พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 406 ยอกย้อน
ณ ตะวันตกเฉียงเหนือในเวลานี้ ฟ่านเจียงหลินที่กำลังลองง้างธนูอยู่ในกลางลานก็วางคันธนูลง มองดูเหล่าขุนนางและทหารที่เดินเข้าประตูมา
“รางวัลมาแล้วหรือ” เขาถาม
ควันสงครามยามเดือนสี่ได้จางหายไปแล้ว ช่วงเวลาเดือนกว่านี้เหล่าทหารและชาวเมืองลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น เหล่าคนเจ็บก็หายดี ครอบครัวของคนที่ตายจากเฝ้าคอยเงินบำเหน็จ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็รอคอยรางวัล เหล่าแม่ทัพก็หวังว่าจะได้เลื่อนยศ ฤดูร้อนของตะวันตกเฉียงเหนือเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ฟ่านเจียงหลินเริ่มฝึกเดิน แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่นั่งกับนอน หมอทหารบอกว่าแม้แผลจะสมานแล้ว แต่แขนขาก็ไม่อาจคล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน
สวีซื่อเกินได้ยินเช่นนั้นก็ปวดใจ แต่ฟ่านเจียงหลินกลับทำใจยอมรับได้
“ไม่จำเป็นต้องออกรบก็ฆ่าศัตรูได้” เขาเอ่ยขึ้นมองดูสวีซื่อเกินแล้วยิ้มออกมา “หากพวกเขาได้รางวัลสมใจแล้ว ข้าจะไปเลี้ยงม้ากับเหล่าซื่อ เจ้าเลี้ยงม้ามากมาย สวมเกือกม้าเหล็กให้เหล่าชายชาติทหารไปเหยียบกระโหลกโจรตะวันตกจนแหลก เช่นนี้ก็ฆ่าศัตรูได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ครั้งนี้นับว่าเป็นศึกใหญ่ ทั้งยังได้ชัยชนะกลับมา ราชสำนักต้องการชัยชนะเพื่อขวัญกำลังใจ ดังนั้นไม่ว่าจะตำแหน่งเล็กใหญ่ก็ได้รางวัลกันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็ว
ยามยินเสียงคนเข้ามา ภรรยาของฟ่านเจียงหลินที่อุ้มทารกน้อยอยู่ก็รีบเดินออกมาจากเรือน ก็ได้ยินเหล่าทหารผู้น้อยขานรายชื่อของสวีเม่าซิวและพวกพ้องทั้งห้า
พอได้ยินชื่อเหล่านั้นอีกครั้ง ภาพของเหล่าพี่น้องกำลังเดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาเริ่มแสบจมูกจนต้องก้มหน้าลง
“ใช่ ถูกต้องทั้งหมด” ภรรยาสาวเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“ของเหล่านั้นอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว พวกเจ้าลองตรวจสอบดู” ทหารผู้น้อยเอ่ย ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงต่างไร้อารมณ์ พอทำเรื่องเช่นนี้บ่อยเข้า แม้จะเคยนึกสงสารหรือรู้สึกเจ็บปวด แต่ยามนี้ความรู้สึกนั้นกลับตายด้านไปหมดแล้ว
ภรรยาสาวขานรับ อุ้มเด็กน้อยเข้าไปดูพวกเขาขนผ้าไหมและเงินลงมา
“แต่ละคนจะได้รับเงินหกก้วน ผ้าไหมแปดพับ…” ทหารผู้น้อยอ่านสาส์น และไม่ลืมที่ประกาศความดีความชอบของพวกเขา “คราวนี้ราชสำนักและหัวหน้าเจียงเป็นผู้กำชับมาว่าให้จัดการให้เสร็จโดยเร็ว ทั้งยังไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว…”
ก็จริงอย่างที่ว่า แต่ก่อนใช่ว่าทุกคนจะได้รับบำเหน็จ ทหารผู้น้อยมากมายแม้แต่ศพก็ยังหาไม่พบ คนที่บ้านแทบจะไม่มีทางรู้ข่าว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินบำเหน็จ กว่าเหล่าขุนนางจะรอเบื้องบนตรวจสอบอนุมัติลงมาได้ จนท้ายที่สุดส่วนใหญ่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จึงมีบางคราที่เหล่าแม่ทัพแสร้งว่ามีคนเจ็บมีคนตาย ฉ้อฉลโกงกินเงินบำเหน็จมากมาย
ภรรยาสาวอุ้มลูกน้อย ตรวจตราอย่างตั้งอกตั้งใจไปพลาง คุยกับลูกน้อยไปพลาง
เด็กน้อยไม่รู้ประสายกมือขึ้นโบกไปมาร้องเสียงอ๋อแอ๋ท่าทางดีอกดีใจ ทว่าฟ่านเจียงหลินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งปวดใจ
“นับเสร็จแล้ว” ภรรยาสาวเอ่ย
ทหารผู้น้อยเอ่ยคำไว้อาลัยจากทางการ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“ช้าก่อน” ฟ่านเจียงหลินร้องเรียก
ชายที่อยู่กลางลานบ้านเหลียวกลับมา
“มีเรื่องอันใดอีกหรือ” หัวหน้าทหารผู้น้อยเอ่ย หันไปเห็นทหารบาดเจ็ดเมื่อปีกลายกำลังนั่งอยู่ริมระเบียงก็นึกขึ้นได้ในทันใด “อ๋อ ใช่แล้ว ใช่แล้ว ยังมีอีก”
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าของฟ่านเจียงหลินก็ดูผ่อนคลายลง เขามองดูทหารผู้น้อยหันหลังกลับไปล้วงเงินออกมาจากปากถุงออกมา
“ทหารเจ็บจะได้รับเงินเหรียญหนึ่งมัด” เขาเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินมองอย่างมึนงง
“แล้วมีอะไรอีก” เขาถาม
ทหารผู้น้อยชะงักไป
“ยังมีอะไรอีกหรือ” เขาถามกลับ
ฟ่านเจียงหลินยังตัวลุกขึ้น ภรรยาสาวรีบเข้าไปพยุง
“พี่น้องของข้าเป็นขุนศึกป้อมหลินกวานผู้ปกป้องเมืองนี้นะ!” เขาเบิกตาโพลงแล้วชี้นิ้วไปที่เงินและผ้าไหมที่กองอยู่กลางลานบ้าน “มีเพียงเท่านี้หรือ”
ทหารผู้น้อยหัวเราะ
“เท่านี้อย่างนั้นหรือ เท่านี้ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว” เขาเอ่ยน้ำเสียงแฝงความนัย “คนอื่นได้บำเหน็จแค่ห้ากว้านและผ้าไหมห้าพับ แต่เพราะพวกเจ้าประจำป้อมหลินกวาน ใต้เท้าฟางซื่อจิ้นถึงกลับคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอให้เพิ่มบำเหน็จให้ ถึงขนาดบอกว่าจะไม่ยอมรับตำแหน่งใหม่ของตัวเองด้วยซ้ำ…”
“เขาน่ะหรือคุกเข่าอ้อนวอน! เข่าน่ะหรือได้เลื่อนยศ!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนแทรกทหารผู้น้อยที่กำลังพูดอยู่
พอเห็นสีหน้าเดือดดาลแสนเหี้ยมโหดของเขา ทหารผู้น้อยก็ตกใจจนต้องผงะถอยหลัง
“เจ้าจะทำอะไร” เขาร้องตะโกน “ฟางซื่อจิ้นคือยอดนักรบ ไม่เกรงกลัวความตาย พร้อมถวายชีวิต ย่อมต้องได้รับความดีความชอบจากศึกครั้งนี้…”
“เขาน่ะหรือคือยอดนักรบ ไม่เกรงกลัวความตาย!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนโวยวายพร้อมพุ่งตัวใส่อีกคน
ทหารผู้น้อยตกใจจนถดถอยหลังไปหลายก้าว ฟ่านเจียงหลินยืนแทบไม่มั่น หากจะให้ภรรยาสาวที่อุ้มลุกน้อยอยู่ในมือ ใช้มืออีกข้างหนึ่งช่วยพยุงเขาก็คงไม่ไหว ร่างของฟ่านเจียงหลินโอนเอนก่อนจะล้มลงบนพื้น
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวและเสียงร้องไห้ของทารกน้อยดังระงมไปทั่วทั้งลานบ้าน
“ยอดนักรบ ไม่เกรงกลัวความตาย! ยอดนักรบ ไม่เกรงกลัวความตาย!…”
เสียงตะโกนแหบแห้งของชายหนุ่มดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
งานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นบนลานท้ายศาลาว่าการกำลังครื้นเครง เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย
ยามรางวัลหลังศึกครั้งยิ่งใหญ่ส่งมาถึง คือเวลาที่ทุกคนสุขใจเป็นที่สุด และคนที่หัวเราะเสียงดังที่สุดก็คือฟางจ้งเหอ
ถูกแล้วที่เขาจะหัวเราะเสียงดังเช่นนั้น เพราะคราวนี้เขาได้เลื่อนขั้นถึงสี่ขั้นจากซื่อจิ้นชั้นเก้า ทั้งยังได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าป้อมฉงและป้อมหานกู่ประจำเมืองหลงกู่อีกด้วย เรียกได้ว่าก้าวกระโดดเลยทีเดียว ตำแหน่งก็ส่วนตำแหน่ง หน้าที่ก็ส่วนหน้าที่ หากมีประสบการณ์ได้เป็นหัวหน้าค่ายแล้ว สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฟางจ้งเหอ อีกไม่นานตำแหน่งพัศดีผู้คุมคุกก็อยู่แค่เอื้อม
พัศดีหนอ พัศดี
ฟางจ้งเหอหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
“มา มา ดื่มเหล้า ดื่มเหล้ากัน” เขายกจอกเหล้าขึ้นชนกับทุกคน
“ซื่อจิ้น ซื่อจิ้น” คนข้างกายเขาเอ่ยกระซิบ
ฟางจ้งเหอขมวดคิ้วแน่น ก่อนยิ้มร่าดื่มเหล้าต่อ
“ซื่อจิ้น…” คนผู้นั้นยังเอ่ยเรียกไม่หยุด
ไม่มีลูกกะตาหรืออย่างไร! ฟางซื่อจิ้นเหลียวไปนิ่วหน้าใส่เขา
“มีอะไร” เขาถาม
ขุนนางผู้น้อยถอนหายใจ
“มีคนมาขอพบท่านขอรับ” เขากดเสียงต่พ
“ไสหัวไป ไสหัวไป” ฟางจ้งเหอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันกลับไปหัวเราะพูดคุยต่อ
ขุนนางผู้น้อยจึงทำได้เพียงเดินออกมา
“หัวหน้าเจียงบอกว่าท่านต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ขอรับ…”
หัวหน้าเจียงก็คือเจียงเหวินหยวน รองหัวหน้ากองทหารม้า เพราะยามนี้ยังไม่คำสั่งแต่งตั้งขุนนางคนใหม่มาประจำ แต่คนที่เป็นรองมักไม่ชอบใจนักเมื่อถูกเรียกว่ารอง ดังนั้นเวลาเอ่ยถึงทุกคนจึงมักจะละคำว่ารองไว้ เว้นเสียแต่บางคนที่ไม่ถือสา
“ใต้เท้าเจียงช่างมีเมตตานัก…” ฟางจ้งเหอเอ่ยขึ้นในทันใด
ยังไม่ทันพูดจบขุนนางผู้น้อยที่อยู่ด้านหลังก็เรียกซื่อจิ้นอีกแล้ว
“เจ้าจะเรียกอะไรนักหนา” ฟางจ้งเหอเหลียวกลับไปกัดฟันพูด
ขุนนางผู้น้อยตื่นกลัว
“ใต้เท้า” เขาเอ่ยขึ้น
ฟางจ้งเหอทอดถอนใจ ไล่เจ้าขุนนางไม่รู้ความนี่กลับบ้านไปเสียดีไหม
“พูดมา มีอะไรอีก” เขาถาม
“สองคนนั้นบอกว่า หากท่านไม่ออกไปพบ พวกเขาจะเข้ามาพบท่านแล้วคุยกับท่านเองขอรับ” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยเสียงแผ่ว
ฟางจ้งเหอฮึดฮัดอยู่ในใจ
“ผู้ใดกัน” เขาถาม
“ฟ่านเจียงหลินกับสวีซื่อเกินขอรับ” ขุนนางผู้น้อยเอ่ย
ฟางจ้งเหอสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
ถึงว่าละ หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้ามาหาเขาถึงที่นี่ มีแค่ฟ่านเจียงหลินเท่านั้น
ฟางจ้งเหอกำจอกเหล้าในมือแน่น
เขาลอบหนีออกมาจากป้อมหลินกวาน แน่นอนว่าคนที่หนีออกมาพร้อมกับเขาย่อมไม่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะหาใช่เรื่องดีงามอันใด ตอนนั้นคนที่อยู่คุ้มกันป้อมก็ล้มตายไปหมด เหลือเพียงแค่ฟ่านเจียงหลินที่ช่วยชีวิตออกมาจากกองศพได้
หากเขาออกไปแล้วมีปากเสียกันก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอันใด เพียงแต่หากเกิดเรื่องขึ้นในยามนี้ดูท่าจะไม่เป็นการดีนัก
คำสั่งแต่งตั้งยังมาไม่ถึง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก่อนละก็…
ฟางจ้งเหอวางจอกเหล้าในมือลง
“ข้าขอตัวไปปลดทุกข์เสียหน่อย” เขาบอกกันคนที่ล้อมวงกันอยู่ด้วยรอยยิ้ม
ภายในห้องโถงปีกข้างของท้ายเรือน พอเห็นฟางจ้งเหอเดินเข้ามา สวีซื่อเกินก็รีบยืนขึ้นในทันใด ฟ่านเจียงหลินเองก็หยัดกายพยุงตัวให้ลุกขึ้นเช่นกัน
“ใต้เท้าหัวหน้าป้อม” สวีซื่อเกินเดินเข้ามาใกล้แล้วคำนับ
คำเรียกนั้นพาลทำให้ความขุ่นมัวในอกของฟางจ้งเหอจางหายไปหมด บนใบหน้าเผยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“อย่าได้เรียกเช่นนั้น คำสั่งแต่งตั้งยังมาไม่ถึงเลย” เขารีบโบกมือปัด
“คุณงามความดีของใต้เท้าเป็นที่เห็นเด่นชัด ไม่ช้าก็เร็วก็ย่อมได้รับตำแหน่งอยู่ดี” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก ทั้งยังเน้นย้ำที่คำว่าคุณงามความดีอย่างหนักแน่น
สีหน้าของฟางจ้งเหอเริ่มกระอักกระอ่วน
“พวกเจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” เขาเอ่ยพลางลูบเครา
“ใต้เท้า พี่น้องของพวกข้าตายในสงคราม เหตุใดถึงมีเพียงแค่บำเหน็จ” ฟ่านเจียงหลินถาม “หรือว่าพวกเขามิใช่ยอดนักรบ ผู้ไม่เกรงกลัวความตายอย่างนั้นหรือ ใต้เท้าที่มีชีวิตรอดได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง แล้วพวกเขาจะขอให้แต่งตั้งอวยยศบ้างมิได้หรือ”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
“เรื่องนี้ข้าได้รายงานไปแล้ว แต่บำเหน็จของทหารบาดเจ็บหรือทหารที่ล้มตายมีจำกัด ข้าทำสุดความสามารถแล้ว” ฟางจ้งเหอเอ่ย
“พวกข้าไม่ต้องการบำเหน็จ พวกข้าต้องการให้พี่น้องของข้าได้อวยยศเป็นขุนนางให้สมเกียรติ พวกเขาไม่ต้องการบำเหน็จ พวกเขาคือขุนศึก คือผู้กล้า” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงดังก้องใช้มือพยุงตัวเดินไปข้างหน้า
ฟางจ้งเหอขมวดคิ้ว
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่ใช่เสียหน่อย” เขาเอ่ย “ขุนศึกผู้กล้าผู้สละชีวิตให้แผ่นดิน ก็ให้บำเหน็จเพิ่มแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้าคนแซ่ฟาง! อย่ามาแสร้งพูดจาเพ้อเจ้อต่อหน้าข้า!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนลั่นขัดจังหวะอีกฝ่าย ทั้งกายของเขาสั่นสะท้าน “ความดีความชอบนี้เจ้าได้มาอย่างไร! เอาความดีความชอบของเจ้าในนามของเจ้า ยกให้แก่พี่น้องของข้าเสีย แล้วไปบอกกับราชสำนักอีกครั้ง เจ้าคิดว่าผลจะเป็นอย่างไร จะได้บำเหน็จมากขึ้นหรือไม่”
ฟางจ้งเหอในหน้าซีดเผือด เขามองออกไปนอกประตูโดยไม่รู้ตัว
“ฟ่านเจียงหลิน เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เขาตวาดลั่น
“ข้าหมายความว่าอย่างไรในใจเจ้าย่อมรู้ดี! คนที่ต้านทานศัตรูคือน้องสามของข้า คนที่ต้านกำลังจนถึงวินาทีสุดท้าย ส่วนเจ้าน่ะหรือ เจ้าพาพรรคพวกหนีไปตั้งแต่ต้นแล้ว พอมาวันนี้พี่น้องของข้าตายจาก แต่เจ้ากลับได้ความดีความชอบ!” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย ยิ่งพูดเข้าก็ยิ่งสั่นจนไอโขลกออกมา
“เหลวไหลอะไรของเจ้า ข้าพาพวกพ้องหนีที่ไหนกัน ข้าพาพวกพ้อง… เตรียมซุ่มโจมตีข้าศึกต่างหาก” ฟางจ้งเหอเอ่ยหน้าซีดเผือด
“ฟางจ้งเหอ เจ้าพูดมาว่าเจ้าจะรายงานต่อราชสำนักหรือไม่” สวีซื่อเกินเอ่ยแทรกขึ้น
“รายงานอะไรอีกเล่า เงินบำเหน็จมาถึงตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว เรื่องนี้มันจบแล้ว ยังจะรายงานอันใดอีก!” เขาตวาดลั่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก กัดฟันแล้วเหลียวไปมองทั้งสอง “ช่างเถิด เงินรางวัลที่ข้าได้จากการเลื่อนตำแหน่ง ข้าจะยกให้พวกเจ้าทั้งหมด ไป ไปได้แล้ว”
“ผู้ใดอยากได้เงินของเจ้ากัน” ฟ่านเจียงหลินตะโกนลั่น “พวกข้าไม่ต้องการเงิน พวกข้าต้องการความดีความชอบให้แก่พี่น้อง!”
ต้องการความดีความชอบอย่างนั้นหรือ แล้วเขาจะเหลืออะไรเล่า
ฟางจ้งเหอแค่นหัวเราะ คนตายไปแล้วยังจะมาเอาความดีความชอบอันใดอีก ก็ไม่ใช่เพื่อเงินหรอกหรือ
“พวกเจ้าจะเอาเท่าไหร่กันแน่” เขาเอ่ย
“ใต้เท้าฟาง พวกข้าจะพูดอีกครั้ง พวกข้าแค่ต้องการให้ท่านรายงานต่อราชสำนักตามความจริง” สวีซื่อเกินเอ่ย “ไม่สิ พวกข้าไม่สนว่าท่านจะรายงานตามความเป็นจริงหรือไม่ ใต้เท้าฟาง คุณงามความดีที่ท่านแย่งชิงไปข้าไม่ถือสา ท่านได้ในสิ่งที่ท่านไม่ควรได้ พวกข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พวกข้าต้องการให้ความจริงของพี่น้องของข้าได้ถูกรายงาน รายงานว่าเหล่าพี่น้องของพวกข้าตายไปเพราะปกป้องเมือง เป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง”
รายงานตามความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ ให้อวยยศให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ คิดว่าเบื้องบนโง่หรืออย่างไร แถมยังตัดอนาคตเขาอีกต่างหาก!
ฟางจ้งเหอเคียดแค้นอยู่ในใจ ตัดอนาคตของเขาก็เท่ากับว่าฆ่าพ่อแม่ของเขา ข้าจะยอมได้อย่างไร!
ไม่ใช่เจ้าตายคนเดียวเสียหน่อย คนอื่นก็ตายเป็นผีเหมือนกัน เจ้าจะมาเรียกร้องอันใดอีก
ในเมื่อไว้หน้าแล้วเจ้าไม่ยอม ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน
เขายืนหลังเหยียดตรง ใบหน้าเรียบเฉย
“พวกเจ้ายังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็กลับไปเถิด ข้ารู้ดีว่าเจ้าสูญเสียผู้เป็นที่รักนั้นเจ็บปวดแค่ไหน ข้าจะไม่ถือสาที่เจ้าเหิมเกริมกับข้า กลับไปรักษาตัวให้ดีเถิด พักผ่อนเสียอย่าได้มาวุ่นวาย”
ฟ่านเจียงหลินและสวีซื่อเกินมองเขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตา
“เจ้าคนแซ่ฟาง เจ้าจะไม่รายงานอย่างนั้นหรือ” ฟ่านเจียงหลินก้าวไปข้างหน้าก่อนจะตะโกนออกมา
“เรื่องที่ควรรายงานข้าก็รายงานไปหมดแล้ว ไม่มีเรื่องใดต้องรายงานอีก” ฟางจ้งเหอเอ่ยเสียงเรียบ
ฟ่านเจียงหลินยกนิ้วชี้เขา
“เจ้ามันจิตใจเหี้ยมโหดนัก…” เขาตวาดลั่น พูดจบก็ไอโขลกอย่างหนัก
สวีซื่อเกินรีบเข้าไปพยุงตัวเขาไว้แล้วมองไปทางฟางจ้งเหอ
“ใต้เท้าฟาง เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ ทำให้พี่น้องของข้าต้องเจ็บปวดหัวใจ…” เขาเอ่ย
“ผู้กำกับสวี ข้าทำสุดความสามารถแล้ว หากพี่น้องเจ้าปวดใจ ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้” ฟางจ้งเหอยังคงเอ่ยเสียงเนิบ
สวีซื่อเกินจะพูดต่อ แต่ฟางจ้งเหอกลับสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
“ใครก็ได้มานี่ที ส่งแขก” เขาตะเบ็งเสียงตะโกนลั่น
ขุนนางผู้น้อยที่ยืนอยู่ไกลออกไปก็รีบวิ่งเข้ามายุดยื้อกับสวีซื่อเกินและฟ่านเจียงหลิน ไม้เท้าของฟ่านเจียงหลินถูกเขวี้ยงออกไป ก่อนจะถูกคนสี่คนลากตัวออกไป
“เจ้าคนแซ่ฟาง เจ้าจะต้องเสียใจ!” ฟ่านเจียงหลินตะโกนชี้นิ้ว “เจ้าจะต้องเสียใจ! เจ้าจะต้องเสียใจ!”
มีอะไรให้เสียใจกัน!
หากตอนนั้นไม่หนีออกมาก่อน ตอนนี้เขาคงจะตายไปแล้ว เช่นนั้นต่างหากที่ควรเสียใจ!
ให้ไปรายงานตามความจริงว่าเขาหนีออกมาก่อนอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ถูกจับไปแล้วน่ะสิ มีอย่างที่ไหนจะได้เลื่อนยศสี่ขั้น เช่นนั้นต่างหากที่ควรเสียใจ!
ฟางจ้งเหอสะบัดแขนเสื้อหันหลังให้ประตูห้องโถง
เจ้าจะต้องเสียใจ! เจ้าจะต้องเสียใจ!
เสียงตะโกนแหบแห้งค่อยๆ จางหายเมื่อเขาเดินไกลออกไป