พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 400 ปิดบัง
ชิ่งอ๋องที่กำลังหลับอยู่เอ่ยเสียงพึมพำพลิกตัวไปมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องคว้าผ้าห่มมาคลุมให้กับชิ่งอ๋อง
“องค์ชายเองก็พักผ่อนได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่ยืนอยู่ด้านหลังในมุมมืดกระซิบบอกเขา
“ยังก่อน เราว่าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ
เดินเล่นอีกแล้วหรือ จิ้นอันจวิ้นอ๋องเริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
ขันทีนำเสื้อคลุมวางบนไหล่จิ้นอันจวิ้นอ๋อง ก่อนจะเปิดประตูพร้อมเดินติดตามเขาไป
เพื่อที่ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น จิ้นอันจวิ้นอ๋องเลือกตำหนักที่อยู่ค่อนข้างไกลออกไป การเดินเล่นของจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้หมายถึงการเดินเล่นในสวนดอกไม้หรือที่อื่นๆ แต่เป็นการเดินเล่นรอบๆ ตำหนัก
ขันทีที่คอยยืนคุมอยู่สี่ทิศคุ้นเคยกับการที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ไม่มีท่าทีว่าเขาจะหยุดเดินแต่อย่างใด
แสงแรกของยามเช้าสาดส่อง ประตูถนนถูกเปิดออก เฉิงเจียวเหนียงเดินออกมา ตามมาด้วยปั้นฉิน และสาวใช้อีกสองคนที่ในมือถือตะกร้าพร้อมกับคันเบ็ดตกปลา
“แม่น้ำฝั่งนี้ไม่มีปลาหรอก” ชาวบ้านละแวกนั้นเมื่อเห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะทัก “ถ้าแม่นางอยากตกปลา ต้องออกไปนอกเมือง”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มให้ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณ
เดินไปไม่กี่ก้าว ก็เจอกับเฉิงผิงที่กระโจนเข้ามา
พ่อบ้านเฉากับปั้นฉินตกใจเสียแทบแย่
“ข้ามาคิดดูแล้ว คงต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้าให้ชัดเจน” เฉิงผิงเกริ่น
ตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันระหว่างทาง เฉิงเจียวเหนียงก็ไม่ได้ไปหาเฉิงผิงอีกเลย เฉิงผิงเองก็ไม่ได้ตั้งใจไปหานางแต่อย่างใด ราวกับว่าเรื่องวันนั้นไม่เคยได้เกิดขึ้นอีกเลย
เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับ
“ท่านมีเรื่องอันใด” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้ อย่าได้หาพึ่งพาผู้อื่น เพราะมีแค่ตัวเจ้าเองเท่านั้นที่จะฝ่าผ่านทุกอุปสรรคไปได้” เฉิงผิงกล่าว
ประโยคเมื่อครู่ทำเอาพ่อบ้านเฉาและปั้นฉินถึงกับตาโต
“เจ้าหมอนี่!” พ่อบ้านเฉาตะโกนพลางยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าตัวเฉิงผิง
เฉิงผิงเมื่อพูดจบก็รีบหันหัวหนีไปอีกทาง พ่อบ้านเฉาพยายามวิ่งตามไป แต่ก็คว้าน้ำเหลว
“บุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ”
เฉิงผิงตะโกนทิ้งท้ายจากระยะไกล
พ่อบ้านเฉาโกรธจนเดือดดาล
ช่างเป็นคนที่แปลกเสียจริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กัดไม่ปล่อย สมกับเป็นคนตระกูลเฉิงจริงๆ …
ความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวเข้ามานี้ทำให้เขาถึงกับต้องกระแอมขึ้นมาทีสองที
ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจนิสัยแปลกๆ ของนายหญิงแต่อย่างใด
เฉิงเจียวเหนียงคิด ให้ข้าเข้มแข็งขึ้นงั้นหรือ จะมีประโยชน์อันใด ตระกูลเฉิงกับนางก็ไม่ได้เกี่ยวดองกันแล้ว
“ไปกันเถอะ”
เฉิงเจียวเหนียงก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ริมแม่น้ำช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศยังคงหนาวเย็น ปั้นฉินจัดแจงวางเก้าอี้ไม้ เฉิงเจียวเหนียงนั่งลง เหวี่ยงเบ็ดลงไปในน้ำแล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
ท่าทีของเฉิงเจียวเหนียงทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเกิดความสงสัย
“แม่น้ำนี้มีปลาแต่เมื่อใดกัน” ผู้คนสงสัยกันถึงขนาดมองไปรอบๆ แม่น้ำ
“แม่น้ำนี้ไม่เคยมีปลาอยู่แล้ว นั่นแม่นางที่สติไม่สมประกอบของพวกตระกูลเฉิงต่างหาก” คนที่คุ้นเคยแถวนั้นเอ่ยออกมา “นางสนที่ไหนล่ะว่าจะมีหรือไม่มีปลาในน้ำ”
ประโยคเมื่อครู่ดึงความสนใจผู้คนไม่น้อย
ข่าวลือที่คนว่านางสติไม่ดี พร้อมทั้งข่าวเกี่ยวกับคดีความบ้านตระกูลเฉิงได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งเมืองเจียงโจว
นางทั้งฟ้องลุงของตัวเอง ทั้งจะฮุบค่าสินเดิมของมารดาตัวเอง
เรื่องหดหู่เช่นนี้ก็มีแต่คนสติไม่ดีเท่าแหละที่กล้าทำ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือนางดันฟ้องชนะเสียนี่
นางธรรมดาเสียที่ไหน แม้ว่าผู้คนไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิด แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะคิดตัดสินเองได้
พ่อบ้านเฉามองไปยังนายหญิงที่กำลังนั่งตกปลานิ่งๆ ก่อนจะหันไปขยิบตาเรียกให้ผู้ติดตามเดินเข้ามาหา
“ช่วงเวลาหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ” พ่อบ้านเฉาถาม
ผู้ติดตามต่างมองตากันปริบๆ
“ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น” พวกเขาตอบอย่างพร้อมเพรียง
แต่ขณะที่พวกเขายังไม่ทันจะพูดจบ พ่อบ้านเฉาก็ยกมือโบกหัวพวกเขาสามที
“เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว!” พ่อบ้านเฉาขึงตาใส่พร้อมถอนหายใจ “ยังจะปิดบังข้าอีกหรือ!”
ผู้ติดตามบางคนหัวเราะเจื่อน
“ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะปิดบัง เพียงแต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็ดูปกติดี ไม่มีเรื่องแปลกอันใดเกิดขึ้น” พวกเขาอธิบาย
พ่อบ้านเฉาส่งเสียงฮึดฮัด
“แล้วเหตุการณ์ส่วนน้อยเล่า” เขาถาม
เหล่าผู้ติดตามสบตากันอีกครั้ง พวกเขาหยุดนิ่งไปครู่ ก่อนจะค่อยๆ เขยิบไปด้านหน้า
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากนายหญิงเดินทางไปเจอทะเลสาบใหญ่…” เสียงเบาของผู้ติดตามเอ่ยขึ้น พร้อมหันหน้าไปถามผู้ติดตามอีกคน
“ใช่ หลังจากที่เจอทะเลสาบใหญ่นั่น” ผู้ติดตามอีกคนช่วยยืนยัน
“หลังจากนั้นนายหญิงก็ดูแปลกไป…” ผู้ติดตามอีกคนปะติดต่อเรื่อง
“แต่ก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้น ก็แค่นั่งหันหน้าไปที่ทะเลสาบนั่นอยู่หลายวัน” ผู้ติดตามอีกคนกล่าว “นายหญิงเองก็เคยเป็นเช่นนี้”
“แต่ว่าเมื่อก่อนนายหญิงไม่ได้ฉุนเฉียวขนาดนี้นะ…” ผู้ติดตามอีกคนแย้งขึ้นมา
ฉุนเฉียวงั้นหรือ!
พ่อบ้านเฉาคว้าไหล่ผู้ติดตามที่พูดประโยคเมื่อครู่
“ฉุนเฉียวอย่างไร” เขาถาม
ผู้ติดตามต่างมองตากันปริบๆ อีกครั้ง พร้อมขยับเข้ามาใกล้พ่อบ้านเฉามากขึ้น
“ท่านเฉา รู้หรือไม่ ตอนอยู่ที่เหลียงโจว พวกข้าเกือบเอาตัวไม่รอด” ผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา
ตรงโรงจอดรถด้านหลังเรือน รถที่ใช้เดินทางกลับมาจากเหลียงโจวยังคงจอดนิ่งไม่ไปไหน ผู้ติดตามสองคนดึงผ้าที่คลุมรถไว้ออก พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้ว รถที่ไม่ได้ใช้งาน เอาผ้าคลุมเอาไว้ก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่ทว่า รถคันนี้กลับถูกมัดด้วยเชือก จุดนี้แหละที่แปลก…
พวกเขาแก้เชือกออก แล้วเปิดประตูรถ พ่อบ้านเฉาเมื่อได้เห็นดังนั้นก็ถึงกับเบิกตากว้าง
“นี่มัน…” เขาชี้นิ้วตะโกน แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ถูกผู้ติดตามสองคนรีบเอามือมาปิดปากพ่อบ้านเฉา
“เบาๆ สิท่านเฉา!” พวกเขาเตือนพ่อบ้านเฉา
พ่อบ้านเฉาใช้มือดันพวกเขาออกไป รีบเดินไปที่ด้านหน้าของรถ สายตามองไปยังอาวุธหน้าไม้ประหลาดที่อยู่บนรถ
เป็นถึงจอมพลประจำตระกูลโจว แน่นอนว่าต้องคุ้นเคยกับอาวุธเป็นอย่างดี แต่หน้าไม้คันนี้ดูเหมือนจะต่างจากหน้าไม้ที่เขาเคยพบเจอ
หัวและหางศรทำจากเหล็ก คันศรทำจากทองแดง สายทำจากเชือกป่าน ตัวหน้าไม้ยาวสามคืบสองนิ้ว ตัวสายยาวสองคืบห้านิ้ว
ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองสัมผัส แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับอาวุธ คงดูออกไม่ยากว่านี่เป็นอาวุธหน้าไม้ชั้นยอด
พ่อบ้านเฉาหยิบมันขึ้นมา และเริ่มมีอาการเข่าอ่อน
“น่าจะหนักสักสี่สิบต้านได้” พ่อบ้านเฉาตะลึงกับน้ำหนักของอาวุธคันนี้ พลางทดลองโดยการดึงคันโยก ผู้ติดตามเมื่อเห็นเข้าจึงรีบปรามทันที
“ท่านเฉา ต้องใช้แบบนี้ขอรับ” ผู้ติดตามบอกเขา พลางคว้าอาวุธมาแล้วใช้เท้าเหยียบลงไปบนวงแหวนเหล็ก
พ่อบ้านเฉามองผู้ติดตามที่ใช้งานหน้าไม้อย่างช่ำชอง ดูๆ แล้วหน้าไม้คันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากนักในการใช้งาน ซ้ำยังดูแข็งแรงทนทานไม่น่าจะเปราะหักได้ง่ายๆ
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้หน้าไม้คันนี้ดูทรงพลังยิ่งนัก
เสียงจากเชือกป่านที่ถูกดึง ลูกศรพุ่งออกไปด้วยความเร็ว เกิดเป็นเสียงฉึกจากหัวลูกศรที่ปักบนท่อนไม้ที่อยู่เบื้องหน้าจนเกือบมิดด้าม
พ่อบ้านเฉาดวงตาเบิกโพลงอีกครั้ง
“พวกข้าเคยลองกับเกราะเหล็กแล้ว” ผู้ติดตามเอ่ย “ระยะห่างสามร้อยสี่สิบกว่าก้าว ยิ่งเข้าเนื้อไม้อวี้ได้ครึ่งคันศร ระยะห่างเจ็ดสิบก้าว ยิงทะลุเกราะเหล็กได้”
พ่อบ้านเฉาสูดลมเข้าปาก
อาวุธร้ายกาจ!
“เป็นฝีมือนายหญิง นายหญิงทำมันขึ้นมาหรือ” เขาถามด้วยเสียงสั่นเครือ
ผู้ติดตามพยักหน้า
“แล้วเหตุใดจึงทำมันขึ้นมา” เขาถามเสียงสั่นอีกครั้ง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน การพกคันไม้ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด เพราะท่านชายหกเองก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องเสียหาย แต่ถ้าจะพกคันไม้น่ากลัวแบบนี้แล้วล่ะก็ คงดูไม่งามเท่าไหร่
พวกผู้ติดตามสบตากันอีกครั้ง
“เอาไว้สังหารคนขอรับ” ผู้ติดตามตอบเสียงอ่อน
พ่อบ้านเฉาที่กำลังถือคันไม้ในมือเริ่มวิตก ก็ดี นายหญิงพกมันไว้ฆ่าคน ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับนายหญิง แต่ว่าผู้ใดกันนะที่คู่ควรกับการต้องใช้อาวุธที่เหี้ยมโหดเช่นนี้
นี่นายหญิงจะฆ่าคนหรือจะฆ่าทั้งหมู่บ้านกันแน่
“…แต่ภายหลัง นายหญิงก็เริ่มเดินไปรอบๆ เมืองเหลียงโจว มีหลายคราที่นายหญิงตั้งใจจะไปฆ่าคน” ผู้ติดตามเล่า “นายหญิงตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ แถมคนที่เผชิญหน้าล้วนเป็นคนที่บังเอิญเจอกัน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่…”
แค่นึกถึงช่วงเวลานั้นก็ทำเอาพวกเขาขนหัวลุก
พวกเขาไม่ได้กลัวการฆ่าคน แต่การที่ต้องเห็นผู้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน มิหนำซ้ำผู้คนเหล่านั้นทั้งอายุน้อยและทั้งอายุเยอะก็ยังเคยยิ้มแย้มให้กับพวกเขา ใครจะกล้าทำได้ลงคอ แบบนี้เขาเรียกว่าฆ่าไม่เลือกหน้าชัดๆ
“นายหญิงมิใช่คนเช่นนั้นแน่นอน” พ่อบ้านเฉาแย้งด้วยความมั่นใจ
นายหญิงเป็นผู้ที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ แถมไม่ทำร้ายผู้อ่อนแอกว่า ครั้งนั้นในบ้านตระกูลเฉิงที่ถูกพวกคนใช้ล้อมไว้ นายหญิงก็ไม่ให้พวกเขาลงไม้ลงมือ เพราะนางถือว่าการทำร้ายผู้ที่ด้อยกว่านับว่าเป็นการทำลายฐานะของตนเอง นี่เป็นคุณสมบัติของนายหญิงที่ทั้งน่าภาคภูมิใจ และเป็นความปราณีของนาง
นายหญิงมิใช่คนที่คิดจะฆ่าผู้อื่นไม่เลือกหน้าอย่างแน่นอน
“เป็นเช่นนั้นขอรับ พอหลังจากนั้นนายหญิงก็กลับมาเป็นปกติ” ผู้ติดตามเล่าต่อ ด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ “จากนั้นก็ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อเดินทางกลับมา ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ท่านคงรู้อยู่แล้ว”
ตอนที่เข้ามาในเมือง ระหว่างทางก็ได้เจอกับเฉิงผิง ทั้งร้องไห้ทั้งอ้อนวอน…
พ่อบ้านเฉาพยักหน้า แล้วหยิบหน้าไม้ขึ้นมา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกหวั่นใจ
หากอาวุธวิเศษชนิดนี้ถูกมอบให้แก่ราชสำนัก หากเป็นไปตามที่ผู้ติดตามเหล่านี้กล่าวไว้ ด้วยระยะและพละกำลังของอาวุธชิ้นนี้ จะต้องนำพาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาให้อย่างแน่นอน!
“ท่านเฉา นายหญิงให้ซ่อนอาวุธนี้ไว้ขอรับ” ผู้ติดตามบอก
พ่อบ้านเฉานึกอะไรขึ้นได้
“ของแบบนี้อย่าเก็บไว้ที่รถเลย” เขากล่าว “เอาไปวางไว้ที่ห้องเก็บของลับใต้ดิน”
เมื่อเก็บอาวุธเข้าที่เรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านเฉาเดินออกมาอย่างสบายใจ เมื่อได้เห็นเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังนั่งตกปลาอยู่ เขาก็ตีหน้าทำเป็นขมวดคิ้ว สวมบทบาทนักบวชผู้เฒ่า
แบบนี้ไม่ได้การ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดนางก็ปล่อยวางได้ พ่อบ้านเฉาคิดแม้กระทั่งว่าต่อให้นายหญิงของเขาป่วยปางตายก็คงจะไม่ประสีประสาอะไร อายุเพียงเท่านี้แต่กลับต้องมาอมทุกข์แบบนี้คงจะไม่ได้การ
คนเราต้องมีเป้าหมายในชีวิตสิ
ถึงแม้จะคล้ายกับเฉิงผิงอยู่บ้างที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่อย่างน้อยเจ้านั่นก็มีเป้าหมายในการหาเงินหนึ่งร้อยเหวิน
เดือนสี่ในรัชศกหย่งเหอปีที่สอง บนถนนในเมืองหลงกู่ ม้าสามตัวควบผ่านมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
บ้านเรียบง่าย แต่สะอาด ในช่วงเวลาแบบนี้ การตกแต่งประดับประดาด้วยสีแดงและสีเขียวถือเป็นเรื่องมงคล
“สวีซื่อเกิน! มาช้าเกินไปแล้วนะ มาดื่มเหล้าลงโทษเดี๋ยวนี้” สวีปั้งฉุยตะโกน มือพลางถือขวดเหล้า ลมหายใจของเขาคลุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำเมา
“ท่านพี่ ข้ามาหาแล้ว แต่ดันมาไม่ทันช่วงเวลาสำคัญ…” สวีซื่อเกินคะยั้นคะยอให้ฟ่านเจียงหลินสนใจเขา พร้อมทั้งรีบก้มขอขมา
ฟ่านเจียงหลินยิ้มพลางพยุงตัวขึ้น
“เจ้ามีงานราษฎร์ที่ต้องทำนี่นา” เขาเอ่ย
“ใช่แล้วใช่แล้ว ตอนนี้ท่านสี่เป็นขุนนาง ส่วนพวกเราเป็นทหาร” สวีปั้งฉุยพูด
สวีเม่าซิวง้างมือตบปั้งฉุยไปหนึ่งที
“เมียเจ้าหอบลูกตามหาเจ้าอยู่ ยังมาเลอะเทอะตรงนี้อยู่อีก” สวีเม่าซิวกล่าว “เป็นขุนนางไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องเลี้ยงม้าด้วย”
“งั้นข้ายอมเป็นทหารดีกว่า” สวีปั้งฉุยลูบหัวแล้วยิ้ม จากนั้นเดินกลับไปอย่างว่าง่าย
เหล่าเพื่อนพ้องต่างมองตากันแล้วหัวเราะเสียงดังออกมา
เจ็ดพี่น้องกำลังนั่งล้อมวงสังสรรค์ แถมมีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคน สวีปั้งฉุยอุ้มทารกชายตัวน้อยออกมาอวด เหล่าหญิงสาวเดินเข้าๆ ออกๆ เพื่อมาบริการเหล่าชายหนุ่ม
“แค่ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปสองปีแล้ว” สวีซื่อเกินกล่าว สายตามองไปยังพี่น้องทุกคน “ลูกปั้งฉุยโตขนาดนี้เชียว ส่วนพี่ใหญ่ก็แต่งงานแล้ว…”
“นั่นสินะ ก็เหลือแค่พวกเจ้าไม่กี่คนแล้วแหละ รีบๆ แต่งงานได้แล้ว” ฟ่านเจียงหลินรีบพูดต่อ พร้อมชี้ไปยังคนที่เหลือ
“พวกเรารอให้การงานมั่นคงเสียก่อน” สวีเม่าซิวหัวเราะ พร้อมยกถ้วยเหล้าขึ้น “มา เหล่าซื่อ ลองชิมเหล้านี้ดู”
“ใช่ ใช่ เหล้านี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับเหล้าของทางการ” สวีปั้งฉุยเสริม
“นี่คือเหล้าที่น้องสาวขนมาจากเจียงโจวหรือ” สวีซื่อเกินถาม พลางจิบเหล้าคำใหญ่ ชมไม่หยุดปาก
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบชมไป เจ้าลองทายดูสิว่านางพูดไว้ว่าเช่นไร” หนึ่งในกลุ่มพี่น้องได้ถามขึ้น
“จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็ต้องดูถูกว่าเหล้านี่ไม่ดี พวกเราก็ฝืนกินหน่อยแล้วกัน” สวีซื่อเกินหัวเราะ
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง
เหล่าหญิงสาวที่อยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะนินทา
“พอได้มารวมตัวกันอย่างนี้คงสนุกสนานไม่เบาเลยเชียว” หญิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“พอได้ถามไถ่ถึงน้องสาวก็เลยยิ่งคึกกันไปใหญ่” หญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาเป็นฮูหยินคนล่าสุดเอ่ยขึ้นมา
หญิงคนแรกเอื้อมมือไปคว้ามือของหญิงสาวเพื่อดูสร้อยข้อมือทองคำบนข้อมือของนาง ตัวนางเองก็ยื่นสร้อยข้อมือของตนให้หญิงอีกคนดูเช่นกัน
“ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะรวมตัวกันได้ครบเจ็ดคน” นางกล่าว
“ไม่รู้ว่าน้องสาวของพวกเขาเป็นคนเช่นไร” หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยความเคอะเขิน “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไร สามีบอกว่าน้องสาวของเขามีครบทุกอย่างแล้ว ข้าเลยทำรองเท้ามาให้ ไม่รู้ว่านางจะชอบไหม”
“มีหรือจะไม่ชอบ ไหนข้าขอดูฝีมือเจ้าหน่อย”
เหล่าภรรยารวมตัวกันในอีกห้องหนึ่ง แลกเปลี่ยนงานปักงานฝีมือ ขณะที่เหล่าบุรุษดื่มและหัวเราะในอีกห้องหนึ่ง
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากถนน ทำลายความสงบสุข
“เกิดอันใดขึ้น”
ทุกคนออกมาถามไถ่
“จะเรื่องอะไรเสียอีก พวกโจรตะวันตกมารนหาที่ตายอีกแล้วน่ะสิ” สวีปั้งฉุยหัวเราะลั่น พลางยื่นลูกชายที่อยู่ในอ้อมอกให้ภรรยาดูแล “หลังจากวันนี้ พวกเราจะได้เป็นแม่ทัพทหารตัวจริงแล้ว!”