พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 410 ระหว่างทาง
รุ่งเช้าของเดือนหก ตะวันตกเฉียงเหนืออากาศหนาวเย็นนัก แสงอาทิตย์จากทางตะวันออกเริ่มทอแสง ประตูทิศใต้ของเมืองหลงกู่ก็คึกคักไปด้วยผู้คน
หลังศึกครานี้มีคนมากมายได้รับรางวัล โดยเฉพาะชาวบ้านบางคนที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นขุนนาง พวกเขาจึงต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อยื่นหนังสือเลื่อนยศพร้อมทั้งเข้ารับการตรวจสอบ
มีทั้งคนได้เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ มีทั้งคนได้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น มีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่ สำหรับพวกเขาแล้วนี่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าการสอบได้เป็นจอหงวนเลย นอกจากคนของทางการที่ติดตามไปแล้ว ยังมีเหล่าพี่ป้าน้าอาที่ออกมาส่ง คึกคักเสียจนประตูทิศใต้แทบจะกลายเป็นตลาด
ท่านชายโจวหกก็อยู่ในแถวเช่นกัน ทว่าเขาไม่ได้ไปยื่นหนังสือรับตำแหน่ง เพราะเขานั้นเป็นขุนนางอยู่แล้ว หลังจากศึกครานี้ก็เลื่อนขึ้นไปอีกสองขั้น ราชสำนักจึงถือโอกาสที่พาคนมายื่นหนังสือในคราวนี้ เรียกตัวเขาเข้าเมืองหลวง
“ออกไปอยู่ข้างนอกได้สองปีกว่าแล้ว คงคิดถึงบ้านแย่สินะ”
เหล่าท่านลุงและพี่น้องตระกูลโจวรายล้อมท่านชายโจวหกแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“คิดถึง แต่ก็ได้แค่คิดขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย
“ดี สมกับเป็นลูกชายตระกูลโจว” มือใหญ่หลายคู่ลูบหัวลูบไหล่ของท่านชายโจวหก
“เจ้าพวกคนแก่ทั้งหลาย จับคนหนุ่มเสียตัวช้ำ หากอิจฉาที่เขายังมีแรงอยู่ ก็ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้หรอก”
มีคนเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
ทุกคนเหลียวกลับไปแล้วหัวเราะ
“ใต้เท้าโจว”
ผู้ตรวจการโจวในชุดสีม่วงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือชายหกของตระกูลพวกเจ้าใช่ไหม” เขาเอ่ยขึ้น สายตากวาดมองไปที่ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มและใบหน้าอันหล่อเหลา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”
“สิบแปดขอรับ” ท่านชายโจวหกเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“กำยำดั่งลูกวัวตัวน้อย” ผู้ตรวจการโจวยิ้มแล้วเอื้อมมือไปตบบ่าท่านชายโจวหก
“ใต้เท้า ท่านจะว่าพวกข้าอย่างไร ท่านเองก็เบามือหน่อย” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลโจวหัวเราะ
ผู้ตรวจการโจวหัวเราะพลางพูดคุยกับพวกเขา
ทันใดนั้นจ้าวเฉิงที่ยืนอยู่ข้างผู้ตรวจการโจวก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า
“เรื่องนั้นข้าต้องขอโทษด้วย” เขาเอ่ยกระซิบ
โจวหกรีบโค้งคำนับ
“ใต้เท้า ข้าน้อยมิบังอาจ” เขาเอ่ย “บุญคุณของใต้เท้า ชั่วชีวิตนี้ข้าน้อยไม่อาจลืม”
“ข้าเปรยกับใต้เท้าโจวแล้ว แต่ว่า…เจ้ารู้หรือไม่…” จ้าวเฉิงพูดต่อแล้วมองไปอีกฝั่ง
ท่านชายโจวหกมองตาม
อีกฟากหนึ่งเจียงเหวินหยวนกำลังยิ้มแย้มอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
“กลับไปเมืองหลวงเสียเถิด กลับไปพักเสียหน่อยก็ดี” จ้าวเฉิงพูดพลางเอื้อมมือออกไปตบหลังท่านชายโจวหก “เจ้ายังหนุ่ม ไม่ต้องรีบร้อน”
หลังจากคำนับลาอย่างเรียบง่าย เหล่าขุนนางก็หันหลังเดินกลับไป
“รองหัวหน้าเจียง รองหัวหน้าเจียง”
เสียงก้องกังวานดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
เสียงนั้นทำให้คน ณ ที่นั้นก้มหน้าลง
สีหน้าของเจียงเหวินหยวนบึ้งตึง แต่ก็ต้องฝืนยิ้มออกมา
ทั้งถนนสายตะวันตกเฉียงเหนือนี้ทุกคนต่างเรียกเขาว่าหัวหน้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเติมคำข้างหน้าอีกคำให้เขาโดยเฉพาะ ผู้ตรวจการโจวคือหนึ่งในนั้น
“ใต้เท้าโจว” เขายกมือขึ้นแล้วยิ้ม
“รองหัวหน้าเจียง มา มา” ผู้ตรวจการโจวยื่นมือดึงเขาเข้ามาแล้วยิ้ม
คำก็รองสองคำก็รอง ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะลืมตำแหน่งเขาปานนั้น เจียงเหวินหยวนเคียดแค้น แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้มต่อ
ทั้งสองเดินเข้าเมืองไปพร้อมกับเหล่าขุนนาง
เมื่อเหล่าขุนนางจากไป คนอื่นก็เริ่มออกเดินทางกัน หลังจากโบกมืออำลาและเช็ดน้ำตา หน้าประตูเมืองก็เงียบสงบลงในทันใด
ท่านชายโจวหกยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน เหลียวมองดูประตูเมืองเป็นครั้งคราว
“ชายหก รอใครอยู่หรือ” มีใครบางคนถามขึ้น
ท่านชายโจวหกส่ายหัวแล้วหันกลับมามอง
“เปล่าขอรับ ท่านพี่ เช่นนั้นข้าของตัวก่อน” เขาเอ่ยแล้วขึ้นขี่ม้า
เหล่าบ่าวและผู้ติดตามก็ควบม้าตามไป ม้าอีกตัวที่ไม่มีคนขับก็บรรทุกของขวัญประจำถิ่นแล่นออกไป
ท่านชายโจวหกเหลียวมองประตูเมืองอีกครั้งแล้วควบม้าออกไป
แสงแดดเจิดจ้ายามเที่ยงวัน เหล่าผู้คนที่มาอำลาในยามเช้าตรู่พากันแยกย้าย ประตูเมืองยังคงวุ่นวายเดิม
รถม้าสองคันวิ่งขึงขังออกมาจากประตูเมือง ท่ามกลางฝูงชนที่เข้าออกประตูเมือง ผู้ติดตามเพียงสี่ห้าคนและพลขับม้าอีกคนหนึ่งที่มาส่งลาจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาผู้คนนัก
“พี่ใหญ่ ให้ข้าไปด้วยเถิด” สวีซื่อเกินเอ่ยเว้าวอน
“ไม่ต้องหรอก ที่นี่ขาดคนไม่ได้” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเมื่อนั่งอยู่ในรถม้า “ที่บ้านขาดคนไม่ได้ ประเดี๋ยวมีคนมาจะคลาดกัน”
สวีซื่อเกินเข้าใจในทันที
“พี่ใหญ่ ระหว่างทางระวังตัวด้วย” เขาเอ่ยกำชับ ก่อนจะเดินตรวจตราผู้ติดตามและรถม้าที่บรรทุกข้าวของ
“อาสี่ ท่านวางใจเถิด” ภรรยาของฟ่านเจียงหลินพูดพร้อมกับอุ้มลูกในอ้อมแขน
“ผู้กำกับวางใจเถิด พวกข้าจะพานายท่านไปส่งถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย” ทหารที่ติดตามมาเอ่ยเสียงดังฟังชัด
พวกเขาคือเหล่าทหารผู้น้อยที่สวีซื่อเกินคัดเลือกมาจากกองทัพด้วยตัวเอง เลือกคนที่ซื่อสัตย์และให้ค่าตอบแทนอย่างงามแก่พวกเขา
“ดี เช่นนั้นก็ฝากพวกเจ้าด้วย” สวีซื่อเกินพยักหน้าพลางเอ่ย
“เอาล่ะ ส่งแค่นี้ก็พอแล้ว พวกข้าต้องรีบออกเดินทาง” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
สวีซื่อเกินส่งพวกเขาออกนอกเมืองไปไกลถึงสิบลี้ เฝ้ามองดูรถม้ากลายเป็นจุดสีดำก่อนจะลับตาไป แล้วหันกลับมา
“เจ้าฟ่านเจียงหลินไปทำอะไร” ฟางซื่อจิ้น ไม่สิ ตอนนี้เขาคือหัวหน้าป้อมฟางแล้ว เขาไม่ต้องไปเมืองหลวง ก็เข้ารับตำแหน่งใหม่ที่ป้อมได้ทันที
แต่ก่อนที่เข้าจะไปประจำที่ใหม่ก็คอยจับตามองเหล่าลูกน้องเก่าที่นี่ หนึ่งในนั้นคือฟ่านเจียงหลิน
แต่กลับได้ข่าวมาว่าเขากำลังจะยายออกจากเมืองหลงกู่ไปทั้งครอบครัว
“ส่งวิญญาณกลับบ้านขอรับ” ผู้ติดตามคนสนิทเอ่ยขึ้น
“ส่งวิญญาณกลับบ้านหรือ” หัวหน้าป้อมฟางหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่พลางส่ายหน้า “น่าขันนัก ผ่านไปตั้งสองเดือนแล้วพึ่งนึกขึ้นได้หรือว่าต้องส่งวิญญาณกลับบ้าน”
ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวเขา ไปเสียได้ก็ดี ไปแล้วไม่กลับยิ่งดี เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นแค่ประวัติหน้าหนึ่งของหัวหน้าป้อมฟาง
ท้องฟ้าคร่ำครวญในยามเดือนหก ฟ้าอันสดใสจู่ๆ มีฝนเทลงมาห่าใหญ่ ท้องถนนอันคึกคักโกลาหลขึ้นมาในทันใด พริบตาเดียวก็ว่างเปล่าราวกับมหาสมุทรอันกว้างไกล
ผู้ดูแลอู๋เอื้อมมือออกไปปิดหน้าต่าง ฟังเสียงฝนที่ตกกระทบลงบนนั้น
“โธ่ พวกนายหญิงจะเปียกฝนหรือไม่” เขาเอ่ยอย่างเป็นกังวล
ปั้นฉินนั่งลง เปิดสมุดบัญชีพลางคำนวณอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะยิ้มทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
“ท่านลุงอู๋ ท่านวางใจเถิด นายหญิงของข้าพยากรณ์ฟ้าฝนได้ สนิทสนมคุ้นเคยกับเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์นัก หากฝนตกจะต้องบอกนางล่วงหน้าเป็นแน่” นางหัวเราะ
ผู้ดูแลอู๋หัวเราะตามพลางจ้องมองดูสาวใช้แล้วส่ายหน้า
ตอนที่ได้ยินข่าวจากท่านชายฉินสิบสามก่อนหน้านี้ เขาก็ยังนึกสงสัยอยู่ แต่ไม่นานก็ได้รับจดหมายจากเจียงโจว นายหญิงจะเข้าเมืองหลวงอย่างที่เขาว่าจริงๆ สาวใช้ดีใจจนทำมือไม้อยู่ไม่สุข นับวันก็ยิ่งเหมือนลูกข่างที่หมุนไม่หยุด
ดูเหมือนว่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะคลายความตื่นเต้นได้
“นายหญิงเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าสงสัยว่าสวรรค์ได้บอกนางหรือยัง ว่าปีนี้จะเกิดสุริยุปราคาเมื่อใด” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นทั้งสองก็หัวเราะออกมา
เดิมทีก่อนหน้านี้พวกเขาจะไปไหว้พระขอพรให้นายหญิงเดินทางตลอดปลอดภัยที่วัดผู่ซิว นึกไม่ถึงเลยว่าวัดผู่ซิวมีผู้มาเยือนจึงไม่รับแขก พอถามถึงได้รู้ว่า ที่แท้คือเหล่าขุนนางจากสำนักโหรหลวงมาไหว้พระจุดธูปนี่เอง
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเหล่าโหรจากสำนักโหรหลวงนั้นขี้เกียจคร้าน จะทำผิดกฎก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถึงกับไปจุดธูปไว้พระก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แม้ว่าขุนนางเหล่านั้นจะไม่ยอมรับ แต่ก็เรื่องนี้ก็ถูกแพร่ออกไปอยู่ดี
แน่นอนว่าผู้ช่วยราชเลขาต้องใช้โอกาสนี้โจมตีเหล่าขุนนางไม่เอาการเอางานพวกนี้ ทว่าคราวนี้เรื่องกลับบานปลายเกิดกว่าที่ตั้งใจไว้ ท้ายที่สุดก็ทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน ป้ายสีกันไปมา จนสุดท้ายก็ยืดเยื้อไม่จบสิ้น
ทว่าเรื่องของคนในราชสำนักนั้น ชาวเมืองไม่ได้ใส่ใจนัก พวกเขาสนใจแต่เรื่องสนุก
ปั้นฉินและผู้ดูแลอู๋หัวเราะกันอยู่พักใหญ่ พลางคาดคะเนว่าเฉิงเจียวเหนียงจะเดินถึงไหนแล้ว ฝนที่ตกหนักข้างนอกไม่ได้มีผลกับความตื้นเต้นดีใจของคนภายในห้องเลย
ขณะเดียวกันห่างออกไปหลายร้อยลี่ ท้องฟ้าแจ่มใส
“นายหญิง ไปไม่ได้แล้วขอรับ” องครักษ์สองคนควบม้ามาหยุดที่หน้ารถมาแล้วเอ่ยขึ้น
“เหตุใดถึงไปไม่ได้แล้วเล่า ออกเมืองไม่ได้หรือ” ปั้นฉินเลิกม่านรถขึ้นแล้วถาม มืออีกข้างโบกพัดไปที่หน้าชุ่มเหงื่อ
“ประตูเมืองปิด ผ่านไปไม่ได้ขอรับ” องครักษ์เอ่ยขึ้น
“เหตุใดประตูเมืองถึงไม่ให้ผ่าน หนังสือนำทางก็ครบ” ปั้นฉินถามอย่างงุนงง
“บอกว่าจะทำพิธี ห้ามคนผ่านขอรับ” องครักษ์เอ่ย
ปั้นฉินหลุดหัวเราะ
“ทำเรื่องอันใดกันถึงได้ปิดประตูเมือง” นางเอ่ย “ทางการกล้าดีอย่างไร”
เรื่องนี้เกินความคาดหมายขององครักษ์ เขาส่ายหน้า
“พวกข้าไม่ได้เข้าไปใกล้ ถูกขวางไว้ข้างนอก บอกว่าหลังเที่ยงถึงจะผ่านไปได้” เขาเอ่ย
“น่าขันนัก คืนนี้พวกเราต้องถึงศาลาม้าผิงเหลียงตู้ หากต้องรอเดินทางพรุ่งนี้ จะล่าช้าเอา” ปั้นฉินเอ่ยอย่างเป็นกังวลใจ ก่อนจะเหลียวกับไปมองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ในรถพยักหน้า
“ไปดูกันเถิด” นางเอ่ย