พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 399 เป็นกันเอง
ช่วงปีใหม่ของฝั้งเฉิงใต้ บรรยากาศเริ่มคึกคัก ตามตรอกซอยเต็มไปด้วยเหล่าเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่น ส่วนหญิงทั้งหลายก็เริ่มทยอยพากันออกมาข้างนอก
“แม่นางเฉิงกลับมาแล้ว”
“จริงหรือ ในที่สุดก็กลับมาเสียที!”
ทุกคนต่างพากันพูดคุยหัวเราะไม่หยุด สายตาทั้งหมดล้วนมองไปอยู่ที่เรือนหลังใหญ่ตรงนั้น
ถ้าเทียบกับบรรยากาศด้านนอกที่ดูครึกครื้นแล้ว ในเรือนดูจะเงียบสงบกว่า พ่อบ้านเฉาเอ่ยอำลากับเฉิงจี้และผู้ที่มาเยือนด้วยความสุภาพ
“ข้าเหนื่อยแล้ว ต้องพักเสียหน่อย วันนี้คงต้องขอตัวลา” เขาพูดเสียงแผ่ว
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ต้องอาศัยการพักผ่อนให้เต็มที่ แต่อย่างไรเสีย ก็ควรรู้กาลเทศะต้อนรับแขกเสียบ้าง
เฉิงจี้และพรรคพวกพากันหัวเราะแล้วพยักหน้า
“เหตุใดพ่อบ้านเฉาไม่เรียกเหล่าสาวใช้มาจัดการพวกงานต้มน้ำทำกับข้าวเล่า ให้พวกเขามาช่วยไม่ดีกว่าหรือ” เขาพูดพลางชี้นิ้วไปที่หญิงบางคนที่อยู่ด้านหลัง
หญิงเหล่านั้นจึงรีบเดินเข้ามาหา
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” พ่อบ้านเฉาปฏิเสธ “กฎบ้านนี้ของนายหญิงพวกเจ้าก็รู้ดี”
“ก็ข้าบอกพวกเจ้าอยู่นี่ไงว่าไม่ต้องไป อย่างนายหญิงคงไม่ให้พวกข้าถูกใช้งานหรอก อย่างมากทำได้แค่งานรับแขกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
ขณะนั้นเอง ในตรอกซอย หญิงที่เคยได้ออกเดินทางร่วมกับเฉิงเจียวเหนียงยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกว่าตนโชคดี สายตาพลางมองไปยังผู้คนที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“…จะว่าไปแล้ว รอบนี้ที่ข้าได้ร่วมเดินทางกับนายหญิง ทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่เสียเปล่าแล้วชีวิตนี้… ทั้งอาหารการกินเอยที่พักเอย…”
แม้ว่าจะเคยได้ยินประโยคเช่นนี้แล้วหลายหน แต่ทุกคนก็หยุดฟังใหม่โดยไม่รู้ตัว และเมื่อได้ฟังแล้ว ก็มักจะหันกลับมามองตนเอง นายหญิงปฏิบัติต่อหญิงสองคนนี้อย่างไร ก็คงต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แค่คิดว่าถ้าบนโลกนี้ มีเจ้านายที่ปราณีต่อพวกเขาเช่นนายหญิงผู้นี้ แค่นี้ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างเปี่ยมล้นแล้ว
ชุนหลานใช้พัดเร่งไฟจนอาหารในหม้อดินเดือดเป็นฟองพวยพุ่งออกมา
“อย่าใช้ไฟแรงสิ ให้ใช้ไฟอ่อนตุ๋นก็พอ” ปั้นฉินเดินเข้ามาเตือนจากด้านนอก
ชุนหลานรีบวางพัดลงอย่างรู้สึกผิด
“ท่านพี่ปั้นฉิน” ชุนหลานเอ่ย พลางมองหญิงสาวที่คุ้นเคยและแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้านี้
“ข้ากับนายหญิงกำลังตกปลาอยู่ ท่านพี่วิ่งเข้ามากะทันหันแบบนี้ ทำข้าตกใจหมด”
‘ข้ามีวิธีที่อาจช่วยชีวิตท่านชายสี่ได้’
เสียงที่ทั้งกังวานและแผ่วเบานั้นจู่ๆ ก็ลอยเข้ามาที่ข้างหูของชุนหลาน
“เหม่ออะไรอยู่” ปั้นฉินหัวเราะ พลางโบกมือไปมา
“ขอบคุณท่านพี่มากที่ช่วยดูแลน้องชายข้า” ชุนหลานดึงสติกลับมา พร้อมโน้มตัวคำนับให้ปั้นฉิน
ปั้นฉินหัวเราะ แล้วคำนับตอบ
“ต้องขอบใจเจ้าต่างหากที่ดูแลนายหญิงในตอนนั้น” ปั้นฉินตอบ
ชุนหลานหัวเราะอย่างเคอะเขิน
“ไม่ขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ เพราะท่านพี่ช่วยข้าไว้ก่อน ถ้าไม่ได้ท่านพี่ ป่านนี้ท่านชายสี่คงไม่รอดแล้ว” ชุนหลานเอ่ย
“นายหญิงเคยบอกไว้ว่า การยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นและการตอบแทนบุญคุณนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้ ดังนั้นถ้าเจอกับตัวแล้ว ก็ควรจะให้ค่าและรู้สึกขอบคุณเสีย” ปั้นฉินพยักหน้าพลางกล่าว
“นี่ พวกเจ้าสองคนเล่นอะไรกัน เดี๋ยวข้าวก็ไหม้หรอก” จินเกอร์โผล่หัวจากประตูด้านนอกแล้วร้องเตือน
สาวใช้ทั้งสองหันมาสบตาพลางหัวเราะให้กัน
“นายหญิงตื่นแล้ว!”
เสียงของพ่อบ้านเฉาดังลอดเข้ามา ปั้นฉินรีบขานรับ ทั้งสองรีบจัดแจงอาหาร แล้วยกเข้าไปทางเรือนด้านใน
เวลาพลบค่ำ แสงไฟจากโคมส่องสว่าง ประตูห้องโถงหลักถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ปรากฏร่างหญิงนางหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลาง
ถึงแม้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศในเมืองหลวงยังคงหนาวจัด
จิ้นอันจวินอ๋องแต่งกายด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากหน้าตำหนักไทเฮา ขณะที่เขากำลังจะเดินหันไปอีกทางนั้นเอง ก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเรียกของขันที
“องค์ชาย ไทเฮาเชิญให้องค์ชายเข้าไปขอรับ” ขันทีกล่าวพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจำต้องย่างเท้าเข้าไปในตำหนักของไทเฮา
ภายในตำหนักไทเฮาแฝงไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆ พัดโชย ตรงที่นั่งนั้นนอกจากไทเฮาแล้ว ยังมีกุ้ยเฟยและพระชายาบางส่วน อีกทั้งยังมีหญิงแปลกหน้าผู้หนึ่ง ที่เมื่อเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินเข้ามา ก็ทำทีเบือนหน้าหลบ
“ข้าจะมาบอกท่านเรื่องเครื่องดื่มครั้งก่อนที่เคยได้ลองนั้น ถูกใจลิ่วเกอร์ยิ่งนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยชมตามมารยาท
ไทเฮาหัวเราะและให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งลง
“ลิ่วเกอร์ต้องมีคนเฝ้าดูแล” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเปิดประเด็นสนทนาอย่างลังเล
“นั่งก่อนสิ เหว่ยหลัง” ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งลงตามมารยาท
“ดูสิ ผอมกะหร่องเชียว” ไทเฮาชี้มาที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องพลางบอกกับชายาคนอื่นๆ
เหล่าชายาต่างพากันมองตาม หญิงแปลกหน้าที่นั่งอยู่ด้านหลังกุ้ยเฟยก็แอบเงยหน้าขึ้นมามองอยู่แวบหนึ่ง แล้วรีบหลบหน้าต่อ
“ข้าผอมกะหร่องตรงไหน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มตอบ พลางเอามือลูบที่ใบหน้า “อย่างนี้เรียกว่ากำยำขึ้นต่างหาก ไทเฮาไม่รู้สึกว่าข้าดูรูปงามขึ้นบ้างหรือ”
ประโยคเมื่อครู่ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา แม้แต่หญิงแปลกหน้าที่หลบอยู่ก็ยังต้องยกชายเสื้อมาป้องปากเพื่อหัวเราะ
“เอาล่ะ รู้แล้วว่าเจ้ารูปงาม ข้าชมด้วยความสัตย์จริง” ไทเฮายิ้ม “ลิ่วเกอร์ก็คือลิ่วเกอร์ เจ้าเป็นพี่ ลิ่วเกอร์เป็นน้อง เจ้าเอ็นดูน้อง แต่ไม่จำเป็นถึงกับต้องทุ่มสุดตัวเช่นนั้น พวกคนใช้มีหน้าที่ของคนใช้ เจ้าก็มีหน้าที่ของเจ้า เหว่ยหลัง เจ้าจะดูแลลิ่วเกอร์ไปตลอดชีวิตเลยหรือ”
“แน่นอนว่าข้าต้องดูแลลิ่วเกอร์ไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกล่าว “ไทเฮา ข้าไม่ขออะไร ไม่ขอยศ แต่ขอแค่ให้ข้าได้อยู่ในเมืองหลวงต่อไป อย่าเพิ่งเนรเทศข้า…”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มสั่นเครือ
“ไม่มี ไม่มี ไม่มีใครเนรเทศเจ้าทั้งนั้น” ไทเฮารีบกล่าว มือพลางตบเบาๆ ลงไปที่ต้นแขนของชายหนุ่ม “ข้าแค่จะบอกว่า เจ้าต้องไม่ลืมตัวเจ้าเอง เจ้ามัวแต่ห่วงคนอื่น หันมาดูแลตัวเองให้ดีเสียบ้าง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงคำนับไทเฮาแล้วเงยหน้ายิ้มขึ้น
ไทเฮาเอื้อมมือไปสะกิดเขาทีสองทีด้วยความเคือง
“เด็กคนนี้เป็นคนซื่อตรง ลองถูกใจใครเข้าแล้วเกาะไม่ปล่อยเลยเชียว สมัยเด็กๆ ตอนที่ยังอยู่กับข้า ตอนนั้นข้าร่างกายไม่สู้ดี ก็เลยต้องแยกวังกันอยู่ เจ้าเด็กคนนี้ถึงกับร้องไห้จะเป็นจะตายเลยเชียว” ไทเฮาหัวเราะพลางเล่าเรื่องในอดีตให้เหล่าชายาฟัง
“องค์ชายเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หายากมากเลยนะเพคะ” กุ้ยเฟยเอ่ยชม พลางเหลียวไปยังหญิงแปลกหน้าที่นั่งอยู่ด้านหลังตน กุ้ยเฟยนึกอะไรขึ้นได้ จึงผายมือออกแล้วยิ้ม “ช่างเสียมารยาทจริง นี่ อาอวิ๋น เหตุใดเจ้าไม่รีบถวายบังคมองค์ชายเล่า”
หญิงแปลกหน้าถึงกับรีบนั่งหลังตรงอย่างตื่นตระหนก ถอยหลังสองก้าว และโน้มตัวถวายบังคมจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“สกุลอู๋ถวายบังคมองค์ชายเพคะ” หญิงแปลกหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“นางเป็นหลานสาวของพระชายาจู” กุ้ยเฟยยิ้มพลางอธิบายให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องฟัง “นางติดสอยห้อยตามมารดามายังเมืองหลวง พระชายาจูจึงเรียกให้มาเข้าพบในวังเพคะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าน้อมรับ จากนั้นลงไปนั่งที่เดิม พลางดึงแขนเสื้อขึ้นมาปิดเสียงกระแอมของตนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ขันทีที่เดิมคุกเข่าเฝ้าอยู่ตรงประตู ก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“…องค์หญิงซูฮุ่ยได้พักอยู่กับพระชายาจู ท่าทีของนางดูดีใจไม่น้อย องค์หญิงเองก็พอใจเช่นกัน ทั้งสองคนคืนนี้ได้ค้างแรมด้วยกันแล้วสินะ” กุ้ยเฟยกำลังพูดถึงพระชายาจูอย่างสนุกปาก
“พอมีเด็กๆ มาอยู่ด้วยบรรยากาศเลยดูคึกคักขึ้นนะเพคะ” พระชายาอีกคนเสริม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นเตรียมลา
“องค์ชาย เครื่องดื่มที่ท่านต้องการอยู่กับพระชายาจู รบกวนองค์ชายไปรับของด้วยตนเองนะเพคะ” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างหน้าตาระรื่น พลางมองไปยังเด็กสาวสกุลอู๋ที่อยู่ด้านข้าง “แล้วก็กระหม่อมขอรบกวนองค์ชายพาอาอวิ๋นไปส่งด้วยนะเพคะ”
หญิงสาวสกุลอู๋ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหวั่นๆ รีบเบือนหน้าหนียิ่งกว่าเดิม
“มิกล้ารบกวนองค์ชายหรอกเพคะ” หญิงสาวพูดเสียงแผ่วเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะพร้อมลุกขึ้น
“รบกวนอันใดกัน” ชายหนุ่มหัวเราะ
“เจ้ารีบตามไปเสียสิ” กุ้ยเฟยคะยั้นคะยอหญิงสาว
หญิงสาวขานรับ ก่อนจะรีบลุกขึ้นคำนับลาเหล่าพระชายา นางรอให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินนำหน้าไปก่อน จึงค่อยๆ เดินก้มหน้าตามไป
เหล่าพระชายาที่มองดูหนุ่มสาวคู่นี้เดินออกไป ก็หันมาสบตากัน และหัวเราะคิกคักให้กัน
“เป็นอย่างไร ถือว่าดูดีทั้งคู่เลยใช่ไหม” กุ้ยเฟยกระซิบ
“คนของตระกูลจู เรื่องกิริยามารยาทนี่ไม่เป็นรองใคร” ไทเฮาพยักหน้า พลางถอนหายใจ “เจ้าพูดไว้ไม่ผิด ปล่อยเหว่ยหลังไว้เช่นนี้คงไม่ได้การ มิเช่นนั้นคงเสียดายแย่”
“ไทเฮามิต้องกังวลไป” กุ้ยเฟยหัวเราะ “ให้องค์ชายเริ่มต้นสร้างครอบครัว แล้วองค์ชายก็จะได้มีคนรู้ใจไว้คอยดูแล องค์ชายเองก็จะได้ทั้งดูแลชิ่งอ๋อง และขณะเดียวกันก็มีคนคอยดูแลองค์ชายไปด้วย”
ไทเฮาพยักหน้าเห็นชอบ
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า” ไทเฮาตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเดินอยู่ด้านนอก ไม่ได้ยินบทสนทนานี้แต่อย่างใด
“เจ้าอายุเท่าไหร่” เขาหันไปถามหญิงสาว
แม่นางอู๋คาดไม่ถึงว่าระดับองค์ชายจะออกตัวพูดคุยกับนางก่อน แถมคำถามแรกดันเป็นเรื่องอายุเสียด้วย นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
“ข้าจะอายุเต็มสิบหกในเดือนสามเพคะ” แม่นางอู๋ก้มหน้าตอบ
“อ่อ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า แล้วหันมามอง พลางยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตัวสูงใช้ได้เลยนะ”
แม่นางอู๋แสดงความภูมิใจออกมาอย่างสง่างาม แก้มของนางแดงจนต้องก้มหัวลงให้ต่ำกว่าเดิม
“บ้านของพระชายาจูอยู่ที่หนิงโจว เจ้าก็พักอยู่ที่นั่นหรือ” ชายหนุ่มถามไถ่ด้วยความสงสัย
แม่นางอู๋พยักหน้า รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นตอบเขา
“ใช่แล้วเพคะ” ภายใต้ลำแสงที่ส่องสว่าง เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม ช่างเปล่งประกายยิ่งนัก แม่นางอู๋เมื่อได้เห็นภาพเมื่อครู่นี้ ถึงกับเข่าอ่อนลงไป
“เจ้าเป็นอะไรหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบยื่นมือเข้าช่วย
แขนที่ถูกพยุงด้วยมือขององค์ชาย หัวใจของแม่นางอู๋เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา ทุกสิ่งอย่างหยุดชะงัก
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ในวังนี้ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว เหล่าพระชายาทุกคนล้วนเป็นกันเองทั้งนั้น” ชายหนุ่มประคองหญิงสาวอยู่ซักพัก ก็ปล่อยมือออก พลางหัวเราะ
ระหว่างนั้น ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนของเด็ก
เหตุใดในวังถึงได้มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย แม่นางอู๋หันไปด้านหลัง ก็พบกับร่างอ้วนเตี้ย ดวงตาเบิกโพลงที่กำลังอ้าปากยิ้มกว้างจนมีน้ำลายไหลออกมา ที่กำลังกลิ้งมาทางนี้ ช่างคล้ายกับหน้ากากทาสผีที่ใส่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่
แม่นางอู๋ตกใจจนร้องออกมา ยื่นมือออกไปทำท่าจะตี จากนั้นก็ไปยืนหลบอยู่ข้างหลัง
มือข้างหนึ่งคว้าเข้าไปที่แขนของแม่นางอู๋ ทำให้นางขยับไม่ได้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกลัว” เสียงชายหนุ่มเอ่ยลอดผ่านหัวของหญิงสาว “เขาไม่รู้ประสา เลยทำให้เจ้าตกใจ เดี๋ยวข้าจะพาเขาออกไปเอง”
รอยอุ่นถูกทิ้งไว้บนข้อมือหญิงสาว แต่ร่างคนกลับหายไปต่อหน้าต่อตา แสงที่สาดเข้ามาทแยงเข้าตาจนแม่นางอู๋มองไม่เห็นอะไร เมื่อได้ตั้งสติ ก็พบว่าทั้งสองคนไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
แม่นางอู๋ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน
ไทเฮาวางถ้วยสีทองที่อยู่ในมือลงไป เสียงที่ดังขึ้นทำให้กุ้ยเฟยและพระชายาจูเกิดอาการสั่นเล็กน้อย
“เรียกหมอไปช่วยดูเร็ว อย่าให้นางเสียขวัญ” ไทเฮาเอ่ยอย่างเสียงเนิบ
“ไม่มีอันใดหรอกเจ้าค่ะไทเฮา” พระชายาจูกล่าว “อาอวิ๋นไม่เป็นอันใดหรอกเพคะ แค่ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน นางคงนึกว่ามีคนมาหยอกเล่นกับนางก็เท่านั้นเอง”
“เกรงว่าจะไม่ใช่การหยอกเล่น เกรงว่าชิ่งอ๋องจะลงไม้ลงมือกับนาง” ไทเฮาเอ่ยเสียงเบา
กุ้ยเฟยจ้องไปที่พระชายาจู
“ไทเฮาเพคะ นี่คงเป็นอุบัติเหตุ ใครจะไปนึกว่า ท่านชิ่งอ๋องจะปรากฏกะทันหันเช่นนี้…” กุ้ยเฟยเอ่ยอย่างลังเล
“กะทันหันงั้นหรือ” ไทเฮาจ้องไปที่กุ้ยเฟย “งั้นเจ้าจะกล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจวิ้นอ๋อง ที่จงใจหลอกให้แม่นางอู๋ตกใจอย่างนั้นหรือ”
ไทเฮาไม่รอคำตอบจากกุ้ยเฟย รีบหันไปหาคำตอบจากขันทีที่อยู่ด้านข้าง
“เจ้าว่ามา เกิดอันใดขึ้น” ไทเฮาสั่งให้ขันทีเล่าเหตุการณ์
“…องค์ชายกับแม่นางอู๋กำลังพูดคุยหัวเราะกันไปมา องค์ชายถามคำถามแม่นางอู๋มากมาย ทั้งถามเรื่องอายุ ทั้งเอ่ยปากชมเรื่องส่วนสูงของนาง แถมยังถามเรื่องบ้านเกิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ แล้วก็คอยปลอบนางว่าไม่ต้องกังวล…” ขันทีเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด
ดูๆ แล้วองค์ชายก็ไม่ได้มีท่าทีรำคาญนางหรืออย่างไร ออกจะชัดเจนด้วยซ้ำว่าถูกอกถูกใจนาง เล่นถามไถ่เสียขนาดนี้
“ไทเฮา ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ…” กุ้ยเฟยอธิบายอย่างรู้สึกผิด “ข้าแค่หมายความว่า ชิ่งอ๋องวิ่งออกมากะทันหันแบบนั้น คงมิใช่เรื่องแปลกที่นางจะแสดงอาการตกใจ…”
“งั้นก็ไปหาคนที่เขาจิตแข็งกว่านี้เสียสิ” ไทเฮากล่าว “หากเป็นผู้มีการศึกษา ท่วงท่าสง่างาม และเป็นสุภาพชนจริงๆ กับแค่ลมพัดหญ้าปลิวนิดเดียวคงไม่สะทกสะท้านอันใดหรอก”
พระชายาจูเดินร่ำไห้จากตำหนักไทเฮามาจนถึงตำหนักของกุ้ยเฟย
“ร้องอะไรนักหนา ไทเฮามิได้ต่อว่าเจ้าเสียหน่อย” กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความเคือง
“พูดถึงนางก็เท่ากับพูดถึงข้านั่นแหละ พูดถึงตระกูลข้า” พระชายาจูตอบ
“จะว่าไปก็สมน้ำหน้าเจ้าเช่นกัน” กุ้ยเฟยเริ่มบันดาลโทสะ “ชิ่งอ๋องกับจวิ้นอ๋องตัวติดกันขนาดนั้น เจ้าไม่ได้บอกนางเรื่องนี้หรืออย่างไร”
พระชายาจูปาดน้ำตา
“ข้า ข้าจะไปนึกออกได้อย่างไรเล่า ว่าในเวลาแบบนั้นองค์ชายจะพาชิ่งอ๋องมาด้วย” พระชายาจูเอ่ยพร้อมกับเริ่มคิดหาทางแก้ไข “งั้นข้าจะไปบอกให้คนในตระกูลได้รับรู้…”
“เจ้าไม่ต้อง” กุ้ยเฟยเอ่ย “ถึงพวกเขารู้ก็สายเสียแล้ว เจ้าปล่อยโอกาสให้คนอื่นบ้างเถิด”
ในตำหนักของชิ่งอ๋อง จิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังใช้มือลูบตบๆ ชิ่งอ๋องที่กำลังหลับอยู่ ท่าทางดูเศร้าโศก
“องค์ชาย พระชายาจูส่งเครื่องดื่มมาให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเดินเข้ามาพร้อมกระซิบบอก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าตอบรับ ขันทีจึงเดินออกไป
สายตาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับมาอยู่บนร่างของชิ่งอ๋องอีกครั้ง เขาหัวเราะกับตนเอง
“ลิ่วเกอร์ ข้ายังต้องใช้เจ้ามาเป็นไม้กันหมา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “พอมาคิดๆ ดูแล้ว ข้าก็ไม่ต่างจากพวกที่เยาะเย้ยและรังเกียจเจ้าเลยสินะ”
เขาหยุดนิ่งไปหลังพูดจบ ก่อนจะยื่นมือของเขาไปจับที่มือของชิ่งอ๋อง
“แต่ว่า ข้าคงต้องใช้วิธีนี้ต่อไป เพราะข้ามาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับแล้ว”