พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 397 ขอคำแนะนำ
“ท่านชายสี่”
แม้จะอยู่ในเจียงโจวพ่อบ้านใหญ่เฉาผู้นี้ก็ยังคงหยิ่งทะนงตนไม่เปลี่ยนแปลง เขาคือคนที่แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังต้องยอมถอยให้ พ่อบ้านเฉาเห็นท่านชายเฉิงก็เผยยิ้มก่อนจะลงจากหลังม้าแล้วยกสองมือขึ้นคำนับ
ท่าทางแสนเคารพนบนอบนี้พาลทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันไป เพราะพวกเขารู้ดีว่าพ่อบ้านใหญ่เฉาผู้นี้ไม่เห็นหัวแม้แต่นายใหญ่เฉิง แม้แต่ฮูหยินรองเฉิงเขาก็ไล่ตะเพิดมาแล้ว
เคารพนับถือ คำคำนี้ไม่เคยมียามอยู่ต่อหน้าคนตระกูลเฉิง เว้นก็เสียแต่ท่านชายเฉิงสี่ผู้นี้
“ข้าไม่มีอะไรหรอก ข้ามาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย น้องสาวกลับมาแล้วหรือยัง” ท่านชายเฉิงสี่ถาม
พ่อบ้านใหญ่เฉาส่ายหน้า
“ไม่รู้ว่าอยู่ข้างนอกสุขสบายดีหรือไม่ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว” ท่านชายเฉิงสี่ถาม
“ท่านชายสี่โปรดวางใจ นายหญิงสุขสบายดีขอรับ” พ่อบ้านเฉายิ้มเอ่ย “เดือนก่อนเขียนจดหมายมาฉบับหนึ่งบอกว่าทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ”
ท่ายชายเฉิงสี่พยักหน้า
“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน” เขาเอ่ย
“ท่านชายสี่มาทั้งทีก็เข้าไปนั่งดื่มชากันเสียหน่อยสิขอรับ” พ่อบ้านใหญ่เฉายิ้มพลางเอ่ยเชื้อเชิญ
ท่านชายเฉิงสี่ยังคงปฏิเสธ ทันใดนั้นสาวใช้นางหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในตรอก
“ท่านชายสี่” ชุนหลานร้องเรียกด้วยความดีใจ
เพราะโดนหางเลขจากจินเกอร์ ชุนหลานจึงถูกไล่ออกมาจากเรือนของท่านชายเฉิงสี่ จินเกอร์รู้ข่าวก็เดือดดาล ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บุกเข้าไปยังเรือนตระกูลเฉิง ขอไถ่ตัวทั้งพ่อและแม่ของตนเองออกมา
ไม่เคยมีบ่าวไพร่ในเรือนคนไหนบ้าดีเดือดบุกเข้าไปโวยวายต่อหน้าฮูหยินใหญ่เฉิงเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่านางต้องโมโหและไม่ยอม แต่ท้ายที่สุดนายใหญ่เฉิงก็ยอมให้ไถ่ตัวไป
“จะไปเสียอารมณ์กับบ่าวรับใช้เพื่ออันใดกัน เสียเกียรติของเราเสียเปล่า” เขาเอ่ย “ทะเลาะกันใหญ่โตเพียงนี้ ไม่กลัวว่าคนข้างนอกนินทาเอาหรือไร”
ฮูหยินใหญ่เฉิงจำใจต้องปล่อยเลยตามเลย พ่อแม่ของจินเกอร์จึงไปทำงานในที่นาแทน เพราะเฉิงเจียวเหนียงไม่อยู่ที่เรือน ไม่จำเป็นต้องมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ พ่อบ้านใหญ่เฉาจึงให้ชุนหลานไปทำงานที่ร้าน
นี่เป็นครั้งแรกที่ชุนหลานออกไปทำงานนอกบ้าน นางทั้งกลัวทั้งหวั่นใจ แต่เพราะนางไม่อาจกลับไปที่ฝั่งเฉิงเหนือได้อีก ความคิดที่จะติดตามท่านชายสี่จึงต้องหยุดลง แต่พอนึกถึงชีวิตในวันข้างหน้าจึงจำต้องกำหมัดกัดฟันทำต่อไป เวลากว่าครึ่งปีที่ผ่านมานั้นนางเรียนรู้จนชำนาญงาน ไม่ว่าจะผ้าไหมผ้าแพรและงานต่างๆ ในร้านก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับนาง แขกไปใครมาก็มีแต่เรียกหาแม่นางชุนหลาน
“ท่านชายสี่ ท่านมาทั้งที เข้าไปนั่งในเรือนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ
เมื่อทั้งสองเชื้อเชิญอย่างจริงใจ ท่านชายเฉิงสี่จึงไม่เกรงใจอีกต่อ ก่อนจะเดินตามเข้าไปในเรือน
ตอนนี้เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้อยู่บ้านหลังเดิมของเฉิงจี้แล้ว เรือนหลังใหม่สร้างเสร็จตั้งแต่เดือนหก โดยมีเฉิงจี้เป็นคนจัดสรรให้แก่ทุกคน เรือนหลังที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดยกให้เฉิงเจียวเหนียง พ่อบ้านเฉาก็จัดการอย่างเร็วไว สั่งคนให้ย้ายสัมภาระของเฉิงเจียวเหนียงเข้ามาในเรือนหลังใหม่ ส่วนตนเองก็พาบ่าวที่จ้างมาใหม่ออกไปอยู่เรือนอีกหลัง
กระเบื้องสีเขียวหน้าประตูเรือนถูกปูเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ทั้งปัดกวาดอย่างสะอาดหมดจนไม่มีแม้แต่เศษหิมะให้เห็น รอบทิศประดับตกแต่งอย่างประณีตงดงาม เสียงหัวเราะลอยดังออกมาข้างนอกเป็นครั้งคราว
พอเห็นพวกเขาเดินเข้ามา บ่าวหน้าประตูก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“ท่านเฉา เฉิงผิงมาขอรับ รอท่านอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว” เขาเอ่ยทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง เฉิงผิงก็เดินออกมาจากห้อง ก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เรือนหลังเดิมของเฉิงจี้ยามนี้ยกให้เขาอยู่อาศัย ตอนนั้นเฉิงจี้จำคำของเฉิงเจียวเหนียงได้เป็นอย่างดี พอเรือนหลังใหม่สร้างเสร็จแล้วก็เชิญเฉิงผิงมาดู เฉิงผิงเองก็ทักทำนายฮวงจุ้ยอย่างไม่นึกเกรงอกเกรงใจ เฉิงจี้อ้างว่าจะยกเรือนหลังนี้ให้เขาเป็นรางวัลตอบแทน ทั้งที่ความจริงเป็นอย่างไรเขาย่อมรู้ดี เพียงแต่แค่อยากจะรักษาหน้าเฉิงเจียวเหนียงก็เท่านั้น
เฉิงผิงเองก็ไม่นึกเกรงใจ
“ข้าวางฮวงจุ้ยให้พวกท่านไว้อย่างดี พวกท่านอยู่อย่างสบายใจเถิด” เขาเอ่นอย่างลำพองใจ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของของตนย้ายมาอยู่ในเรือน
“วันก่อนเชิญเจ้ามา เจ้าก็ไม่ยอมมา เหตุใดวันนี้ถึงได้มาหาถึงที่” พ่อบ้านเฉาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเฉา ข้าไปเจราจาการค้าแทนท่านมาได้หนึ่งอย่างเชียวนะ” เฉิงผิงยิ้มเอ่ยก่อนจะสะบัดธงในมือไปมา “ได้ข่าวมาว่าท่านจะเปิดร้านใหม่ เรื่องฮวยจุ้ยข้าจะดูให้เอง”
พูดจบก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“ขอแค่หนึ่งเหวินเท่านั้น”
พ่อบ้านเฉาหัวเราะพลางส่ายหน้า
“เจ้านี่แปลกคนนัก” เขาเอ่ยก่อนจะตอบตกลง “วันพรุ่งนี้เข้าจะไปหาเจ้าเอง”
เฉิงผิงเอ่ยลาอย่างดีอกดีใจ พ่อบ้านเฉารีบเอ่ยรั้งเขาไว้
“ในเมื่อเจ้าดูฮวงจุ้ยเป็น เหตุใดถึงไม่ช่วยดูให้เรือนนางหญิงหน่อยเล่า เรือนของนางจัดวางเช่นนั้นดีแล้วหรือไม่” เขาถาม
เฉิงผิงเหลียวกลับมาแล้วยิ้มให้
“นายหญิงของท่านเป็นคนชะตาขาด ข้าดูให้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย
พ่อบ้านเฉาส่งเสียงถุยฮึดฮัดในทันใด ก่อนจะไล่เขาออกไป
ท่านชายเฉิงสี่ถูกพาเข้ามา เขาหยุดยืนอยู่ที่ลานบ้านมองดูป้ายที่แขวนไปข้างบน
ไท่ผิง
“ที่เมืองหลวงส่งมาให้หรือ” เขาถาม
“ไม่ใช่ขอรับ เจ้าอาวาสซุนวันเสวียนเมี่ยวส่งมาให้ขอรับ” พ่อบ้านเฉาตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่านายหญิงคงชอบคำว่าไท่ผิงนี้นัก ข้าจึงคิดเองเออเองแขวนไว้ให้เสียเลย”
บนเขาเสวียนเมี่ยวมีวัดไท่ผิง ที่เมืองหลวงก็มีเรือนไท่ผิง ส่วนตัวเขาเองก็เคยกินหมั่นโถวไท่ผิงเหมือนกัน
ไท่ผิง ไท่ผิง ไม่ว่าจะญาติมิตรหรือผู้ใด ขอแค่มีจิตใจเมตตาต่อกันและกัน เพียงเท่านั้นก็สงบสุข
“นางคงชอบมาจริงๆ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองเดินเข้ามาให้ห้องโถง ชุนหลานย่างใบชาจนกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว เสียงประทัดด้านนอกดังขึ้นเป็นกระสายพร้อมกับเสียงหัวเราะ รัชศกหย่งเหอปีที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า
แม้จะไม่คึกคักเท่าในเมืองหลวง แต่เดือนหนึ่งในเมืองเจียงโจวก็นับว่าครื้นเครงกว่าเคยนัก ผู้คนเดินกันขวักไขว่เต็มท้องถนน นี่คือโอกาสทองในการหาเงิน เฉิงผิงออกโบกธงตั้งแต่เช้ามืด เดินเตร็ดเตร่ไปมาจนถึงยามบ่ายก็ยังไม่ลูกค้าสักคน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่มีลูกค้า” คนงานประจำร้านที่สนิทคุ้นเคยกับเขา เอนกายพิงรูปปั้นม้าหินคุยเล่นสัพเพเหระกับเขา
“เพราะเหตุใด” เฉิงผิงถามกลับอย่างไม่อ้อมค้อม
“เพราะเจ้าคิดเงินน้อยเกินไป” คนงานบอก “เงินหนึ่งเหวิน เจ้าคิดราคาถูกเกินไป ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ เจ้าไม่เคยเห็นผู้อื่นเขาทำนายดวงชะตาหรือ ทำนายทีคิดเงินเป็นพันชั่ง แบบนั้นสิถึงจะน่าเชื่อถือ ดูมีวิชา แต่ดูเจ้าสิ อย่างกับขอทาน ผู้ใดจะสนใจเล่า”
เขาพูดจบ เฉิงผิงก็ไม่ได้พูดต่อ มองดูคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า
หญิงนางหนึ่ง
สวมเสื้อคลุมมีหมวกสีดำหมึก ขนกระต่ายขาวปิดบังใบหน้าที่สวมหมวกนั้นไว้
หญิงสาวยกมือขึ้นดึกหมวกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าท่ามกลางขนที่ล้อมรอบ
คนงานผู้นั้นมองอย่างตกตะลึง
โอ้โห แม่นางผู้นี้ช่างงดงามนัก
เฉิงผิงตกใจจนสะดุ้งตัวโยน
“แม่นางเฉิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ!” เขาตะโกนลั่น
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะพยักหน้าให้
“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว ข้าเพิ่งเข้าเมืองมา” นางตอบ ทว่าไม่รอให้เฉิงผิงพูดก็เอ่ยต่อว่า “ข้าเหนื่อยนัก พอเข้าเมืองมาก็เดินมาตามถนน พอมองออกไปก็เห็นเจ้าในทันที แต่ข้าเหนื่อยจนเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว…”
พูดถึงเพียงเท่านี้ ดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมา
คนงานได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง เขาอ้าปากค้างมองแม่นางน้อยผู้นั้น ว่าอย่างไรนะ นางว่าอย่างไรนะ
พอมองออกไปก็เห็นเจ้าในทันทีอย่างนั้นหรือ…
คนงานเบนสายตาไปมองทางเฉิงผิง
คนที่เหมือนกับขอทานอย่างเจ้าหมอนี่… เป็นไปไม่ได้หรอก… จะมีคนรักที่งดงามดั่งแม่นางผู้นี้เชียวหรือ
เฉิงผิงเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับคนที่เคยเห็นแม่นางผู้นี้ร้องไห้ฟูมฟายราวกับคนเสียสติอย่างเขาแล้ว พอเห็นแบบนี้ก็ไม่รู้สึกตกใจนัก ใช้เวลาไม่นานเขาก็ตั้งสตืได้
ปมแผลในใจคงกำเริบขึ้นมาอีกแล้วกระมัง
“เหนื่อยหรือ เหนื่อยก็นั่งพักเสียก่อนสิ” เขาเอ่ยพลางยกตั่งตัวเตี้ยที่อยู่ปลายเท้าออกมาให้
เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงตามที่ว่าจริงๆ
ยามนี้รอบกายของไร้ผู้คนสัญจร ไม่ต้องเกรงว่าจะถูกผู้ใดชนเข้า เพราะสาวใช้ปั้นฉินและเหล่าผู้ติดตามได้กั้นทางเอาไว้หมดแล้ว
เฉิงผิงมองแม่นางผู้นี้ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง
“พ่อบ้านเฉารู้หรือยังว่าแม่นางกลับมาแล้ว” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าไปมาหลายที ข้าไปทั่วทั้งเหลียงโจว” นางเอ่ย “ข้าไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะหมู่บ้านเล็กใหญ่ข้าก็หาจนทั่ว แต่ข้าก็หาไม่เจอ หาไม่เจอ”
แม่นางผู้นี้ทำท่าตื่นตระหนกขึ้นมาอีกแล้ว เฉิงผิงรีบนั่งลงในทันใดก่อนจะจ้องมองนาง
“ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามโชคชะตา หาไม่เจอก็แสดงว่าไม่มีวาสนาต่อกัน อย่าได้ฝืน” เขาเอ่ย
“อย่าได้ฝืนอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองเขา “ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม”
พอเห็นแววตาอันล้ำลึกของหญิงผู้นี้แล้ว เฉิงผิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
แววตาสิ้นหวังแบบนั้นอีกแล้ว
“ทุกสรรพสิ่งถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว จะไม่เชื่อ หรือไม่ยอม ก็มีแต่จะทุกข์ใจเอง” เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ “แม่นาง คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แค่มีความสุขกับปัจจุบันก็พอ”
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“มีความสุขกับปัจจุบันอย่างนั้นหรือ จะให้ข้ามีความสุขได้อย่างไร” นางเอื้อนเอย หัวตาคลอน้ำใส
“นั่นก็เป็นสิ่งที่แม่นางต้องจัดการเอง ผู้อื่นก็ช่วยไม่ได้หรอก” เฉิงผิงเอ่ยพลางส่ายหน้า
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป ปั้นฉินและคนอื่นก็พากันตามไป
แม่นางผู้นี้จู่ๆ ก็มาจู่ๆ ก็ไป คนงานของร้านได้แต่นึกว่าตัวเองฝันไป พอได้สติกลับมาก็กระตุกแขนเสื้อเฉิงผิงทันที
“ผู้ใดกัน ผู้ใดกัน” เขาถามรัว
“ก็แม่นางคนหนึ่งในตระกูลข้าน่ะ” เฉิงผิงตอบพลางสะบัดแขนเสื้อของตนออก มองไปทางที่เฉิงเจียวเหนียงเดินจากไป เขาขมวดคิ้ว สีหน้าดูเป็นกังวล “แม่นางผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก…”
คนงานส่งเสียงเหอะ ก่อนจะมองเฉิงผิงหัวจรดเท้า
“สงสารผู้ใด ใครกันแน่ที่น่าสงสร” เขาเอ่ย “เจ้าดูตัวเจ้าสิ เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังสู้ผู้ติดตามของนางไม่ได้เลย…”
“น่าสงสารหรือไม่ ไม่ได้ดูจากตรงนั้นเสียหน่อย ต้องดูที่ใจ” เฉิงผิงพูดพลางส่ายหน้า สายตายังคงจ้องมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ แผ่นหลังของนางยิ่งดูโดดเด่นเป็นสง่า
ทันใดนั้นแม่นางผู้นั้นก็หยุดเดินลง นางหันหลับมาก่อนจะเดินจ้ำเข้ามาหาเขาอีกครั้ง
เฉิงผิงผงะถอยหลังอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้าอยากจะให้ท่านแนะนำข้าเรื่องหนึ่ง” เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้น
ท่าทางเคารพนบนอบแบบนี้กลับมาอีกครั้งแล้วสินะ… เช่นนั้นก็แสดงว่าหญิงผู้นี้คงอารมณ์เย็นลงไม่น้อยแล้ว
เฉิงผิงมุมปากกระตุก
“มิบังอาจ มิบังอาจ เจ้าว่ามา เจ้าว่ามา” เขาเอ่ย
“หากเจ้ารู้ว่าคนคนหนึ่งจะทำร้ายเจ้าในวันหน้า เจ้าจะหยุดยั้งไม่ให้เขาทำร้ายเจ้าได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วถามขึ้น