พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 403 แจ้งข่าวร้าย
เสียงจอแจนอกเมืองยังคงดำเนินต่อไป สวีซื่อเกินเดินทะลุผ่านจากในขบวนแถว เขาถามไถ่อย่างร้อนใจ ทว่าทุกคนต่างพากันส่ายหน้าหมด เขาจึงเอ่ยถามคนที่อยู่ด้านหลังต่อไปอย่างไม่ลดละ
จนกระทั่งความวุ่นวายหน้าประตูเมืองได้สลายไป กองทัพใหญ่ต่างเคลื่อนขบวนเข้าไปในเมืองเรียบร้อยแล้ว สวีซื่อเกินยังคงยืนเหม่ออยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าร้อนรน
“อาสี่ เหตุใดไม่เห็นพวกปั้งฉุยเลยเล่า”
“นั่นสิท่านอา พวกพี่ใหญ่เล่า”
ภรรยาทั้งสองต่างเอ่ยถามเขาอยู่ด้านหลังด้วยความร้อนใจ
“พวกเขาเป็นทหารป้อมหลินกวาน พวกป้อมทหารหลินกวานต่างเข้าเมืองกันไปก่อนแล้ว…” สวีซื่อเกินฝืนยิ้มให้พวกนาง
“อ๋อ เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นพวกเรารีบเข้าเมืองกัน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะกลับถึงบ้านกันแล้วก็ได้” หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางเขย่าตัวเด็กที่มัดไว้ด้านหลัง “พี่สะใภ้ใหญ่ เรารีบกลับกันเถิด”
หญิงทั้งสองหันหลังวิ่งไปในเมืองอย่างรีบร้อน
สวีซื่อเกินกลับหันหลังมาด้วยความยากลำบาก เพิ่งจะหันมาก็ได้ยินเสียงโวยวายและเสียงรถดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันหน้าไปอย่างแข็งทื่อ เห็นคนผู้หนึ่งลากรถสองคันเดินมาบนถนนใหญ่ ข้างกายยังมีอีกสองคนที่เดินตามมา
เกิดเรื่องใดขึ้น
ใจสวีซื่อเกินกระวนกระวาย เขาทั้งเสียใจทั้งโกรธตนเองที่นึกไม่ถึงว่าตนจะรู้จักคนที่ลากรถผู้นั้น
“ข้าว่านะหลิวขุย เจ้าน่ะอย่าได้ทำตัวระยำตำบอนเช่นนี้ดีหรือไม่ กฎเกณฑ์แต่เก่าก่อนล้วนได้กลบฝังไปหมดแล้ว ไหนเลยจะมีคนทำเหมือนเจ้าที่รั้นลากคนกลับมาเช่นนี้!”
ทหารทั้งสองนายตะโกนขึ้นด้วยความโกรธและร้อนใจ ทั้งยังจนปัญญาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
คำพูดนี้พวกเขาพูดมาตลอดหนึ่งวันสองคืนแล้ว ทว่ากลับสูญเปล่า หลิวขุยผู้นี้พฤติกรรมแปลกประหลาดอย่างกับถูกปีศาจร้ายเข้าสิงอย่างไรอย่างนั้น
หลิวขุยก้มหน้าลากรถเดินไปทีละก้าว ศพบนรถถูกอาภรณ์ที่ไม่รู้ว่าเก็บมาจากที่ใดคลุมเอาไว้หลายตัว เผยให้เห็นเพียงเท้าห้าคู่ที่โผล่ออกมาขยับไหวไปตามแรงเคลื่อนของรถเท่านั้น
‘…ทหารกล้าหุ้มเกราะภายใต้สังกัดป้อมปราการเจี้ยสือในเว่ยโจว สวีเม่าซิว ฟ่านเจียงหลิน ฟ่านสือโถว ทหารม้าสวีซื่อเกิน สวีล่าเย่ว์ ฟ่านซานโฉ่วผู้กล้าหาญ…’
‘…พวกเจ้ามันเศษสวะ! มีปัญญาหนีทัพ มีปัญญาเอาพี่น้องของตนมาบังธนูบังกระบี่ มีปัญญานักพวกเจ้าก็มาสู้กับข้านี่…’
‘…เหตุใดเล่าเจ้าผู้กล้าหาญ ห้าวหาญชำนาญศึก นำทัพบุกทำลาย เจ้าดูสิว่ายามนี้กำลังทำอะไรกันอยู่…’
‘พวกเราไม่ได้หนีทหาร! พวกเราถูกขุนนางเลวใส่ร้าย!’
‘ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! อย่าได้คิดหนี!’
ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า จะจับตาดูพวกเจ้าไว้
หลิวขุยกัดฟันย่างเท้าก้าวเดินต่อไป นัยน์ตาแดงก่ำไปทั้งดวง หัวไหล่ถูกเชือกมัดแน่นจนกลายเป็นรอยเลือดเต็มไปหมด
ณ หน้าประตูมีเสียงตะโกนดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของหญิงสาวสอดประสานกับเสียงร้องของเด็กทารกตัวน้อย
ต้นเดือนห้า เมืองเจียงโจวเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นมาแล้ว
ม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่งควบแล่นอยู่บนถนนใหญ่ ฝุ่นตลบอบอวลท่ามกลางอากาศร้อน ผู้คนต่างหลบหลีกยามม้าควบผ่าน ทหารบนรถม้าดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งส่งข่าวด่วน ม้ามุ่งตรงไปทางประตูเมือง ขนาดนายทวารเฝ้าประตูเมืองยังไม่กล้าขวางเอาไว้ ลนลานไล่ชาวบ้านให้สลายตัวกันไป
“สวรรค์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ ทางการของพวกเรามิได้เกี่ยวข้องกับกิจการทหารนี่นา”
“คงจะผ่านทางเท่านั้นกระมัง”
ในขณะที่พวกเขากำลังกระซิบพูดคุยกันอยู่นั้น ม้าตัวนั้นก็หยุดอยู่หน้าประตูเมือง กีบเท้าของมันยกขึ้น ปากก็ส่งเสียงร้องออกมา
“ตระกูลเฉิงแห่งเมืองเจียงโจว ตระกูลเฉิงอยู่ที่ใดหรือ” ทหารเอ่ยถามขึ้นเสียงดัง
มิใช่ผ่านทางมา แต่ก็มิได้ตามหาทางการเช่นกัน สิ่งที่เขาถามหาคือตระกูลเฉิง เช่นนั้นก็หมายความว่านี่มิใช่เรื่องของทางการอย่างนั้นหรือ
เหล่านายทวารเฝ้ายามถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรีบชี้ไปยังทางหนึ่ง ทหารนายนั้นไม่รอให้เขาพูดจบก็ชักม้าเร่งตะบึงออกไป บนถนนใหญ่มีทั้งคนทั้งม้าโกลาหลไปทั้งสาย
“นายหญิง เกิดเรื่องแล้ว!”
ประตูริมถนนถูกผลักเปิดอย่างแรง พ่อบ้านเฉาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด ในมือมีจดหมายฉบับหนึ่ง
ปั้นฉินที่กำลังดึงประตูให้เปิดอยู่บนระเบียง รวมทั้งเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ในห้องต่างพากันหันมามอง
เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่เฉิงฝืนร่างกายลุกขึ้นมานั่ง
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาเอ่ยถาม
“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ทั้งเรื่องดีเรื่องร้ายก็ล้วนไม่เกี่ยว” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางยกมือไปพยุงให้เขานอนลง
“พูดได้ดีนี่” นายใหญ่เฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น “เรื่องดีย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเรา แต่เรื่องร้ายก็ไม่แน่แล้ว”
พลางส่งสัญญาณให้พ่อบ้านรีบรายงานมา
“ไม่รู้ว่าเรื่องอันใดเช่นกันขอรับ ทหารผู้นั้นแหกปากตะโกนอยู่หน้าประตู บอกแต่ว่ามาหาแม่นางแซ่เฉิง พวกเราก็ชี้ให้เขาดู บ่าวไม่วางใจจึงเดินตามไปดูด้วย พอพ่อบ้านเฉาเห็นทหารผู้นั้นเข้าสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป จนกระทั่งรับจดหมายมาร่างกายก็ยังสั่นเทิ้มไม่หยุด…” พ่อบ้านรีบเอ่ยบอกด้วยท่าทางตกใจอย่างปิดไม่มิด
เป็นเรื่องที่ไม่นึกไม่ฝันจริงๆ ว่าจะได้เห็นพ่อบ้านเฉาผู้หยิ่งทะนงตนคนนั้นเป็นเช่นนี้
“จากนั้นเขาก็เข้าไปด้านใน แล้วบ่าวก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ออกมาจากด้านในขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยบอก “ต่อมาก็ไม่มีอันใดเกิดขึ้นแล้ว”
เสียงร้องไห้รึ
“เป็นนางบ้านั่นที่กำลังร้องไห้ใช่หรือไม่” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบถามขึ้น
พ่อบ้านส่ายหน้า
“มีประตูบังไว้จึงไม่เห็นขอรับ แต่เป็นเสียงของหญิงสาวแน่นอน” เขาเอ่ยบอก
ไม่ว่าจะเป็นสาวใช้หรือนางบ้านั่นที่ร้องไห้ สรุปก็คือมีคนร้องไห้ เช่นนั้นก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่แล้ว
นายใหญ่เฉิงถอนหายใจเอนหลังพิงกลับไปดังเดิม
เกิดเรื่องใดขึ้นกัน
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้
ท่านชายโจวหกที่นั่งอยู่ภายในกระโจมก็กำลังย้อนถามด้วยประโยคเดียวกันอยู่เช่นกัน ราวกับว่าเสียงกลองรบยังคงดังกึกก้องอยู่ข้างหู เสียงเข่นฆ่าก็ยังดังระงมไม่จางหาย
เขานั่งอยู่เช่นนี้มาค่อนวันแล้ว กระดาษเบื้องหน้ายังคงว่างเปล่าไร้การขีดเขียน พู่กันที่จุ่มหมึกไว้ได้แห้งเหือดไปแล้ว
เขาไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไร การแจ้งข่าวคนตายนั้นน่าจะถูกส่งออกไปแล้ว ไม่ต้องให้เขาออกหน้ารับ แม้ว่าฟ่านเจียงหลินยังคงสติเลอะเลือนอยู่ แต่สวีซื่อเกินผู้เลี้ยงม้านั่นมีสติครบถ้วนดีเยี่ยม อีกทั้งพวกเขาต่างร่ำรวยกันถึงเพียงนั้น มีตำแหน่ง มีเงินตรา การแจ้งข่าวการตายนี้ต้องส่งไปตรงเวลาได้อย่างแน่นอน ไม่เหมือนทหารคนอื่นๆ ที่ถูกมองข้ามไม่สนใจหรือไม่ก็อีกเนิ่นนานกว่าข่าวจะไปถึง
เขายังต้องเขียนสิ่งใดอีก อธิบายเรื่องโศกเศร้าเรื่องนี้อีกรอบอย่างนั้นหรือ หรือจะเขียนปลอบใจนางดี
ปลอบใจรึ เรื่องยากได้เกิดขึ้นแล้ว คำกล่าวเช่นใดจึงจะสามารถปลอบใจนางได้กัน
ท่านชายโจวหกกำพู่กันแน่น ในที่สุดก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด แกร๊ก เสียงพู่กันหักดังขึ้น
เสียงร่ำไห้ยังคงดังขึ้นต่อไป
ปั้นฉินโน้มตัวหมอบกับพื้นลุกขึ้นไม่ไหว
พ่อบ้านเฉาคุกเข่าอยู่ด้านข้างมองหญิงที่อยู่ด้านหน้าฉากบังลม
สีหน้าของนางไม่มีเปลี่ยนแปร สายตายังคงตกอยู่บนจดหมายที่กางเปิดอยู่บนโต๊ะ
เนื้อหาในจดหมายนั้นเรียบง่ายนัก ขนาดคนรับใช้ของผู้บัญชาการทหารที่มาจากตระกูลโจวอย่างพ่อบ้านเฉาก็ยังสามารถท่องออกมาได้
อย่างประโยคที่ว่าวันเดือนปีนั้นๆ คนบางคนได้เสียสละเพื่อชาติ เป็นต้น
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นลูบจดหมาย
“ฟ่านสือโถว สวีเม่าซิว สวีล่าเย่ว์ ฟ่านซานโฉ่ว สวีปั้งฉุย…” นางอ่านมันอย่างเชื่องช้า
เสียงร้องไห้ของปั้นฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ อย่าได้เศร้าโศกไปเลย อย่าได้เศร้าโศกไปเลย” นางสะอึกสะอื้นเอ่ยพลางคลานเข่าเข้าไปหา
“ข้ามิได้เศร้าโศก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก มือลูบคลำรายนามในจดหมายไปมา “ไปถามมาว่าพวกเขาตายอย่างไร”
ปั้นฉินยังไม่ได้สติ พ่อบ้านเฉาพลันกระจ่างแจ้ง เขาหันหลังเดินออกไปเรียกทหารนายนั้นอย่าเคร่งขรึม
ทหารนายนั้นที่ถูกทิ้งไว้นอกเรือนกำลังพักผ่อนอยู่
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใดหรือ” คนรับใช้คนหนึ่งกำลังเอ่ยถาม
“วันที่สิบเก้า เดือนสี่” ทหารคนนั้นเอ่ยตอบ
วันที่สิบเก้า เดือนสี่ วันนี้วันที่สาม เดือนห้า เช่นนั้นก็แสดงว่ากลับมาถึงเมืองเจียงโจวจากเมืองหลงกู่เมื่อสิบกว่าวันก่อน เช่นนี้ก็นับว่าส่งข่าวเร็วมากแล้ว
ทหารเห็นเหล่าคนรับใช้สีหน้าตกใจก็ดื่มชาอึกใหญ่เพื่อระงับความร้อนในลำคอ
“…ผู้กำกับสวีให้ค่าเดินทางมาอย่างเพียงพอ รวมถึงม้าที่ใช้ผลัดเปลี่ยนตลอดทางด้วย…” เขาเอ่ยบอก อีกทั้งยังให้ค่าแรงส่งจดหมายแก่เขาในจำนวนที่ชาตินี้เขาไม่มีทางหามาได้ ดังนั้นเขาจึงแทบจะหยุดพักครั้งเดียวภายในสามวัน ใช้เวลาให้เร็วที่สุดควบม้ามาเช่นนี้
เหล่าคนรับใช้ต่างพยักหน้า ไม่ถามอันใดอีก พวกเขาไม่สนิทกับเหล่าพี่น้องจากเขาเม่าหยวนและไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอันใดมากนัก ทว่าผู้วายชนก็เป็นเรื่องน่าเสียใจอยู่ดี
ตายก็คือตาย ไม่มีคนผู้นั้นในโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว
ทหารผู้นั้นดื่มชาอีกอึกใหญ่ บางทีอาจเพราะควบม้าเร่งมาจึงเหนื่อยล้า จึงรู้สึกว่าชาตินี้ไม่เคยได้ลิ้มรสชาติเลิศล้ำเพียงนี้มาก่อน เขาเงยหน้ามองไปรอบด้านอีกครา
เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก การตกแต่งก็เรียบง่ายทว่าไม่ทรุดโทรม บนโต๊ะมีชาและผลไม้วางอยู่ มองดูแล้วสดใหม่อย่างมาก ไม่เหมือนครอบครัวต่ำต้อยที่ตระหนี่ถี่เหนียว และไม่เหมือนตระกูลมั่งคั่งที่ชอบโอ้อวด
เรือนที่อยู่อาศัยนั้นกว้างขวาง แม้ว่าที่นี่จะไม่ได้มีบ้านเรือนมากมาย บ้านเรือนส่วนใหญ่ต่างเก่าและทรุดโทรมอย่างมาก แต่ก็เกินความคาดหมายของเขาไปแล้ว
บอกว่าคนพวกนี้เป็นคนจากเขาเม่าหยวนมิใช่หรือ เหตุใดจึงมีน้องสาวบุญธรรมเช่นนี้อยู่ในละแวกคนร่ำรวยของเจียงโจวอันมั่งคั่งแห่งนี้ได้กัน
ในขณะที่เขากำลังคิด พ่อบ้านเฉาก็ให้คนมาเรียกเขา
นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ผู้เป็นนายได้รับจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตย่อมต้องมีเรื่องให้ซักถาม ดังนั้นทหารนายนั้นจึงฝืนทนไว้ไม่ไปพักผ่อน
เขาเดินตามบ่าวรับใช้เข้ามาด้านหลังของเรือน ไม่กล้ามองไปทั่วจึงได้แต่ก้มหน้าเดินไปยังห้องโถงหลัก ข้างหูไร้เสียงร้องห่มร้องไห้เหมือนคนอื่นๆ ในบ้านที่พอได้รับข่าวการจากไปก็ร่ำไห้เช่นนั้น เงียบกริบราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นน้องสาวบุญธรรมคนนี้คงมิได้สนิทกันหรอกกระมัง
ทหารนายนั้นยืนคำนับอยู่บนระเบียง
“เชิญนั่ง”
เสียงหญิงสาวที่อยู่ในเรือนเอ่ยขึ้น
ทหารนายนั้นจึงนั่งคุกเข่าลง
“ขอถามหน่อยได้หรือไม่ ว่าพวกเขาตายได้อย่างไรหรือ”
คำถามก็เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ทหารนายนั้นจึงเอ่ยรับคำ แล้วเล่าเรื่องราวการรบในวันนั้นให้ฟังอย่างเรียบง่าย ตามหลักการแล้วเล่าแค่เพียงเรื่องการตายในสนามรบให้แก่คนในครอบครัวฟังก็เพียงพอแล้ว ทว่าทหารนายนั้นคงกำลังเห็นแก่เงินรางวัลตอบแทนจึงได้เอ่ยเพิ่มเติมเข้าไปไม่กี่ประโยคอย่างอดไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องไห้ของหญิงสาวคลอไปกับการเล่า
ร้องไห้แล้วก็ดี ร้องไห้สิดี ร้องไห้ออกมาจึงจะปกติขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นการตาย แม้ว่าจะไม่สนิทชิดเชื้อ แต่ก็เป็นถึงน้องสาวบุญธรรม
“ศึกครานี้คนตายและบาดเจ็บมากนัก ฟ่านสือโถวและพรรคพวกอีกห้าคนเป็นทหารกล้าที่ห้าวหาญ ขอแม่นางโปรดอย่าได้เศร้าโศก” เขาค้อมกายพร้อมเอ่ยคำทางการปิดท้าย
“หมายความว่า การปกป้องเมืองของพวกเขามีความสำคัญต่อชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในครานี้ใช่หรือไม่”
เสียงของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้น
น้ำเสียงนั้นไร้แววสะอื้น หรือคนที่ร้องไห้จะมิใช่นาง…
ทหารคนนั้นนิ่งชะงักไปแล้วพยักหน้า
“ขอรับ เดิมทีตอนนั้นพวกเขามีหน้าที่ซุ่มโจมตี แต่เจอกับทหารยอดฝีมือของกองโจรตะวันตกเข้าพอดีจึงได้จุดคบเพลิงส่งสัญญาณ ส่งคนให้ไปส่งสาร แล้วถ่วงเวลาศึกกับยอดฝีมือของโจรตะวันตกเอาไว้ ใช้คนน้อยต่อสู้กับอีกฝ่ายที่มีมากกว่า ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ ขอรับ” เขาเอ่ยบอก
“เสียสละชีพเพื่อบ้านเมืองอย่างไม่นึกเสียดาย เผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่เกรงกลัว ตายอย่างมีความหมาย สมควรชื่นชมและยกย่อง”
เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้น
“ขอรับ ต้องได้รับการชื่นชมและยกย่องจากราชสำนักแน่นอน” ทหารคนนั้นเอ่ย “ข้าน้อยเร่งรีบมา ไม่ทันได้ฟังเรื่องรางวัล ครอบครัวของทหารกล้าผู้เสียสละเพื่อชาติต้องได้รับการดูแลอย่างดีแน่นอน ยามนี้ราชสำนักมีการเพิ่มเงินดูแลมากขึ้น ทหารอย่างเราได้ห้าก้วน ผ้าไหมอีกหก…”
บางทีอาจเพราะในบ้านหลังนี้ไร้ซึ่งบรรยากาศโศกเศร้าเสียใจให้สะเทือนอารมณ์ของนายทหาร เขาจึงได้ออกทะเลไปไกลเช่นนี้
พอประโยคนี้กล่าวออกมา เสียงร้องห่มร้องไห้ของหญิงสาวภายในเรือนก็ดังมากขึ้นกว่าเดิม นายทหารตกอกตกใจจนต้องหยุดพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
หญิงสาววัยแรกแย้มใบหน้างดงามดั่งบุปผาในชุดกระโปรงเสื้อนวมสั้นลายเรียบนั่งหลังตรงอยู่ด้านใน
ทหารนายทำได้เพียงใช้คำคำนี้มาบรรยายความรู้สึกของตนเอง เขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะมองนางนานๆ ก่อนจะเบนสายตาหนีไปตกอยู่บนร่างของเด็กสาวนางหนึ่งที่เป็นสาวใช้นั่งด้านข้างแทน
สาวใช้หมอบลงกับพื้น คนที่ร้องไห้ก่อนหน้านี้คือนางนี่เอง
“ใครจะไปสนเงินและผ้าไหมพวกนั้นกัน!” ปั้นฉินเอ่ยทั้งน้ำตา “เงินทองและผ้าไหมของพวกท่านชายมีจนนับไม่หวาดไม่ไหว! นับไม่หวาดไม่ไหว นับได้ไม่ถ้วน! สวรรค์เจ้าขา!”
สวรรค์เจ้าขา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
สวรรค์เจ้าขา ไม่ควรเป็นเช่นนี้นะเจ้าคะ!