พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 407 เรียกร้อง
ท่านชายโจวหกเดินจ้ำเข้าไปในศาลาว่าการ ส่วนจ้าวเฉิงกำลังพูดคุยกับใครคนหนึ่งอยู่
“ใต้เท้าหน่วยตรวจการณ์ นั่นข่าวโคมลอยทั้งนั้น…”
เสียงของฟางจ้งเหอดังขึ้นจากข้างใน ท่านชายโจวหกชะงักฝีเท้าลง
“ล้วนแต่เป็นเพราะฟ่านเจียงหลินไม่พอใจกับเงินบำเหน็จที่ได้รับ ก่อนหน้านั้นเขามาขอเงินจากข้าเพิ่ม ข้าไม่ใช่ว่าจะเสียดายเงิน ข้ายกเงินทั้งหมดให้พวกเขาก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อเป็นกฎของราชสำนัก หากข้าให้เขา แล้วคนอื่นเล่าจะทำเช่นไร”
“เช่นนั้นเขาจึงปล่อยข่าวโคมลอยไปทั่วอย่างนั้นหรือ กล่าวหาว่าเจ้าเอาดีเข้าตัว หลอกลวงเพื่อเอารางวัลอย่างนั้นหรือ”
เสียงภายในโถงว่าการดังลอดออกมาจากช่องประตู ขุนนางผู้น้อยหน้าประตูหันไปมองท่านชายโจวหก
ท่านชายโจวหกยกมือคำนับให้เขา ขุนนางผู้น้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงของจ้าวเฉิงดังขึ้นจากด้านใน
“เชิญเข้ามา”
เมื่อเห็นท่านชายโจวหกเดินเข้ามา ฟางจ้งเหอก็โค้งคำนับลา
“เรื่องนี้ข้าจะสอบสอนอย่างละเอียด หลังสงครามคนเราจิตใจเปราะบางนัก ต้องคอยปลอบประโลม เจ้าไปเถิด” ใต้เท้าหน่วยลานตระเวนจ้าวเฉิงเอ่ยขึ้น
ฟางจ้งเหอขานตอบ พร้อมกับเหลียวไปพยักหน้าให้แก่ท่านชายโจวหกแล้วเดินออกไป
“มีเรื่องอันใดหรือ” จ้าวเฉิงมองหน้าถามเขา
หลังจากเหตุการณ์คราวนั้น จ้าวเฉิงก็เริ่มสนิทสนมกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่อายุห่างกันไม่รู้กี่รุ่นผู้นี้
“เรื่องเกี่ยวกับป้อมหลินกวานขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย
ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน คนที่ชื่อฟ่านเจียงหลินมาที่ศาลาว่าการแห่งนี้ เขาตะโกนก่นด่าฟางจ้งเหอว่าฉ้อฉล แย่งความดีความชอบของผู้อื่น หลอกล่วงทางการเพื่อรับรางวัล แม้วันนั้นจะถูกเหล่าทหารผู้น้อยไล่ออกไป ทว่าเรื่องไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น ซ้ำยังได้ยินข่าวลือจากคนภายในมากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีเจ้าฟางจ้งเหอผู้นี้ไม่เห็นด้วยว่าควรจะต้านศัตรูอยู่ที่ป้อมหลินกวาน แต่พอถูกหลายคนเกลี้ยกล่อมเข้าก็ยอมจำนน รับปากเสียดิบดีว่าจะต้านไว้ให้ได้หนึ่งชั่วยาม แต่ผลสุดท้ายแม้แต่ครึ่งชั่วยามก็ยังต้านไว้ไม่อยู่ ฟางจ้งเหอและพรรคพวกพากันหนีออกมาก่อน พาลให้เหล่าทหารเสียกำลังใจ จนเหล่าทหารผู้น้อยที่คอยคุ้มกันเมืองตายเกลื่อน ส่วนที่รอดชีวิตอีกยี่สิบกว่าคนนั้นก็เจ็บหนักจนยากจะฟื้น
ฟางจ้งเหอพูดจากลับกลอก ปิดบังความผิดที่ตนหนีออกมาจากป้อมหลินกวาน ทั้งยังแย่งความดีความชอบของเหล่าขุนศึกไปเป็นของตน การกระทำเช่นนี้ถือว่าทุจริตอย่างแท้จริง หากราชสำนักใช้งานคนชั่วเช่นนี้ต่อไป วันหน้าจักต้องนำมาซึ่งหายนะ
เมืองหลงกู่จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ยิ่งเป็นเรื่องนินทาที่ผู้คนให้ความสนใจเช่นนี้ ไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง กลายเป็นถกเถียงกันยกใหญ่
เรื่องเช่นนี้หาใช่เรื่องน่ายินดีไม่ จ้าวเฉิงในฐานะใต้เท้าหน่วยตรวจการณ์ประจำถนนตะวันตกจึงจำเป็นต้องเรียกฟางจ้งเหอมาถามไถ่
“ฟางจ้งเหอบอกว่าทหารที่บาดเจ็บผู้นั้น ไม่พอใจกับเงินบำเหน็จที่ได้รับ จึงได้ปล่อยข่าวลือเช่นนั้น” จ้าวเฉิงเอ่ย
เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในกองทัพมีทหารอันธพาลมากมาย ยามศึกกลัวตายเสร็จศึกกลับมาเสนอหน้ารับรางวัล รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ก่อเรื่องสร้างข่าวให้วุ่นวายราวกับกลัวว่าบ้านเมืองจะสงบสุขเกินไป
“เหตุใดใต้เท้าถึงไม่ลองถามฟ่านเจียงหลินดูเล่า” ท่านชายโจวหกเอ่ย
ให้เขาไปถามทหารบาดเจ็บผู้นั้นน่ะหรือ ให้ใต้เท้าประจำหน่วยตรวจการณ์ผู้นี้สอบสวนทหารบาดเจ็บนั่นด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะถามกันได้ง่ายๆ เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงเจตนาของราชสำนักด้วย
หากเรียกทหารบาดเจ็บผู้นั้นมาถาม ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่นั่นก็เท่ากับว่าราชสำนักเชื่อข่าวลือนั่นแล้ว ทั้งยังหมายความว่าสงสัยในตัวคู่กรณีอย่างฟางจ้งเหอด้วยเช่นกัน
ทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง
แม้ท่านชายโจวจะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นลูกหลานจากตระกูลขุนนางอำมาตย์ ย่อมเข้าใจเหตุผลนี้เป็นอย่างดี
จ้าวเฉิงจ้องมองท่านชายโจวหกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา ท่าทางคงต้องทำเช่นนั้นจริงๆ สินะ
“เจ้ารู้จักเขาหรือ” เขาถาม
ท่านชายโจวหกตอบว่าใช่โดยไม่ปิดบัง
จ้าวเฉิงพยักหน้า ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ถึงได้บอกว่าหากเรื่องใดไม่เกี่ยวกับตน คนเราย่อมไม่ใส่ใจ แต่พอข้องเกี่ยวกับตนเองแล้วละก็ จึงจะยอมออกหน้าทำท่าว่าสนใจ เขาเดินวนครุ่นคิด
“เจ้าคิดว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ” เขาหยุดเดินแล้วถามขึ้น
“เขาไม่พูดโกหก” ท่านชายโจวหกยืนนิ่ง ตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
ตอบเสียเร็วเชียว
หากเขาไม่พูดโกหก เช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายพูดโกหกอย่างนั้นหรือ
หากเป็นแค่คนรู้จัก คงไม่มีทางมั่นอกมั่นใจเช่นนี้เป็นแน่ หากว่ากันตามหลักการแล้ว ก็ควรจะลังเลแล้วบอกว่าตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันมิใช่หรือ จากนั้นก็ต้องอ้อนวอนให้ตนไตร่ตรองให้ดี จากนั้นเขาก็ต้องทำทีเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเกลี้ยมกล่อม จากนั้นท่านชายโจวหกก็จะขอร้องเขา จากนั้นเขาถึงจะตัดสินใจอีกที่ว่าควรเห็นแก่หน้าของเด็กหนุ่มคนนี้หรือไม่…
แต่พอพบกับท่านชายโจวหกผู้ไม่เคยทำการใดตามแบบแผนเช่นนี้ จ้าวเฉิงเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเช่นกัน
“อีกอย่างข้าเชื่อว่าในสถานการณ์ตอนนั้น พวกเขาเหล่าพี่น้องไม่มีทางสละเมืองแล้วถอยหนีเป็นแน่ พวกเขาต้องคอยต้านทานจนถึงวินาทีสุดท้ายเป็นแน่” ท่านชายโจวหกพูดต่อ ใบหน้าเคร่งขรึม มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวกำแน่นอย่างห้ามไม่อยู่
“ชายหก” จ้าวเฉิงหันกลับมาแล้วหยุดเดิน ก่อนจะมองเขาแล้วเอ่ยความในใจ “ออกรบหนหนึ่งเป็นตายไม่อาจรู้ได้ หอกดาบไม่มีตา เรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
ท่านชายโจวหกพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับ
“เช่นนั้นแล้วขอใต้เท้าโปรดเรียกฟ่านเจียงหลินมาสอบสวนด้วยเถิด” เขาเอ่ย “ทั้งยังจะได้ลบล้างมลทินให้แก่ใต้เท้าฟางด้วยขอรับ”
จ้าวเฉิงมองเขานิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
ท่านชายโจวหกยืนนิ่งยกมือคำนับไม่ไหวติง
ภายในห้องเงียบสงัด
อันที่จริงหากเรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดแก่ตนเอง เพราะแผนการรบที่ล้มเหลวเมื่อคราวก่อนเขาเองก็มีส่วนร่วมด้วย ยามนี้เรื่องราวใหญ่โตนั้นจบลงด้วยดีแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ
จ้าวเฉิงมองดูเด็กหนุ่มที่ยังยืนนิ่งยกมือขึ้นคำนับ
ที่แท้ก็รู้จักกันนี่เอง ท่าทางไม่ได้รู้จักกันแค่ผิวเผินเสียด้วย เช่นนั้นคราวก่อนที่เขายืนกรานว่าจะส่งทหารม้าไปให้ได้ ก็ทำเพื่อพวกเขาเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ…
เช่นนั้นแล้วที่ผู้ตรวจการโจวเคยพูดไว้อาจจะ…
อำมาตย์เฉิน
ควรจะลองเดิมพันอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
“ได้” จ้าวเฉิงพยักหน้า “ลองถามดูก็ดี หากยังวุ่นวายเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่เป็นการดีต่อใต้เท่าฟางเช่นกัน”
“ขอบพระคุณใต้เท้านัก!”
ท่านชายโจวหกค้อมตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เขากัดฟันแน่น
ขอบพระคุณใต้เท้านัก! ขอบคุณยิ่งนัก!
เมื่อประตูใหญ่ของเรือนถูกเปิดออก พอเห็นว่าเป็นเหล่าทหารจากศาลาว่าการ น้องสะใภ้ของ ฟ่านเจียงหลินก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ในสุดเรื่องก็ถึงหูทางการแล้วสินะ จะถูกจับตัวไปหรือนี่
“มาหาข้าหรือ” ฟ่านเจียงหลินยืนค้ำไม้เท้าอยู่กลางลานบ้าน เขามองน้องสะใภ้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าเก็บของไปอยู่กับอาสี่เถอะ”
ตอนแรกที่ตัดสินว่าจะก่อเรื่องให้ลุกลามใหญ่โต พี่น้องทั้งสองก็มีปากเสียงกันอยู่ไม่น้อย
‘ไหนบอกว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านอย่างไรเล่า เหตุใดเรื่องนี้ท่านถึงไม่ยอมให้ข้าร่วมด้วย” สวีซื่อเกินถาม ‘ตอนที่ข้าถูกกลั่นแกล้ง พวกท่านไม่เกรงกลัวเหล่าขุนนางพวกนั้น ร่วมกันทวงคืนความยุติธรรมให้ข้า แล้วเหตุใดเล่า ยามนี้พวกพี่สามก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะให้ข้ามุดหัวอยู่ใต้ชุดขุนนางอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ต้องการตำแหน่งขุนนางอะไรนั่นทั้งสิ้น‘
‘เหล่าซื่อ ตำแหน่งของเจ้ายังมีประโยชน์ในวันหน้า‘ ฟ่านเจียงหลินเอ่ย ‘ยามนี้ข้าเป็นแค่ทหารผู้น้อย หากข้าก่อเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา เหล่าขุนนางก็ยังพอสนใจบ้าง แต่เรื่องจะไม่ลุกลามบานปลายมากนัก อย่างมากก็แค่ถูกจับขังคุก แต่หากเจ้าเป็นคนลงมือ จะกลายเป็นขุนนางอาละวาด สำหรับเบื้องบนแล้ว เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ ข้าจะเป็นคนเบิกทาง แล้วเจ้าค่อยตามมาสมทบ เป้าหมายของข้าคือการทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตขึ้น อีกอย่างตอนนี้เหลือแค่เราสองพี่น้องแล้ว ภรรยานั่นก็ช่างเถิด ผู้ชายยังมีอีกถมเถไป แต่บ้านปั้งฉุยนี่สิ ยังมีเด็กเล็ก หากทั้งเจ้าและข้าเป็นอะไรไป… คนใกล้ตัวมีแต่จะเจ็บปวด ส่วนศัตรูก็ยิ่งได้ใจ เช่นนั้นแล้ว ข้าว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม พวกเราค่อยออกโรงกันทีละคนจะดีกว่า’
สวีซื่อเกินมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเชื่อฟังท่านพี่” เขาพยักหน้า “พวกเราค่อยเป็นค่อยไป”
เสียงร้องไห้ฟูมฟายของทารกน้อยเรียกสติที่หลุดลอยของฟ่านเจียงหลินให้กลับคืนมา
“พี่ใหญ่” น้องสะใภ้เอ่ยน้ำตานองพลางคว้าฟ่านเจียงหลินไว้
“ผู้ใดเรียกพบข้า เรื่องอะไร หากไม่บอกให้ชัดแจ้ง ข้าไม่ไป” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยขึ้น
ถึงอย่างไรเขาก็กลายเป็นคนปลิ้นปล้อนในสายตาของเหล่าขุนนางอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ต้องปลิ้นปล้อนให้ถึงที่สุด
“ใต้เท้าจ้าว หน่วยตรวจการณ์ เรียกเจ้าไปพบ บอกว่ามีเรื่องจะถาม” ทหารผู้น้อยบอกออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ใต้เท้าหน่วยตรวจการณ์อย่างนั้นหรือ! ฟ่านเจียงหลินตกตะลึงทั้งยังดีใจไม่น้อย
สวีซื่อเกินเองก็รู้ข่าวแล้ว จึงรีบพาฟ่านเจียงหลินมาส่งยังสำนักตรวจการณ์ถึงที่
“ใต้เท้าหน่วยตรวจการณ์ก็สนใจเรื่องนี้ด้วยหรือนี่” ฟ่านเจียงหลินตื่นเต้นไม่น้อย “เช่นนั้นก็ดี…”
“นั่นสินะ แม้แต่ใต้เท้าหน่วยตรวจการณ์ก็ให้ความสำคัญ” สวีซื่อเกินเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน แม้จะเป็นขุนนางได้ไม่นาน แถมยังเป็นขุนนางที่สำนักตรวจม้าอีกต่างหาก แต่ก็พอจะรู้จักกฎเกณฑ์ในเหล่าขุนนางอยู่บ้าง
ใต้เท้าหน่วยตรวจการณ์เรียกมาถามเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างเป็นแน่
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ! นึกไม่ถึงเลยว่าจะง่ายดายขนาดนี้ ทั้งยังเร็วถึงเพียงนี้อีกต่างหาก!
คงเป็นเพราะเหล่าพี่น้องคอยคุ้มครองเขาอยู่บนสวรรค์ใช่หรือไม่
สวีซื่อเกินสูดหายใจลึกก่อนจะพยุงร่างฟ่านเจียงหลินเข้าไปในโถง เมื่อพวกเขาเข้าไปถึง ท่านชายโจวหกก็เดินออกมาจากห้องโถงทางประตูข้าง เขาเหลียวมองสองคนที่คอยประคับประคองกันเดินเข้าไปข้างใน
‘ยาทาแก้ปวดนี้ น้องสาวฝากมาให้เจ้า…’
‘ถุงบุหงานี้น้องสาวฝากมาให้เจ้า… เอาไว้ไล่แมลง…’
ท่านชายโจวหกก้มหน้าลงก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ น้องสาวฝากมาให้อย่างนั้นหรือ หญิงผู้นั้นเห็นเขาเป็นพี่ชายเสียที่ไหน คนพวกนั้นเห็นเขาเป็นน้องชายเสียมากกว่า
สวีเม่าซิวผู้นั้น เขาไม่เคยสบตากับอีกคนเลยสักหน จนถึงตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
ท่านชายโจวหกถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป