พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 409 สุดความสามารถ (2)
ภายในห้อง สุราและอาหารถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ พร้อมกันนั้นเสียงพิณบรรเลงก็ดังขึ้นในห้อง เมื่อเพลงจบลง ท่านชายฉินสิบสามที่เพิ่งได้สติกลับมาก็ปรบมือชื่นชม
“ฝีมือของแม่นางจูก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว” เขาเอ่ย
“สองปีกว่าแล้ว หากยังไม่ก้าวหน้า ข้าก็กลัวว่าจะไม่มีข้าวกิน” แม่นางจูก้มหน้าเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามมาจากตระกูลบัณฑิต น้อยครั้งที่จะได้ย่างกรายเข้าไปในหอนางโลมโคมเขียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเรียกนางคณิกามาร่วมดื่มกิน ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงพิณของแม่นางจู คงเป็นตอนงานเลี้ยงของตระกูลฉินคราก่อน
ท่านชายฉินสิบสามถูกร้องทักก็นึกออกในทันใด
งานเลี้ยงของตระกูลครานั้นจัดขึ้นเพื่อเลี้ยงส่งเฉิงเจียวเหนียง
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปนานขนาดนี้เชียวหรือ ราวกับว่าเป็นเรื่องเมื่อวาน
แม่นางผู้นี้ช่างไร้หัวใจยิ่งนัก คิดจะไปก็ไป ไม่ร่ำลาแม้สักคำ
แม่นางจูเหลือบมองเขา นางปรับสายพินจากนั้นฝ่ามือก็เริ่มขยับไหว อีกบทเพลงอันยาวนานก็บรรเลงขึ้นอีกครั้ง
ท่านชายฉินสิบสามได้สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเพลง เขาฟังเสียงพิณพลางคิดอะไรบางอย่างแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะรินเหล้าให้ตนเองแล้วยกดื่ม
บทเพลงหนึ่งได้จบไป แม่นางจูหยุดพักครู่หนึ่งก่อนจะยกชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา
“ช้าก่อน” ฉินสิบสามยกมือขึ้นแล้วพูดขึ้น
ก็จริงอยู่ หากคนเป็นนายไม่ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญ นางคณิกาอย่างนางจะดื่มได้เยี่ยงไร
แม่นางจูโน้มกายไปข้างหน้าแล้ววางถ้วยชากลับไปที่เดิม
“ชาเย็นแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางรินชาให้ “แม่นางจูเองก็มีเรื่องไม่สบายใจ ดื่มชาร้อนน่าจะดีกว่า”
เขาพูดจบก็ดันถ้วยชาที่รินให้ออกไป
สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ริมประตูก็รีบลุกขึ้นแล้วยกชาให้แม่นางจู
ในที่สุดแม่นางจูก็ยอมเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้มบาง ท่าทีเขินอายของนางราวกับดอกไม้ผลิบาน
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณคำชมของท่านชาย” นางเอ่ยพร้อมยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าขอบคุณที่ข้าเข้าใจบทเพลงหรือ” เขายิ้ม “หากข้าไม่เข้าใจบทเพลง เพลงที่เจ้าบรรเลงเพื่อปลอบข้าก็มิสูญเปล่าหรือ”
“ท่านชายผิดแล้ว จะเข้าใจบทเพลงหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของท่านชาย หน้าที่ของข้าคือดีดพิณเพียงเท่านั้น” แม่นางจูยิ้ม “นี่เป็นหน้าที่ของข้า”
ฉินสิบสามหัวเราะลั่น
“เช่นนั้นก็ดี เป็นหน้าที่สินะ” เขาเอ่ย “เจ้าก็ดูเหมือนนางไม่น้อย…”
นางอย่างนั้นหรือ
หญิงสาวที่ไหนอยากจะเหมือนนางคณิกาอย่างนางกัน หากเป็นนางคณิกาอื่น พวกนางคงแสร้งทำเป็นน้อยอกน้อยใจแล้วบอกปัด ทว่าแม่นางจูเพียงแค่ยิ้ม ไม่มีท่าทางหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ประตูถูกเปิดออก หญิงสาวผู้หนึ่งเดินก้าวเข้ามา
“ท่านชายฉิน ท่านตามหาข้าหรือ” ปั้นฉินถามด้วยรอยยิ้ม แล้วมองไปยังแม่นางจูที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้ว” ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้าตอบ
เมื่อแม่นางจูเห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นคำนับแล้วเดินออกไป ท่านชายฉินสิบสามไม่ได้รั้งนางไว้ พร้อมสั่งให้บ่าวมอบเงินและเครื่องแป้งแล้วเดินออกไปส่ง
“…ท่านชายฉินอารมณ์ไม่ดีหรือเจ้าคะ ถึงขนาดดื่มเหล้าทั้งยังเรียกใช้นางคณิกาอีกต่างหาก ระวังท่านพ่อของท่านรู้เข้าจะถูกโบยจนขาหักเอา…”
“… วางใจเถิด ท่านพ่อข้าไม่กล้าหรอก หากจะให้เชิญนายหญิงของเจ้ามารักษาอีกคราก็คงไม่มีเงินจ่ายแล้ว…”
เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นภายในห้อง คำพูดตลกขบขันหยอกล้อนั้นฟังดูผ่อนคลายและคุ้นเคยกันไม่น้อย แม่นางจูหันหลังกลับไปมองประตูห้องที่ปิดลง ก่อนจะก้มหน้าเดินไปอย่างช้าๆ
“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” ปั้นฉินถามด้วยความประหลาดใจก่อนจะนั่งเหยียดหลังตรง
“ข้าบอกว่า นายหญิงของเจ้ากำลังจะเข้าเมืองหลวง” ท่านชายฉินสิบสามมองนางแล้วเอ่ยขึ้น มือหนึ่งก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
ปั้นฉินมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของนางก็จริงจังขึ้นมา
“ท่านชายฉิน เกิดเรื่องอันใดหรือขึ้น” นางถาม
ขณะเดียวที่เมืองเจียงโจว ภายในตรอกฝั่งเฉิงใต้ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“เจ้าจะหนีไปไหน” พ่อบ้านเฉาคว้าตัวเฉิงผิงไว้แล้วตวาดลั่น จากนั้นจึงเหลือบมองเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะกดเสียงให้ต่ำลง “เจอนายหญิงของข้า แล้วคิดจะหนีอย่างนั้นหรือ!”
“ข้าไม่ได้วิ่งหนีเพราะเจอนายหญิงของเจ้า ข้ารีบอยู่ นี่ก็สายมากแล้ว ข้าจะไปตั้งแผงหาเงินริมถนน…” เฉิงผิงน้ำเสียงจริงจัง
ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกพ่อบ้านเฉาตบหัวแล้วผลักออก
เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามาใกล้ เฉิงผิงยิ้มเจื่อนแล้วยกมือขึ้นทักทาย
“บังเอิญเสียจริง แม่นางก็จะออกไปเดินเล่นเหมือนกันหรือ” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับให้
“ใต้เท้าจะออกไปทำอะไรหรือ” นางถามขึ้น
“ข้าไม่มีอะไรหรอก ข้าจะไปเดินเล่นบนถนนก็เท่านั้น” เฉิงผิงยิ้มเอ่ยพลางยกเท้าขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน...”
“ข้าให้เงินใต้เท้า เหตุใดท่านถึงไม่รับ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายความเป็นอื่น ข้าแค่อยากให้ท่านเขียนตำราอย่างไร้กังวลก็เท่านั้น”
เฉิงผิงลูบหัวแล้วยิ้มเจื่อน
“เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ข้าจะสบายใจหรือ” เขาเอ่ย “แม่นาง ปล่อยข้าทำตามใจตนเองเถิด ให้ทุกคนทำตามใจของตนเอง”
เขาพูดจบก็เดินจากไป
เฉิงเจียวเหนียงยืนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าลูกหลานของท่านจะต้องพบเจอกับความยากลำบากในวันหน้า บางทีหากท่านแข็งแกร่งกว่านี้…” นางเอ่ยปากอีกครั้ง
เฉิงผิงยืนนิ่งแล้วหันมายิ้มให้
“แม่นางยังไม่เข้าใจอีกหรือ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา
เฉิงผิงยกนิ้วขึ้นแล้วชี้ไปที่นาง
“ข้าแข็งแกร่งขึ้นก็มีแค่ข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้อื่น ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับลูกหลานของข้าด้วย แม้ว่าลูกหลานของข้าจะพบเจอความทุกข์ยากใด นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา สุดท้ายแล้วพวกต้องผ่านพ้นไปด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า” เขาเอ่ย
ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาหรือ! จะไม่เกี่ยวกันได้อย่างไร! เขาจะไม่สนใจเลยหรือ เขาสนใจพวกเขาเลยหรือ ก็เหมือนอย่างที่เขาพูด ที่พวกเขาเป็นเช่นนี้เพราะโชคชะตาอย่างนั้นหรือ ต้องยอมรับอย่างนั้นหรือ
“แต่พวกข้าไม่ยอม” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นางเก็บคำพูดของเฉิงผิงมาคิด ก็เป็นจริงอย่างที่วา เพียงแต่… นางไม่ยอม
“หากไม่ยอม ก็จงแข็งแกร่งขึ้น ยังไม่ถึงเวลาตัดสินเสียหน่อย ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องยอมจำนนต่อโชคชะตา” เฉิงผิงขมวดคิ้วเอ่ย “เหตุใดถึงเอาแต่พูดถึงผู้อื่น เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบไปทำเรื่องที่เจ้าสมควรทำ”
ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องยอมจำนนต่อโชคชะตาอย่างนั้นหรือ ยังไม่ถึงอีกหรือ
เฉิงเจียวเหนียงก้าวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้
“ยังมีโอกาสอีกหรือ หากข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วยังจะมีประโยชน์อยู่หรือ” นางเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อเขาไว้ด้วยความตื่นตระหนก “แต่พวกเขาไม่อยู่แล้ว…”
“เจ้ายังอยู่ไม่ใช่หรือหรือ” เฉิงผิงเอ่ยขัด
ข้ายังอยู่หรือ ข้ายังอยู่อย่างนั้นหรือ
“แต่ ข้า… ข้า… ไม่ใช่ข้า…” เฉิงเจียวเหนียงพึมพำ
“เจ้ารู้ว่าตัวเจ้าเป็นใครไม่ใช่หรือ เหตุใดตัวเจ้าถึงไม่ใช่เจ้า” เฉิงผิงยิ้มแล้วโบกมือ “ตราบใดที่เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็จะเป็นเจ้าอยู่ตลอดไป เจ้าก็จะยังอยู่เสมอ เจ้ายังอยู่ เรื่องยังไม่จบ ยังไม่ถึงตอนจบ ยังมีโอกาส รีบไปเถิด ไปเถิด จงแข็งแกร่งขึ้น”
ข้ายังอยู่! ยังมีโอกาส! เรื่องยังไม่จบ!
เฉิงเจียวเหนียงสติหลุดลอย สองหูอื้ออึงไปหมด
นางยังคงเป็นเฉิงฝั่ง นางยังคงเป็นเฉิงฝั่ง เรื่องราวของตระกูลหยางยังไม่จบ นางยังไม่ตาย นางยังอยู่ นางยังคงมีโอกาส มีโอกาสล้างแค้นให้ตระกูลของนาง ยังมีโอกาส…
เขามองเฉิงเจียวเหนียงที่เอาแต่นิ่งเงียบ แล้วมองไปยังคนอื่นที่กำลังเฝ้ามองอย่างเป็นห่วง เฉิงผิงใช้จังหวะนี้หันหลังวิ่งหนีไป
อันที่จริงเด็กน้อยนั้นปลอบง่ายนัก แค่เอ่ยคำที่ตรงกับใจนางก็พอ…
“เจ้าหมอนี่!”
พ่อบ้านเฉาไล่ตามเขาไป พอเห็นว่าเฉิงผิงวิ่งหนีไปอย่างไร้ร่องรอยจึงจำใจต้องปล่อยไป เขาเหลียวกลับไปเห็นเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ผีเข้าอีกแล้วหรือ
เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังในตรอก เมื่อเห็นพวกเขา บ่าวรับใช้รีบก็ตรงเข้ามา
“นายหญิง จดหมายจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือขอรับ” เขาเอ่ยพร้อมยื่นจดหมายให้
ปั้นฉินเอื้อมมือไปรับแล้วเปิดออก ก่อนจะยื่นให้เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงกวาดตามองจดหมายราวกับสติหลุดลอย ก่อนจะนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง
“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” นางเอ่ย
“นายหญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถามอย่างอดไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ตอบ นางเก็บจดหมายลงแล้วทอดสายตามองไปข้างหน้า
เป็นเช่นนี้นี่เอง!
บนโลกนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด
“เก็บข้าวของ พวกเราจะเข้าเมืองหลวงกัน” นางเอ่ย
เข้าเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ
ปั้นฉินได้ยินก็ตกตะลึงไม่น้อย ก่อนจะเหลียวกลับมามองพ่อบ้านเฉาในทันใด ทว่ากลับหันไปเห็นสีหน้าอันตื่นตระหนกของพ่อบ้านเฉา
เช่นนั้นก็แปลว่านางไม่ได้หูฟาดไป
“ตอนนี้หรือเจ้าคะ” นางถาม
“ตอนนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะหันหลังกลับแล้วสาวเท้ายาวเข้าไปในเรือน