พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 396 แนะนำ
สิ่งที่หายากที่สุดบนโลกนี้คือหัวใจ หัวใจที่จริงใจ
นี่คือสิ่งเดียวที่โอรสแห่งสวรรค์ผู้ครอบครองทุกสรรพสิ่งไม่อาจปฏิเสธได้
“เป็นหัวใจของข้าเอง แล้วก็เป็นหัวใจที่ฝ่าบาทคอยอบรบบ่มเพาะมานานหลายปีพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องค้อมตัวลงแล้วเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้พยักหน้า
“ไปดูที่ตำหนักไทเฮากัน” เขาเอ่ยเสียงเนิบ
ผู้ใดก็ต้องการคนที่จิตใจกตัญญูกตเวทีเช่นนี้ ถึงจะเป็นตัวแทนของลูกก็ยังว่าดี
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับ
ยามออกมาจากตำหนักของฮ่องเต้ ความมืดมิดยามราตรีก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งวังหลวงแล้ว แสงสว่างจากโคมไฟถูกจุดขึ้น ขันทีเดินประกบหน้าหลังถือตะเกียงอยู่มือ เดินนำทางเขาออกไปอย่างนอบน้อม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนอยู่หน้าขั้นบันได ทอดสายตามองประตูวังที่อยู่ไกลออกไป
เขายกมือขึ้นมานับนิ้ว ราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง
“องค์ชายคำนวณอันใดอยู่หรือ” ขันทีที่อยู่ด้านหลังกระซิบถาม
“นับวันน่ะ” ขันที่อยู่ข้างกันกระซิบตอบ น้ำเสียงฟังดูกลัดกลุ้ม
“นับวันอะไรหรือ” ขันทีผู้นั้นถามอย่างสงสัย
ขันทีอีกคนไม่ตอบ แต่กลับมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่อยู่หน้าขั้นบันได
นับวันรอคอยที่จะจากวังแห่งนี้ไป นับวันที่ตนจะได้เป็นอิสระ…
วันนี้คือวันที่สิบแปดเดือนสิบเอ็ด วันที่พวกเขาคอยนับนิ้วมาแล้วครั้งไม่ถ้วน วันที่พวกเขารอคอยให้มาถึง ปีที่แล้วพลาดไป ปีนี้ก็พลาดไปเช่นกัน วันหน้าก็อาจจะพลาดไปเช่นกัน
“กลับวัง”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เขาหันหลังกลับก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวเข้าไป ลมหนาวโบกโชย ท้องฟ้ามืดมิด
เข้าเดือนสิบเอ็ดเพียงพริบตาเดียวเดือนหนึ่งก็มาถึง ปีใหม่มาเยือนอีกครั้ง
งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ของวังหลวงในปีนี้ครื้นเครงกว่าเดิมนัก นั่นเป็นเพราะฝ่าบาทอารมณ์ดี สุขภาพก็ดีขึ้นมาก หากเทียบกับปีก่อน เพราะองค์ชายรองได้รับบาดเจ็บจึงทำให้บรรยากาศในวังดูหดหู่ยิ่งนัก บรรยากาศในปีนี้จึงดูคึกครื้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ยามกุ้ยเฟยพาองค์ชายใหญ่มาถึงหน้าประตูตำหนักของไทเฮา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมา นอกจากเสียงหัวเราะของไทเฮาแล้ว ยังมีหัวเราะแปล่งหูพิลึกอีกเสียงดังขึ้น
องค์ชายใหญ่ขมวดคิ้ว
“ข้าไม่เข้าไปแล้ว” เขาหันหลังกลับทำท่าจะเดินออกไป
กุ้ยเฟยเอื้อมมือไปคว้าเขาไว้
“ชิ่งอ๋องก็อยู่ เหตุใดเจ้าต้องหลบหน้าด้วย” นางขมวดคิ้วถาม
“ข้าไม่ได้หลบหน้า ข้าก็แค่ไม่อยากเห็นเขาก็เท่านั้น” องค์ชายเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้ายังมีธุระต้องทำอีกมาก ไม่มีเวลาเล่นกับคนบ้าหรอก”
เขาพูดจบแล้วเดินผ่านกุ้ยเฟยไปอย่างไม่แยแส
กุ้ยเฟยตะโกนเรียกให้เขาหยุดอยู่หลายหนแต่ก็ไม่เป็นผล
“ซื่อเกอร์นับวันยิ่งดื้อด้านไปเสียทุกที” นางเอ่ย
“กุ้ยเฟย นั่นแปลว่าองค์ชายมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีข้างกายยิ้มเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ได้ข่าวมาว่ายามประชุมราชสำนักเมื่อวานนี้ องค์ชายใหญ่ก็กล้าถกเถียงกับเหล่าขุนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คนเป็นย่อมภูมิใจในตัวลูกอยู่แล้ว รอยยิ้มสงบผุดขึ้นมาบนหน้าของกุ้ยเฟย
กุ้ยเฟยเดินเข้ามาในตำหนัก ไทเฮากำลังป้อนน้ำแกงให้ชิ่งอ๋องด้วยตนเอง ถึงจะกินไปเพียงครึ่งทั้งยังหกเลอะเทอะไปกว่าครึ่ง เพียงเท่านี้ก็ทำให้ไทเฮาดีใจไม่น้อยแล้ว
“เหว่ยหลัง เจ้าดูสิ ลิ่วเกอร์จำข้าได้แล้วใช่หรือไม่” นางเอ่ย
จำได้ก็บ้าแล้ว กุ้ยเฟยรำพึงอยู่ในใจ นางมองดูเด็กน้อยที่กำลังหัวเราะเหมือนคนไร้สติ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ไทเฮาอยู่กับชิ่งอ๋องทุกวันเช่นนี้ ชิ่งอ๋องย่อมจำได้แน่นอนเพคะ” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคำนับกุ้ยเฟย ก่อนจะดึงตัวชิ่งอ๋องมาใกล้แล้วขอตัวลา
“นั่งที่นี่สักพักก่อน จะรีบร้อนไปใย ข้าเองก็ไม่ได้เจอพวกเจ้านานแล้วเหมือกัน” กุ้ยเฟยเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มแต่ยังคงยืนยันว่าจะกลับ ก่อนจะพาตัวชิ่งอ๋องออกไป
“กลัวว่าพวกเจ้าจะตกใจน่ะสิ” ไทเฮาเอ่ย
นอกจากจะมาหาไทเฮาเป็นครั้งคราวแล้ว ประตูตำหนักของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็แทบจะปิดสนิท ยามอยู่ที่ตำหนักของไทเฮา หากมีพระชายาหรือสนมนางใดมาเข้าเฝ้าไทเฮา เขาก็มักจะรีบขอตัวลาในทัน
“ข้าจะกลัวได้อย่างไร ไทเฮาอย่าได้เหมารวมข้าเช่นนั้นสิเพคะ” กุ้ยเฟยเอ่ย ก่อนจะคุยเรื่องงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ ดูท่าทางไทเฮาเองก็อารมณ์ดีไม่น้อย นางจึงได้ลองหยั่งเชิงถามว่า “ใช้โอกาสยามปีใหม่นี้ สร้างตำหนักนอกวังให้แก่จิ้นอันจวิ้นอ๋องดีหรือไม่เพคะ…”
เมื่อสิ้นเสียงขอนาง ใบหน้าของไทเฮาก็บึ้งตึงขึ้นมาในทันใด
“สร้างอันใดกัน เขาไม่ได้จะออกไปอยู่ข้างนอกเสียหน่อย” ไทเฮาพูดไปตามตรง
“ไทเฮาเพคะ ปีใหม่นี้จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็อายุสิบแปดปีแล้วนะเพคะ” กุ้ยเฟยเอ่ยย้ำเตือน
“สิบแปดปีแล้วอย่างไรเล่า ทีตอนนั้นผิงอ๋องยังอยู่ในวังจนอายุสามสิบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” ไทเฮาขมวดคิ้วเอ่ย “ผู้ใดนินทาอะไรลับหลังอีกหรือ”
“ไม่มีเพคะ ไม่มีเพคะ” กุ้ยเฟยก้มหน้าในทันที “ข้าเพียงแค่หวังดี”
ไทเฮาส่งเสียงฮึดฮัด
“เขาเพิ่งจะกลับมา อีกอย่างชิ่งอ๋องก็ไม่ยอมห่างจากเขาเลย ข้าไม่ยอมให้เขาออกไปอยู่ข้างนอกเป็นแน่” นางเอ่ย
เสียงโครมครามดังขึ้น จานหยกแตกละเอียดกองอยู่เบื้องหน้าของกุ้ยเฟย เหล่านางกำนัลด้านนอกพากันถอยออกไป ก่อนจะเฝ้าประตูไว้มิให้ผู้ใดเข้ามา
….
“ชิ่งอ๋องไม่ยอมห่างจากเขาอย่างนั้นหรือ เหตุใดจะห่างไม่ได้ มีคนตั้งมากมายเพียงนี้ จะดูแลเด็กสติไม่สมประกอบสักคนไม่ได้เชียวหรือ”
“กุ้ยเฟยระวังวาจาด้วย” ขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกาเอ่ยด้วยไปหน้าเคร่งเครียด
กุ้ยเฟยยกพัดขึ้นมาโบกปัดดับความขุ่นมัวในใจ
“ข้าว่าที่ไทเฮาให้เขาอยู่ในวังต่อต้องมีแผนการอื่นอีกเป็นแน่ ยามนี้ฝ่าบาทร่างกายแข็งแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ก็คงจะหมายจะมีลูกหลานเพิ่มสินะ ดูสิดู ฝ่าบาทเพิ่งหายดีได้ไม่เท่าไหร่ ก็ส่งนางสนมพระชายาพวกนั้นไปอยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว มิได้สนใจสุขภาพร่างกายของฝ่าบาทเลยสักนิด!” นางกดเสียงให้ต่ำพล่างเอ่ยบ่นอย่างไม่พอใจ “ถึงจะมีใครท้องขึ้นมาจริงๆ แต่หากคนรู้เข้าจะเป็นเรื่องดีหรืออย่างไร จิ้นอันจวิ้นอ๋องปีนี้อายุสิบแปดแล้ว! หากเป็นลูกหลานตระกูลอื่นคงเป็นพ่อคนแล้วด้วยซ้ำ! พอถึงตอนนั้น…”
“กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย! ” ขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกาทนฟังต่อไปไม่ไหว ขมวดคิ้วตวาดลั่น “อยากตายหรืออย่างไร เหตุใดถึงพุดเช่นนี้!”
“ถึงข้าจะไม่พูด ช้าหรือเร็วคนอื่นก็พูดอยู่ดี” นางเอ่ยเสียงเย้ยหยัน แต่ก็ไม่กล้าพูดต่อ ก่อนจะยกจอกทองคำขึ้นมาดื่มชา
ขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกาทอดถอนใจ
“อันที่จริงกุ้ยเฟยจะร้อนใจไปใย ยามนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในวังหรือนอกวัง ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอันใดกับท่าน” เขาเอ่ย “ดูแลชิ่งอ๋องอย่างใกล้ชิด ได้รับความซาบซึ้งใจจากฝ่าบาทและไทเฮา แต่มีได้ก็ต้องมีเสีย ก็เหมือนดั่งที่กุ้ยเฟยพูดนั่นแล จิ้นอันจวิ้นอ๋องอายุสิบแปดปีแล้ว ไม่มีทั้งความรู้วิชาตำรา ไม่มีทั้งครอบครัว แต่ก็ดีไม่ใช่หรือ ก็เข้ากับชิ่งอ๋องดีนี่ หรือกุ้ยเฟยจะเกรงกลัวเศษสวะอย่างสองคนนั่น เช่นนั้นแล้วข้าว่าท่านคงประเมินพวกเขาสูงไป”
กุ้ยเฟยพ่นลมหายใจออกมา
“เรื่องนั้นข้าย่อมรู้ดี” นางเอ่ยก่อนจะเอนกายพิงโต๊ะเตี้ย “เพียงแต่ข้าไม่สบายใจนักยามเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋อง สายตาของเขาเหมือนกับงูพิษ ทิ่มแทงข้าดั่งคมมีดอยู่ทุกวินาที เพียงข้าคิดถึงว่าเขายังอยู่ในวัง ก็ยากจะอยู่อย่างเป็นสุขได้”
ก็เหมือนสำนวนที่ว่าเห็นเงาธนูในจอกเหล้าเป็นงู เพราะตนเองคิดร้ายกับคนอื่น จึงคิดว่าผู้อื่นคิดร้ายกับตนเองเช่นกัน
ขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกาส่ายหน้า แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดคำนั้นออกไป ไม่ว่าอย่างไรก็คงพูดไม่ได้ คงต้องปล่อยให้มันเหี่ยวเฉาตายอยู่ในใจไปเอง และอย่าได้เก็บมาคิดอีก
เขาลูบเคราพลางครุ่นคิด จากนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาในทันใด
“จิ้นอันจวิ้นอ๋องอายุสิบแปดปีแล้ว” เขาเอ่ย “จะชักช้าไม่ได้แล้ว เรื่องงานแต่งงานจะชักช้าไม่ได้ พอแต่งงานแล้วก็ย่อมอยู่ในวังไม่ได้”
กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นมาในทันใด
“ใช่แล้ว เขาควรจะแต่งงานได้แล้ว” นางเอ่ย แต่พูดถึงเพียงเท่านั้นใบหน้าก็เศร้าหมองขึ้นมา “กลัวก็เพียงแต่ฮ่องเต้กับไทเฮาจะยอมเสียตัวนำโชคที่พาเด็กมาเกิดคนนี้ไปน่ะสิ”
ขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกายิ้มพลางส่ายหน้า
“จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ฮ่องเต้และไทเฮาย่อมเมตตากับลูกหลาน” เขาเอ่ย “จวิ้นอ๋องทำเพื่อชิ่งอ๋องมากมายขนาดนี้ ฮ่องเต้และไทเฮาจะให้เขาคอยอยู่เป็นพี่เลี้ยงชิ่งอ๋องไปตลอดชีวิตหรือ หากตัวเขาไม่มีผู้ใดคอยดูแล ก็น่าสงสารไม่น้อยอยู่เหมือนกัน”
กุ้ยเฟยฟังคำแนะนำนั้นก่อนจะพยักหน้าช้าๆ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม
ใช่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ถึงเวลาหาใครสักคนมาคอยปรนนิบัติเขาได้แล้ว และคนที่เอาใจใส่เขาได้ดีที่สุดบนโลกนี้ จะเป็นผู้ใดอีกนอกเสียจากคนเป็นภรรยา
เสียงประทัดโครมครามดังขึ้นเป็นครั้งคราวบนท้องถนน บรรดาเด็กน้อยยิ้มร่าวิ่งไล่กันเข้ามา จนท่านชายเฉิงสี่ต้องเบี่ยงตัวหลบ
ถนนที่เขาเดินอยู่เป็นถนนที่เพิ่งตัดใหม่ ด้านบนปูด้วยหิน แม้หลายวันก่อนจะมีหิมะตกหนัก แต่บนพื้นกลับไม่มีดินโคลนเลยแม้แต่น้อย
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาเยือนฝั่งเฉิงใต้หลังจากกลับมาถึงบ้าน แต่เขาก็ยังคงตกใจเหมือนเคย
เหตุใดฝั่งเฉิงใต้ถึงได้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นฝีมือของนางจึงไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไป
หญิงสาวผู้อ่อนแอแต่กลับมีกิจการในเมืองหลวงถึงสามแห่ง เรื่องเช่นนั้นนางยังทำได้ จะมีอะไรที่นางทำไมได้อีก
เสียงเกือกม้าดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเสียงตะโกนโวยวายของเหล่าเด็กๆ
“พ่อบ้านใหญ่กลับมาแล้ว พ่อบ้านใหญ่กลับมาแล้ว”
เด็กเล็กเด็กโตเจ็ดแปดคนกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ ทว่าชายชราที่สวมหมวกสะพายกระเป๋าอยู่บนหลังม้า กลับมิได้มีท่าทีรำคาญใจเลยแม้แต่น้อย
“ไป ไป ไปซื้อลูกอมกิน” เขาโบกมือไล่
บ่าวที่จูงม้ารีบล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าที่บั้นเอวแล้วยื่นให้กับเด็กน้อยเหล่านั้น เด็กหัวเราะชอบใจก่อนจะพากันวิ่งออกไป
พ่อบ้านใหญ่เฉาใช้เงินมือเติบเพียงใด ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ชาวเมืองเจียงโจวย่อมรู้ดี
จะว่ามือเติบก็คงไม่ถูก เรียกว่ารู้จักกระเป๋าตื้นจะดีเสียกว่า อะไรควรจ่ายไม่ควรจ่าย เขานั้นกล้าจ่ายไปเสียหมด
เงินนั้นมีไว้ใช้ นี่คือคำติดปากของพ่อบ้านใหญ่เฉา
เพราะไม่ใช่เงินของตัวเอง จะใช้เท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกปวดใจ ฮูหยินใหญ่เฉิงและฮูหยินรองเฉิงเคยพูดคำนี้อยู่หลายครั้ง แม้สองสะใภ้จะไม่ยอมพูดจากัน แต่ในเรื่องนี้ทั้งสองกลับเห็นตรงกัน
พอนึกถึงท่านแม่และท่านอาหญิง ก็ต้องนึกถึงสองบ้านที่แตกแยก ท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งเหล่าพี่น้องรวมถึงท่านแม่และอาหญิงต่างบอกว่าที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะฝีมือของเฉิงเจียวเหนียง แถมยังบอกว่านางนั้นจิตใจโหดเหี้ยมทั้งยังเป็นคนอกตัญญู ทว่าท่านชายเฉิงสี่กลับรู้สึกว่าน่าขันนัก เฉิงเจียวเหนียงที่พวกเขาพูดถึง ใช่คนเดียวกับเฉิงเจียวเหนียงเขารู้จักจริงหรือ
เฉิงเจียวเหนียงที่เขารู้จัก เป็นหญิงงามอ่อนหวานที่ประพฤติตัวดี บนโลกนี้คงไม่มีผู้ใดดีได้เท่านางแล้ว…
พอนึกถึงแม่นางผู้แสนดีคนนี้แล้ว ท่านชายเฉิงสี่ก็เม้มปากยิ้มอย่างอดไม่ได้ แต่พอหันหลังไปมองก็ต้องผิดหวัง เขาทอดสายตามองออกไปข้างหน้า
แม่นางผู้แสนดีคนนั้นไปไหนกันนะ หญิงสาวตัวคนเดียวออกเดินทางไปข้างนอกนานขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องห่วงทั้งนั้น