฝันไป
เด็กคนนั้นเป็นใครกัน หรือว่าเด็กคนนั้นจะเป็นองค์ชายรอง
นั่นไม่อาจเรียกได้ว่าเด็กได้อีกแล้ว พวกนางไม่เคยเห็นเด็กที่อัปลักษณ์จนทำคนตกอกตกใจเช่นนี้กันมาก่อน
อ้วนท้วมเป็นก้อนกลม แขนโบกวาดไปมา ชูคอร้องอาอา น้ำมูกน้ำลายไหลไม่หยุด เหมือนกับเขารับรู้ได้ว่ามีคนอยู่มาก ก็หันหน้ามากลอกตาขาวโพลนใส่
กรี๊ด เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากองค์หญิงองค์หนึ่งที่ตกใจจนต้องหวีดร้องออกมาแล้วไปหลบอยู่ด้านหลัง
“ไสหัวไป!”
ไทเฮาตะหวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางสนมรีบดึงองค์หญิงให้คุกเข่าลง
“รีบยอมรับผิดเสีย รีบยอมรับผิด” นางเอ่ยบอกเสียงสั่นพลางกดศีรษะขององค์หญิงให้โขกกับพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
องค์หญิงที่ขวัญเสียติดต่อกันสองครั้งสองคราร้องไห้ออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว
“ฟังไม่รู้เรื่องหรือไร บอกให้ไสหัวไป” ไทเฮาตะหวาดขึ้นอีกรอบ
กุ้ยเฟยโบกมือให้สนมนางนั้น สนมนางเช็ดน้ำตาก้มหน้าจูงองค์หญิงออกไปโดยพลัน
“คนที่กลัวก็ออกไปให้หมดเถิด” ไทเฮาเอ่ยเสียงเนิบ กวาดตามองชายาสนมและองค์หญิงด้านหลังด้วยสีหน้าขุ่นมัว
แต่ไม่มีผู้ใดโง่จนถึงขั้นออกไปจริงๆ เลยสักนิด
“เหตุใดไทเฮาถึงพูดเช่นนั้นเล่าเพคะ จะหวาดกลัวได้อย่างไร นั่นคือลิ่วเกอร์นะเพคะ เป็นลิ่วเกอร์ที่เราเฝ้ามองเขาเติบโตมา” พระชายาจูเช็ดน้ำตาเอ่ยขึ้นพลางอุ้มองค์หญิงน้อยไว้ในอ้อมอกเดินเข้าไปหา “ซูหนิง ดูสิ นั่นคือท่านพี่ของเจ้า นั่นก็ท่านพี่เจ้า เรียกท่านพี่เร็ว”
องค์หญิงน้อยที่อายุได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ไหนเลยจะเอ่ยเรียกท่านพี่ได้ ยังไม่รู้ความใดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กลัวถึงความหวาดกลัวอันใดเช่นกัน นางโบกมือไปมาส่งเสียงอ้อแอ้ออกมา
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ไทเฮาทรงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง สีหน้ากลับมาดีดังเดิม ก่อนจะหันไปมองด้านในนั้นอีกครั้ง
เด็กน้อยยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอน ยกมือขึ้นสูงตะโกน จิ้นอันจวิ้นอ๋องดึงมือเขาลงแล้วเอาเสื้อคลุมตัวหนึ่งสวมให้แก่เขา พลางกึ่งคุกเข่าผูกปมให้ ไม่รู้ว่ากระซิบพูดอันใดแล้วเงยหน้าหัวเราะกับเด็กน้อยคนนั้น
สวมเสื้อผ้า ใส่รองเท้า เช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้า ป้อนน้ำ เป็นเขาทำเองทั้งหมด ขันทีที่อยู่ด้านข้างกลับรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินและวุ่นวาย
การฝึกฝนให้คุ้นชินเช่นนี้ต้องเป็นการดูแลปรนนิบัติมาเนิ่นนานแล้วจึงจะทำได้
ไทเฮาเริ่มแสบจมูกขึ้นมา มองเด็กหนุ่มที่ป้อนน้ำให้เด็กน้อยแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มด้วยรอยยิ้มผู้นั้น
“…ลิ่วเกอร์เป็นเด็กดีเสียจริง” เขาเอ่ยแล้วก้มหน้าเอาหน้าผากชนกับเด็กน้อยครู่หนึ่ง
“ลิ่วเกอร์เก่งมาก!”
ทั้งคู่ชนศีรษะกันอยู่ในตำหนัก เด็กน้อยที่เด็กกว่าหัวเราะออกมาเล็กน้อย คว้าแขนคนพี่ไว้
‘ท่านพี่ ท่านพี่ เล่นอีก เล่นอีก’
ไทเฮายินดีขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางเดินเข้าไปหาก้าวหนึ่ง ฝีเท้านั้นทำลายภาพลวงตาลงย่อยยับ เสียงสดใสของเด็กน้อยมลายหายไปแล้ว แทนที่ด้วยเสียงที่เปล่งออกมาอย่างไร้ความหมาย
ลิ่วเกอร์ของนางไม่กลับมาอีกแล้ว
ไทเฮายกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้น เหล่าสนมด้านหลังก็ร่ำไห้กันขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
องค์ชายใหญ่สีหน้าแข็งทื่อ เขาเห็นสายตาของกุ้ยเฟยที่ส่งมาให้ เขารู้ว่ายามนี้ต้องร้องไห้ตามไปด้วย แต่เขากลับร้องไม่ออกสักนิด
เด็กชายมองเด็กน้อยสติไม่สมประกอบคนนี้อย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีเพียงความตกใจเท่านั้น
นี่เป็นใครกัน นี่มิใช่ลิ่วเกอร์แน่นอน นี่ไม่ใช่น้องชายที่รูปงามกว่าเขา ฉลาดกว่าเขาและคนที่เสด็จพ่อโปรดปรานมากกว่าเขา
น้องชายคนนั้นของเขาไม่มีอีกแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว
ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน สายตาเขากวาดมองทุกคนภายในห้องนี้ ทุกคนต่างกำลังโศกเศร้า เอาอกเอาใจและทะนุถนอมเด็กคนนั้น
เช่นนี้ก็ดี ทุกคนยังรักและปกป้องเขาอยู่ เขาอยากจะทำอันใดก็ให้เขาทำ ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเบิกบานเช่นนี้ด้วยกระมัง มิฉะนั้นจะแย้มยิ้มอย่างชื่นบานเช่นนั้นได้อย่างไร
มุมปากขององค์ชายใหญ่ค่อยๆ แย้มเป็นรอยยิ้มขึ้นมา
เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก เช่นนี้ดีที่สุด
ยามจิ้นอันจวิ้นอ๋องมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้นั้นก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว
“ไปหาหมอมาเป็นอย่างไรบ้างเล่า” ฮ่องเต้ตรัสถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
“ความจริงแล้ว ต่อจากนั้นมาก็มิได้หาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยแล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้ฝ่าบาท พลางหยิบกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากด้านข้างแล้วยื่นถวายให้ “นี่เป็นของกำนัลที่นำมาถวายให้แก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทหลุดยิ้มออกมา
“ดูท่าแล้วจะมิได้ไปหาต่ออีกจริงๆ ซ้ำยังมีกะจิตกะใจนำของขวัญมาให้เราอีก” ฝ่าบาทเอ่ย
ขันทีที่อยู่ด้านข้างรีบรับมาคลี่ออก ฮ่องเต้ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
“…ข้าไม่รู้ว่าพาลิ่วเกอร์ไปที่ไหนดี วันนั้นข้านั่งอยู่บนเขาเนิ่นนานทีเดียว เห็นอาทิตย์ขึ้นสู่ฟากฟ้า ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อยลอยเกลื่อน แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดหมู่เมฆงดงามหาใดมาเปรียบได้ ข้าจึงคิดขึ้นมาว่าลิ่วเกอร์ชอบดูแผนที่ ฝ่าบาทก็เช่นกัน แต่ฝ่าบาทคงไม่เคยได้เห็นภูเขาสูงใหญ่ แม่น้ำลำธารอันกว้างขวางที่งดงามกับตาตัวเองเป็นแน่ ข้าจึงได้พาลิ่วเกอร์ไปดูภูธารอันกว้างใหญ่จนถ้วนทั่ว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อ
“…นี่เป็นรูปที่ข้าวาดเอง มิได้ไปหาจิตรกรท้องถิ่นให้วาดให้ ข้าอยากจะวาดรูปที่สื่ออารมณ์ซ่อนความหมายไว้ภายใน หากไปให้จิตรกรเหล่านั้นวาดให้ รูปก็จะมาจากสายตาของพวกเขา ข้าอยากวาดภูเขาผืนน้ำในสายตาของตัวเอง เป็นความรู้สึกของข้าที่ได้สัมผัสถึง ความรู้สึกที่ได้มาเห็นภูผามหึมา ลำธารยาวกว้างใหญ่ไพศาล จึงอยากเอามาให้ฝ่าบาทได้ดูพ่ะย่ะค่ะ…”
ฝ่าบาทมองดูม้วนภาพวาดที่กางออกเบื้องหน้า ภาพเค้าร่างน้ำหมึกบนนั้น ไม่ว่าจะเป็นภูผาสูงใหญ่ ธารากว้างขวาง เทือกเขาสลับซับซ้อน หรือกระแสธารใสไหลริน ถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีนัก ลายเส้นก็เปราะบางไม่แข็งแรง ทว่ากลับสดชื่นมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ขณะที่ภาพกางออกอยู่นั้นราวกับว่าพระองค์ได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าหุบเขาตระหง่านสูงและธาราใสฉ่ำเย็นด้วยตัวเอง
ใครๆ ก็ต่างพูดกันว่าทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้านี้เป็นของฮ่องเต้ ทว่าตัวเขากลับมิเคยได้เห็นสรรพสิ่งที่อยู่ใต้ผืนฟ้านี้มาก่อนเลย สิ่งที่พระองค์มองเห็นได้คือผืนดินของวังหลวงในเมืองหลวงแห่งนี้ ไกลออกไปหน่อยก็คือตรอกซอยที่ทรงเสด็จผ่านในคราที่ทรงทำพิธีเซ่นไหว้บรรพชนนอกวัง
ทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้านี้เป็นของฮ่องเต้ แต่พระองค์กลับถูกกักขังเอาไว้ในวังหลวงอันคับแคบแห่งนี้ คิดดูแล้วทั้งน่าขันและน่าเศร้าใจ
เขาเองก็อยากจะออกไปดูทุกสรรสิ่งใต้ฟ้านี้ อย่าว่าแต่จะทำได้จริงเลย เพียงแค่ติดก็ถูกบรรดาขุนนางทราบเข้า ก็ต้องพากันโวยวายตำหนิพระองค์ราวกับจะสูญสิ้นเอกราชเป็นแน่
โอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์ เขาคือโอรสแห่งสวรรค์ที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดโอรสแห่งสวรรค์คนต่อไปได้
ฝ่าบาทมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ไม่พบกันเพียงหนึ่งปีใบหน้าของอีกฝ่ายดูซูบผอมนัก ใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อ แววตาก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
“เจ้ามีหัวใจแล้ว” เขาพยักหน้าพลางขึ้น