พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 405 เสียใจหรือไม่
สวีซื่อเกินเข้าประตูเรือนมา ภรรยาสาวก็เข้าไปต้อนรับทั้งน้ำตาคลอ ในอ้อมอกยังอุ้มทารกน้อยเอาไว้ด้วย
“อาสี่ ท่านมาแล้ว” นางสะอื้นเอ่ย
“พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” สวีซื่อเกินเอ่ยถาม
หญิงสาวยกมือขึ้นซับน้ำตา
สายตาสวีซื่อเกินตกอยู่บนร่างของทารกน้อยในอ้อมอกนาง
“ภรรยาของน้องเจ็ดนอนอยู่ลุกไม่ขึ้น ข้าจึงเอาเด็กออกมาก่อน” ภรรยาสาวผู้นั้นเอ่ยบอก
“คนที่บ้านนางมาแล้วหรือ” สวีซื่อเกินเอ่ยถาม
หญิงสาวสีหน้าดูละอายใจ
“มาช่วยจัดการสักครู่สิ” นางเอ่ยเสียงเบา
ให้ช่วยจัดการหรือเกลี้ยกล่อมให้แต่งงานกันแน่
เรื่องเช่นนี้ไม่น่าแปลกอันใด สวีซื่อเกินมองด้านนอกแวบหนึ่ง
“อาสี่ ท่านตัดสินใจเถิด” ฮูหยินวัยอ่อนกระซิบบอก “บอกไปว่าภรรยาของน้องเจ็ดควรไว้ทุกข์อยู่สามปี…”
สวีซื่อเกินได้ฟังก็คัดจมูกขึ้นมาคล้ายจะร้องไห้ทันใด
เขาเป็นคนที่ต้องตัดสินใจในหมู่พี่น้องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ในพวกเขาเจ็ดพี่น้อง เป็นสวีเม่าซิวที่เป็นคนตัดสินใจมาโดยตลอด ส่วนฟ่านเจียงหลินพยักหน้าเรียกทุกคนให้มาฟัง พวกเขาที่เหลือเพียงแค่ทำตามการตัดสินใจนั้นเท่านั้น มีความยากเข็ญร่วมกล้ำกลืน มีทุกข์ร่วมต้าน มีสุขร่วมเสพ…
ทว่ายามนี้…
“อย่าได้ไว้ทุกข์ถึงสามปีเลย ยังอ่อนเยาว์แข็งแรง เหตุใดต้องลำบากนางด้วย” เขาสูดหายใจลึกแล้วเงยหน้าขึ้น “สินเดิมให้นางเอาไปด้วย ไม่เอาสินสอดในตอนนั้นแล้วเช่นกัน ทิ้งไว้ให้นางนั่นแหละ วันหน้าจะได้ไม่ลำบาก ปั้งฉุยต้องมีความสุขมากแน่…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็พูดต่อไม่ได้แล้ว
ทว่าภรรยาสาวผู้นั้นร้องไห้ออกมานานแล้ว เด็กทารกในอ้อมอกไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับนึกว่าถูกหยอกจึงหัวเราะคิกคัก ออกมา ยื่นมือน้อยมาจับแขนนางไว้
หญิงสาวยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่
“เด็กคนนี้ก็คงต้องลำบากพี่สะใภ้แล้ว” สวีซื่อเกินเอ่ยเสียงแหบพร่า “ดีร้ายอย่างไรก็ยังเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขไว้…”
แต่พี่น้องคนอื่นๆ…
สวีซื่อเกินพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป จึงย่างเท้าเดินไปยังห้องด้านใน
กลิ่นยาลอยอบอวลอยู่ภายใน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่าเจืออยู่จางๆ ฟ่านเจียงหลินที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงหันหน้าเข้ากำแพง ไม่รู้ว่ากำลังหลับหรือรู้สึกตัวอยู่ มียาถ้วยหนึ่งวางอยู่ด้านข้างไม่ขยับไหว
“พี่ใหญ่ ข้าเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่แล้วอายคนนัก!”
สวีซื่อเกินสะบัดชายเสื้อนั่งลงแล้วสะอื้นเอ่ย
“ท่าทางเยี่ยงนี้ของพี่สมกับคำว่าพี่ใหญ่หรือไร”
ฟ่านเจียงหลินนอนนิ่งไม่ไหวติง
“พี่นอนพอหรือยัง” สวีซื่อเกินเอ่ย “พี่ควรลุกขึ้นมาจัดการเรื่องราวที่ควรทำได้แล้วกระมัง”
“เรื่องที่ข้าควรทำก็คือตายๆ ไปเสีย” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงแข็งทื่อ “ตายไปพร้อมกับพวกเขา”
สวีซื่อเกินหยิบถ้วยยาข้างเตียงขึ้นมาขว้างลงพื้น
“พี่หมายความว่าข้าก็ควรตายไปด้วยใช่หรือไม่” เขาตะคอก “พวกเราเจ็ดคนเคยพูดกันว่าไม่ขอเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายในวันคืนเดียวกัน ยามนี้ถึงเวลาที่เราควรจะทำตามสัญญาตายไปด้วยกันแล้วใช่หรือไม่”
“เหล่าซื่อ เจ้าก็รู้ว่าข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เหตุใดต้องเอาการทำลายตัวเองมาไล่บี้ถามข้าด้วย” ฟ่านเจียงหลินยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
“เช่นนั้นพี่กำลังทำลายใครกัน” สวีซื่อเกินตวาด “แล้วพี่จะทำให้ใครดู พวกเขาอยู่ดูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พี่จะให้ข้าดูหรือจะให้พี่สะใภ้ใหญ่ ให้คนบนโลกหล้า ให้น้องสาวดูเช่นนั้นหรือ”
ฟ่านเจียงหลินได้ยินคำว่าน้องสาวร่างกายก็ขยับไหว แต่ก็พลันซุกหน้าเข้ากำแพงมากกว่าเดิม
“อาสี่ อาสี่” เสียงเรียกของฮูหยินดังขึ้นจากลานบ้าน “น้องสาวจากเจียงโจวส่งคนมาแล้ว”
ประโยคนี้จบลง สวีซื่อเกินก็รีบสาวเท้าออกไปโดยไม่สนใจฟ่านเจียงหลินอีกต่อไป ฟ่านเจียงหลินที่นอนอยู่บนเตียงก็ฝืนลุกขึ้นมา เขาได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นมาจากด้านนอก
“…ขอท่านชายอย่าได้เศร้าโศก บ่าวเป็นตัวแทนนายหญิงมาส่งของขวัญงานศพ…”
มองจากหน้าต่างออกไป ผู้มาเยือนที่อยู่ในลานบ้านสวมชุดไว้ทุกข์ มาทำศพโดยเฉพาะ
ฟ่านเจียงหลินนอนลงอีกครั้งด้วยสีหน้าอมทุกข์ ขดตัวนิ่งอยู่บนนั้น
ยังจะมีหน้าที่ไหน ยังจะมีหน้าที่ไหนไปพบ…
เสียงพูดคุยด้านนอกได้ยินไม่ชัดแล้ว สักพักใหญ่หรือบางทีอาจไม่นานเพียงนั้น สวีซื่อเกินก็เข้ามาอีกครั้ง นั่งลงอ่านรายการของขวัญที่เฉิงเจียวเหนียงส่งมาทีละตัว
ฟ่านเจียงหลินไม่ไหวติง
สวีซื่อเกินอ่านจบก็วางลงแล้วมองดูเขา
“น้องสาวยังแนบจดหมายอีกฉบับมาด้วย” เขาเอ่ย “เขียนแค่ประโยคเดียว ข้าอ่านแล้วรู้คำตอบของตัวเองดี แต่ข้าไม่รู้ในคำตอบของพี่”
ฟ่านเจียงหลินยังคงแน่นิ่ง
บรรยากาศภายในห้องเงียบงันขึ้น
“เสียใจหรือไม่” สวีซื่อเกินพลันเอ่ยขึ้น
ฟ่านเจียงหลินร่างแข็งทื่อขึ้นมา
“ในจดหมายของน้องสาวมีเพียงประโยคนี้ประโยคเดียว เสียใจหรือไม่” สวีซื่อเกินเอ่ยทวนอีกรอบ
เสียใจหรือไม่อย่างนั้นหรือ
‘พวกเราเป็นทหารหนีทัพ โทษของทหารหนีทัพคือตายสถานเดียว มีชีวิตรอดได้ในตอนนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว มลทินก็ถูกลบล้าง พ้นโทษที่หลบหนี แต่ยังคงเป็นทหารอยู่ ในเมื่อเป็นทหาร พวกข้าจึงต้องกลับไป’
‘ไม่หรอก เดิมทีจะไม่กลับไปก็ได้ ข้าเตรียมของขวัญใหญ่สามชิ้นให้แก่ท่านพี่ทั้งหลาย นั่้นคือหนึ่งในนั้น’
‘ข้าไม่ได้ถามพวกท่านก่อน ตัดสินใจแทนพวกท่าน ไม่รู้ว่าที่ทำไปจะถูกใจพวกท่านหรือไม่’
‘พวกท่านเคยชินกับการฝึกซ้อม แม้ลมฝนพายุก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ เคยชินกับการถือดาบยิงปืน พร้อมรบเมื่อใดก็ได้ เคยชินแม้จะนอนหลับใหลหรือว่าเต้นรำทำเพลงอยู่ หากได้ยินเสียงกลองศึกก็พร้อมบุกโจมตีศัตรู…’
‘เสืออยู่ในป่าถึงจะเป็นอสูร มังกรอยู่ในถ้ำถึงจะศักดิ์สิทธิ์ ธนูของเหล่าท่านพี่จะมีค่าก็ต่อเมื่อทิ่มแทงเข้าที่อกของศัตรูในสนามรบ’
‘…เสือยอมหิวตายอยู่ในป่า แต่ไม่ยอมอิ่มหนำอยู่ในกรง ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้ให้ของขวัญชิ้นนี้แก่พวกท่านพี่ ถึงจะไม่ใช่ใช้ชีวิตที่สุขสบายบนกองเงินกองทอง แต่เป็นชีวิตที่พวกท่านได้กู้คืนเกียรติยศของตัวเองคืนมา พวกท่านล้มลงที่ใด ก็ขอให้ลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่เปื้อนกาย ณ ที่นั้น’
‘ของขวัญที่ข้าให้ ไม่รู้ว่าพวกท่านพี่จะชอบหรือไม่’
ยามนี้การสร้างคุณูปการเพื่อกู้เกียรติของตนได้ทำลายชีวิตไป พวกเจ้าเสียใจหรือไม่ ข้าควรเสียใจหรือไม่
หากรู้ว่าผลจะออกมาเช่นนี้ พวกเขาจะยิ่งอยากใช้ชีวิตสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทองหรือไม่ ยามนี้จะยิ่งอยากร่ำสุรารสเลิศในอาภรณ์ผ้าไหมหรูหราอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่ จะยิ่งอยากให้ตอนนี้เป็นเพียงภาพฝันหนึ่งตื่นหรือไม่
รู้อย่างนี้คงไม่ทำเสียแต่แรก…อย่างนั้นหรือ
“ฟ่านเจียงหลิน!” สวีซื่อเกินตะคอกเสียงสูงอย่างแรง “เสียใจหรือไม่”
“ข้าไม่เสียใจ!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนขึ้น เขาฝืนยันกายลุกขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่เสียใจ พวกเขาก็ไม่เสียใจ ไม่มีใครเสียใจ!”
เสือยอมหิวตายอยู่ในป่า ธนูของพวกเขาจะเรียกว่าธนูได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสนามรบ ไม่ว่ามันจะทิ่มแทงเข้าที่อกของศัตรูหรือทิ่มแทงมายังอกตนเองก็ตาม
สวีซื่อเกินมองฟ่านเจียงหลิน ฟ่านเจียงหลินก็มองมายังอีกฝ่ายเช่นกัน
“ในเมื่อไม่เสียใจ เช่นนั้นก็รีบหายได้แล้ว” สวีซื่อเกินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไปสร้างคุณูปการ ไปลบล้างมลทิน ไปแก้แค้น”
“อาหลี่ อาหลี่!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนเรียกไปด้านนอก
ภรรยาวัยสาวที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็อุ้มเด็กน้อยเข้ามา
“ท่านพี่ใหญ่” นางสะอื้นเรียก
“ไปเชิญหมอมา…” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
ฮูหยินนางนั้นยิ้มทั้งน้ำตา เช็ดน้ำตาไปพลางรับคำแล้ววิ่งออกไป
“เหล่าซื่อ เจ้ากลับไปเถิด ทางนี้มีข้าอยู่ เจ้าไปจัดการธุระเจ้าเถิด หลายวันมานี้รบกวนเจ้ามาไม่น้อยแล้ว” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยบอก
สวีซื่อเกินขานรับคำ
“พี่ใหญ่ รายงานเรื่องเงินบำเหน็จไปแล้ว ผลงานความสำเร็จครานี้ ไม่นานคงได้รับความเห็นชอบแน่” เขาเอ่ย
“ถึงเวลานั้นค่อยไปปลอบโยนพวกเขาที่อยู่บนสวรรค์ก็แล้วกัน” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
ภายในห้องพลันเงียบขึ้นอีกครั้ง
“ข้าว่าทางภรรยาน้องเจ็ดไม่ต้องให้นางเฝ้าแล้ว” สวีซื่อเกินเอ่ยบอกในสิ่งที่ตนคิดจัดการ
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้า
“เจ้าทำถูกแล้ว ทำตามอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ” เขาเอ่ย
สวีซื่อเกินมองเขา
“พี่ใหญ่” เขาเอ่ยเรียก
ฟ่านเจียงหลินที่มองเขา รอให้เขาเอ่ยถามขึ้น แต่สวีซื่อเกินไม่ถามอะไรซ้ำยังเรียกเขาขึ้นมา
“ว่าอย่างไร” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถาม
สวีซื่อเกินยิ้มออกมา ทว่าเป็นรอยยิ้มทั้งน้ำตา
“ดีเหลือเกินที่พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” เขาเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินมองเขาแล้วส่งเสียงถุยออกมา
“เจ้าเขียนจดหมายตอบน้องสาวไปเสีย” เขาเอ่ย “ข้าเขียนหนังสือไม่เป็น”
สวีซื่อเกินพยักหน้า
“เรื่องอื่นไม่ต้องบอก ก่อนเหล่าซานจะตายได้ทิ้งคำสั่งเสียไว้ให้นาง” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำเนิบช้า
ทิ้งคำสั่งเสียไว้ด้วยหรือ ในชั่วเวลาที่กะพริบตายังไม่มีเวลาทำ พี่สามยังทิ้งคำสั่งเสียให้นางได้
สวีซื่อเกินนิ่งชะงักไป เจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีก
พี่สาม…
‘แม่สื่อหลิว อย่าเสนอพวกแม่นางธรรมดาพื้นๆ เหล่านั้นให้แก่พี่สามเลย พี่สามของข้าไม่สนใจหรอก…’
‘เช่นนั้นท่านชายสามชอบแบบใดหรือ ข้าไม่เชื่อว่าแม่สื่ออย่างข้าจะหามาให้ไม่ได้…’
‘ท่านหาไม่ได้หรอก คนอย่างน้องสาวของพวกเราเช่นนั้นน่ะ…’
‘…ปั้งฉุยหุบปาก…’
สวีซื่อเกินจมูกคัดขึ้นพลางกะพริบดวงตาที่ร้อนผ่าว
“พี่ใหญ่ พี่พูดมาข้าจะได้เขียนจดหมาย” เขาเอ่ย
ประตูเมืองเจียงโจวในปลายเดือนห้ามีทหารม้าเร็วส่งสารผ่านไปมาวุ่นวายไปหมด
“มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว…เป็นทหารจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือเหมือนเดิม…”
“ตระกูลเฉิงตรงไปจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวาเลียบไปทางแม่น้ำ…”
ทหารยามเฝ้าประตูไม่รอให้คนลงจากม้ามาถามไถ่ก็ตะโกนบอกเสียงดังด้วยตัวเองไปก่อนแล้ว
ทหารส่งสารนายนั้นมองเขาแวบหนึ่งไม่หยุดม้ามาเอ่ยปากไถ่ถามอันใดก็ตะบึงไปทันที
“จดหมายจากท่านชายใหญ่”
พ่อบ้านเฉาสาวเท้าเข้ามาเอ่ยกับปั้นฉิน
ปั้นฉินดีใจนัก นางรีบยื่นมือไปรับแล้วเดินไปทางหลังเรือนทันที
ภายใต้เงาไม้ที่เรือนหลัง เฉิงเจียวเหนียงกำลังดึงเชือกคล้องแขนง้างธนูเล็งไปยังเป้าฟางที่ไกลออกไปกว่าสามสิบก้าว เสียง พรึ่บ ดังขึ้น ลูกธนูทะยานออกจากสายปักเข้ากลางเป้า
สาวใช้สองนางที่คอยรับใช้ก็พลันกู่ร้องอย่างปรีดา
“นายหญิงเก่งกาจยิ่ง”
ได้ยินเสียงปั้นฉินดังขึ้น เฉิงเจียวเหนียงจึงส่งธนูในมือไปให้สาวใช้แล้วยื่นมือออกไปรับจดหมายมาเปิดดู
ปั้นฉินยืนอยู่ด้านข้างเห็นเพียงตัวหนังสือแถวหนึ่งปรากฏบนจดหมายจากด้านหลัง นางสงสัยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ส่งมาจากทางนั้นทั้งไกลทั้งเร่งรีบ แต่มีอยู่เพียงประโยคเดียวนี่หรือ
เขียนว่าอย่างไรกัน
นึกไม่ถึงว่าประโยคเพียงประโยคเดียวเท่านั้น แต่นายหญิงกลับมองดูมันอยู่เนิ่นนาน…
ราวกับลมฤดูร้อนภายในเรือนด้านหลังได้หยุดชะงักไป แสงดวงตะวันทอแสงรำไรส่องลงบนร่างของหญิงที่ถือจดหมายไว้ คล้ายกับมีเสียงของน้ำดังขึ้น เฉิงเจียวเหนียงเก็บจดหมายในมือ พับไว้อย่างดีแล้วส่งให้ปั้นฉิน ส่งเสียงอืมคำหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปแล้วยื่นมือออกมา
ปั้นฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองสาวใช้ส่งธนูไปให้เฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง เฉิงเจียวเหนียงกำธนูไว้แต่กลับชะงักลง
“ให้พ่อบ้านเฉาไปเอาธนูหนึ่งตั้น มา” นางเอ่ยขึ้น
พ่อบ้านเฉาได้ยินสาวใช้ว่ามาดังนั้นก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
“ธนูหนึ่งตั้นรึ” เขาเอ่ย “นายหญิงง้างมันไหวหรือไร”
แม้ว่าปากจะถามอย่างสงสัย แต่เขาก็ยังรีบไปเอามันมาจากคลัง ก่อนจะยื่นให้ด้วยตนเอง เขามองนายหญิงรับมันไปนางยืนจนมั่นง้างธนูออก
จะทำได้หรือ…
พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองแขนและข้อมือเรียวบางของสตรีนางนั้น
‘ใช้แรงตรงนี้ เอ้า ง้างธนู’
ราวกับมีคนมาจับมือนางให้ง้างธนูออก
เฉิงเจียวเหนียงออกแรง สายป่านเส้นเล็กบิดโค้งสั่นไหว สายธนูง้างออก ลูกธนูขึ้นคันชักอย่างมั่นคง
เสียง พรึ่บ ดังขึ้น ลูกธนูทะยานออกจากสายไปปักเข้าเป้าฟางอย่างมั่นคง แม้ว่าจะไม่ปักเข้าเป้าแดงตรงกลาง แต่ก็มิได้พลาดออกจากเป้า
เหล่าสาวใช้ไม่รู้จักการแยกประเภทของธนู คิดว่าสู้เมื่อครู่ไม่ได้เพราะไม่เข้ากลางเป้า ส่วนพ่อบ้านเฉาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากชมว่าดีออกมา
‘น้องสาวค่อยๆ ฝึก ภายหน้าง้างธนูได้ห้าหกโต่วก็เก่งมากแล้ว’
ดูสิ ไม่เพียงแค่หาหกโต่วเท่านั้น ยามนี้ข้าง้างธนูหนึ่งตั้นได้แล้ว
เฉิงเจียวเหนียงทิ้งธนูและลูกธนูในมือลงข้างลำตัว นางมองเป้าที่ไกลลิบอยู่ครู่หนึ่งแล้วหลบตาลงหันหลังจากไป