พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 411 กล้าขวาง
แสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์ในเดือนหกสาดส่องลงบนพื้น แม้คนบนกำแพงเมืองอำเภอผานเจียงจะยืนอยู่ใต้ร่ม แต่ก็ยังร้อนจนเหงื่อไหลไปทั่วร่าง
“ใต้เท้าหัน ท่านจะยอมให้พวกเขาทำแบบนี้จริงหรือ” ชายผู้หนึ่งเอ่ยถาม
ชายวัยกลางคนสวมชุดขุนนางสีหน้าดูอิดโรยและจนปัญญา
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงทำได้เพียงเท่านี้” เขาเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้า เดี๋ยวนี้ทูหลูชักจะเอาใหญ่แล้วนะขอรับ” ชายหนุ่มท่าทางเหมือนขุนนางรีบเอ่ยต่อ “วันนี้เขากล้าขวางประตูเมือง พรุ่งนี้ต้องกล้าขวางศาลาว่าการเป็นแน่”
ใต้เท้าหันถอนหายใจ
“แล้วจะให้ทำอย่างไร” เขาเอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วไปด้านล่าง “พวกเจ้าคนไหนจะหยุดยั้งได้”
ทุกคนมองตามลงไปด้านล่างกำแพง ชาวเมืองมากมายยืนเรียงรายกันอยู่ มองไกลออกไปก็ยังมีชาวเมืองอีกมากมายกำลังกรูเข้ามา แต่ละคนพากันโค้งคำนับด้วยความศรัทธา
กลางประตูเมืองมีแท่นบูชาตั้งอยู่ รอบๆ มีเณรอยู่สิบกว่ารูปยืนล้อมรอบ ด้านบนสุดมีพระภิกษุร่างขาวอวบ ใบหน้าอ่อนโยน กำลังนั่งตัวตรงอยู่ เขาพูดอะไรบางอย่างขึ้น เหล่าชาวเมืองด้านล่างพากันโกลาหลโค้งคำนับ
หากผู้ใดไปขอให้พระภิกษุรูปนั้นออกจากเมืองในตอนนี้ เพียงแค่เขาชี้นิ้วสั่ง ต่อให้เขาสั่งให้เหยียบคนให้ตาย ชาวเมืองเหล่านั้นก็คงทำตามอย่างไม่รีรอ ทั้งยังไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะเป็นขุนนางหรือไม่
สีหน้าของคนบนกำแพงเมืองทั้งกังวลทั้งจนใจ
“กลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร” ชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงพึมพำอย่างอดไม่ได้ “เดิมทีเราแค่เชิญให้เขามาทำพิธีตอนขุดคลอง จ่ายเงินเสร็จก็ไล่กลับไปแล้ว แต่พวกเขากลับอยู่ต่ออีกเป็นปีสองปี จนกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
“ทูหลูท่องบทสวดมนต์ไม่จบสักบท แต่กลายเป็นพระอาจารย์ไปได้” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางแค่นหัวเราะ ”ชาวเมืองช่างโง่เขลาเสียจริง”
“ที่ชาวเมืองโง่เขลาก็เพราะข้ากับเจ้าทำงานพลาด” ใต้เท้าหันถอนหายใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ต้องโทษข้าที่ละเลยเอง คิดว่าเขาเป็นเพียงภิกษุรูปหนึ่ง วันๆ เอาแต่ท่องบทสวดจะไปทำอะไรได้ จนเขาแผ่อิทธิพลใหญ่โตจนกลายเป็นแบบนี้”
“จะไล่ภิกษุเฒ่าผู้นี้ออกไปได้อย่างไร” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เชิญเขามาเป็นเรื่องง่าย แต่จะไล่ออกไปช่างยากนัก” อีกคนหนึ่งส่ายหัว “บัดนี้ทูหลูมีผู้ศรัทธาในตัวเขามากมาย แถมยังทำเงินได้ล้นหลาม จะไล่เขาไปคงไม่ง่าย”
สีหน้าทุกคนบนกำแพงเมืองต่างจนปัญญา
“ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน” ใต้เท้าหันเอ่ยตอบพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส บัดนี้ดูครึ้มขึ้นมาแล้ว
“หวังว่าคราวนี้พวกโหรจะทำนายแม่น หากเกิดสุริยุปราคาขึ้นจริง มาคอยดูกันว่าทูหลูจะทำอย่างไร” เขาพึมพำ
พวกเขากำลังยืนอย่างสิ้นหวังจนใจอยู่บนกำแพงเมือง ก็พลันเหลือบเห็นเหตุวุ่นวายด้านล่าง
“มีเรื่องอะไรหรือ”
“เหมือนว่ามีคนต้องการจะออกจากเมืองแต่ถูกขวางไว้ขอรับ”
“คงเป็นคนต่างถิ่นจึงไม่รู้เรื่องนี้ พวกเจ้าให้คนไปคุมไว้หน่อย ภิกษุพวกนี้โอหังนัก อย่าให้เกิดเรื่อง” ใต้เท้าหันรีบสั่ง
ขุนนางคนหนึ่งตอบรับทันที เขาหันไปพูดกับข้าหลวงครู่เดียว เขาก็รีบลงไปทันที
สถานการณ์เริ่มดูไม่สู้ดีนัก
“พวกข้าต้องรีบเดินทาง โปรดเปิดทางให้ด้วย” ผู้ติดตามเอ่ยขึ้น ถึงคำพูดจะสุภาพ แต่น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความเกรงใจ
ภิกษุสองรูปทำหน้าหยิ่งยโส
“พวกเจ้าฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือ” พวกเขาไม่แม้แต่จะใช้คำสุภาพ “วันนี้มีสุริยุปราคา ท่านอาจารย์ของพวกข้าต้องทำพิธีขอพรให้เทพเซียนคุ้มครอง พวกเจ้าเลือกเอาว่าจะไปหาที่หลบหรือจะลงมานั่งคุกเข่าด้วยกัน อย่าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้”
ผู้ติดตามกัดฟันแต่ไม่พูดอะไร ม่านบนรถม้าด้านหลังเปิดออก
“สุริยุปราคางั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น “วันนี้มีสุริยุปราคางั้นหรือ”
“ใช่แล้ว พวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร…” ภิกษุสองรูปเอ่ยขึ้นก่อนจะเหลียวไปมอง ทว่ายังพูดไม่ทันจบ ก็ต้องตาค้างมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า
งาม…ช่างงามนัก
“แม่นาง” ภิกษุรูปหนึ่งได้สติกลับมา ก็พลันประนมมือเดินเข้าไปหา
ผู้ติดตามยื่นมือมาขวางไว้ เป็นการส่งสัญญาณเตือน
“ข้าต้องการสนทนากับผู้มีวาสนาไม่ได้หรือ” ภิกษุไม่มีท่าทีหวาดกลัว เขามองผู้ติดตามแล่วเอ่ยเสียงเย็นชา
คำพูดเอ่ยออกมาก็พลันทำให้ผู้คนโดยรอบพูดต่อ
“พ่อหนุ่ม เจ้ารีบหลบไป เสียมารยาทกับพระอาจารย์เช่นนี้ได้อย่างไร”
“แม่นางผู้นี้เป็นผู้มีวาสนาอย่างนั้นหรือ เยี่ยมไปเลย รีบมาฟังกันเถิดว่าพระอาจารย์จะพูดว่าอย่างไร”
ผู้คนกรูกันเข้ามา ผู้ติดตามเห็นท่าไม่ดีจึงรีบยืนขวางด้านหน้า ภาพนี้หากมองจากบนกำแพงเมืองจะเห็นว่าพวกเขาดูเปราะบางนักเมื่อเทียบกับมวลชนรอบด้าน
“หลบไป ขอทางหน่อย”
ข้าหลวงตะโกนไล่ผู้คนขณะเดินเข้ามา
ภิกษุสองรูปมองพวกเขาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“อะไรกันท่านข้าหลวง พวกข้าทำพิธีกันอยู่ ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าพวกคนถือดาบวิญญาณชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าต้องหลบไป” พวกเขาเอ่ยขึ้น “หากทำให้พิธีการเสียหายขึ้นมาผู้ใดจะรับผิดชอบ”
เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้คนก็รีบกรูกันเข้ามา
“พวกเจ้าไปให้พ้น”
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว พวกเจ้ารีบออกไป”
คนเยอะพลังก็เยอะ เพียงครู่เดียวเหล่าข้าหลวงก็กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในฝูงชน ถูกเบียดเสียดไปมาจนแทบล้มลง
ข้าหลวงบางคนถึงกับหน้าซีดเผือด พวกเขาพากันถอยหลังจนมาชนเข้ากับรถม้า
“ทำพิธีอะไรกัน” เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง
แม่นางใจกล้าผู้นี้ยังกล้าพูดอะไรอีก ยังไม่รีบปิดม่านรถม้าแล้วถอยกลับไปอีก
“ทำไมต้องกลับไปด้วย ข้าจะออกจากเมือง ต้องรีบเดินทาง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น สายตามองภิกษุสองรูป “พวกเจ้าไม่อนุญาตหรือ”
ภิกษุทั้งสองยิ้มร่า ย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้ ผู้ติดตามสองนายรีบขวางไว้อีกครั้ง
“แม่นางรีบออกจากเมืองหรือ” พวกเขาเอ่ยถาม ดวงตาจ้องสำรวจเรือนร่างหญิงสาวอย่างเปิดเผย เสื้อผ้าฤดูร้อนเนื้อบาง ถึงแม้หญิงสาวจะสวมเสื้อตัวโคร่ง แต่ก็ไม่อาจปิดบังส่วนโค้งเว้าบนเรือนร่างของนางได้ “พวกข้าว่าไม่เลวเลยนะ แม่นางให้พวกข้าพาไปพบท่านอาจารย์สักหน่อยได้หรือไม่”
“บังอาจ!” ปั้นฉินตะคอกใส่ นางรีบขวางเฉิงเจียวเหนียงไว้ “คิดจะทำอะไร”
“แม่นาง พระอาจารย์ท่านหวังดี จะเกรี้ยวกราดไปใย”
“นั่นสิ ไม่ให้เกียรติพระอาจารย์แบบนี้ได้อย่างไร”
“การได้พบพระอาจารย์หนิงเต๋อนั้นถือเป็นบุญยิ่งนัก อย่าทำเหมือนเป็นเรื่องไร้ค่าเช่นนี้”
ผู้คนรอบข้างเอ่ยประณามอย่างไม่พอใจ ภิกษุสองรูปยิ้มอย่างลำพองใจ
ปั้นฉินทั้งโกรธทั้งร้อนใจอยากจะตอบโต้ แต่กลับมีมือยื่นมาตบบ่านางเบาๆ
“ได้สิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบแล้วลงจากรถทันที
จะไปจริงหรือ ปั้นฉินตกตะลึง รีบยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของเฉิงเจียวเหนียงไว้
“นายหญิง” นางเอ่ยอย่างร้อนใจ
“เจ้ารออยู่ที่นี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย หันไปมององครักษ์นายหนึ่ง “เจ้ามากับข้า”
องครักษ์ตอบรับพลันเดินตามพลางคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ
ภิกษุสองรูปยิ้มร่า หันมองหน้ากัน พลางนำทางไป
ฝูงชนเปิดทางให้ทันที ภิกษุบนแท่นบูชานั่งสวดมนต์อยู่อย่างตั้งใจ ราวกับไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น จนกระทั่งภิกษุสองรูปนำทางเฉิงเจียวเหนียงเข้าไปใกล้
ขุนนางบนกำแพงเมืองถึงกับก้าวขาไปข้างหน้าเพื่อพิงกำแพง
“แม่นางคิดจะทำอะไร” ใต้เท้าหันกล่าวอย่างร้อนรน “ทำตัวไม่รู้เรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
“ใต้เท้า ทูหลูเคยทำให้หญิงสาวเสียหายมาแล้วไม่น้อย…” ขุนนางหนุ่มอดพูดไม่ได้ “สำเนียงแม่นางไม่ใช่คนพื้นถิ่น คงไม่มีคนรู้จักที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็คงพูดอะไรไม่ได้”
ใต้เท้าหันกระทืบเท้า
“รีบส่งคนไปสิ เร็วเข้า” เขาชี้นิ้วพูด “เกลี้ยกล่อมให้นางกลับไป อย่างเพิ่งออกจากเมืองเลย รีบร้อนอะไรหนักหนา รอสักหน่อยจะเป็นอะไรไป ไม่เห็นหรือไงว่าอีกฝ่ายเขามีกำลังคนเยอะ…”
เขาบ่นพึมพำด้วยความร้อนใจ มองดูด้านล่างกำแพงเมืองเห็นภิกษุชราผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองแม่นางพอดี
“ไม่ทราบว่าโยมมีเหตุอันใด” ภิกษุชราถามแกลมหัวเราะ ท่าทางสง่างาม แต่แววตาหยาบช้าลามกนั้นไม่ปกปิดสายตาของชายอื่นได้ เพราะแววตาแบบนั้นเหล่าชายหนุ่มด้วยกันต่างเข้าใจดี
องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นขวาง
“ข้าต้องการออกจากเมือง เห็นว่าต้องขออนุญาตจากท่านหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“โยม วันนี้มีสุริยุปราคา เป็นวันอัปมงคล เที่ยงนี้ต้องทำพิธี มิเช่นนั้นอาจป้องกันได้ไม่ทันการณ์ แม่นางอย่าเพิ่งเดินทางเลย รออยู่ที่นี่ก่อน พอทำพิธีเรียบร้อยแล้วก็ย่อมเดินทางได้” ภิกษุชราพูดพลางหัวเราะ
“พระอาจารย์ ข้าไม่นับถือพระสงฆ์องค์เจ้า ทั้งยังศึกษาวิชาปราชญ์มาตั้งแต่เด็ก ไม่เชื่อเรื่องภูตผีเทวดา ฉะนั้นแล้วจึงไม่กลัวความอัปมงคล” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ข้ามาเพื่อถามพระอาจารย์เท่านั้น ว่าหากข้าต้องการออกจากเมือง ท่านจะอนุญาตหรือไม่”
“อมิตตาพุทธ แม่นาง ผู้ไม่ศรัทธาในพระพุทธเจ้าจะต้องกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน” ภิกษุชราเงยหน้าขึ้นเอ่ย สีหน้าจริงจังทั้งยังเต็มไปด้วยความสงสาร
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขาพลางหัวเราะ
“หมายความว่าพระอาจารย์ไม่อนุญาตงั้นหรือ” นางเอ่ยถาม
“เพื่อตัวแม่นางเอง แล้วก็เพื่อทุกคนด้วย” ภิกษุชราเอ่ยขึ้นพร้อมหันหน้ามองไปรอบด้านและยกมือขึ้น
ชาวเมืองเห็นภิกษุยกมือขึ้นก็พากันส่งเสียงพร้อมโค้งคำนับอย่างศรัทธา
ภิกษุชราหันมามองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
“พวกข้าเตรียมการทำพิธีในวันนี้มานาน ก็เพื่อความสุขของชาวเมือง หากต้องหลีกทางให้แม่นางด้วยการนำแท่นบูชาออก แม่นางจะไม่สนใจความสุขของชาวเมืองจริงหรือ”
ผู้ติดตามมองตามไปรอบๆ ชาวเมืองในบริเวณนั้นได้ยินสิ่งที่ภิกษุชราพูดทั้งหมด ก็พากันบอกต่อให้คนด้านหลังฟัง คำพูดถูกส่งต่อราวกับคลื่นน้ำ จนวุ่นวายโกลาหลขึ้นในทันใด
นี่เป็นการคุกคาม
นี่เป็นการข่มขู่
มองดูผู้ติดตามคนอื่นที่ยืนอยู่ไกลออกไป บัดนี้ทางที่จะเดินเข้ามาถูกชาวเมืองปิดกั้นไว้หมดแล้ว
ผู้ติดตามก้าวขึ้นไปยืนขวางหน้าเฉิงเจียวเหนียง ยกมือเท้าเอว
“การสวดมนต์ขอพรของพระอาจารย์ช่างน่าขันยิ่งนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อไม่มีภัยพิบัติ จะสวดมนต์ขอพรเพื่ออะไร”
ภิกษุชราหันมอง รอยยิ้มที่มุมปากกว้างกว่าเดิม
แม่นางช่างไม่เหมือนหญิงอื่น หากเป็นหญิงอื่น ยามนี้คงจะหวาดกลัวจนรีบหันมาคำนับให้แล้ว
ไม่เลวเลย น่าสนุกจริงๆ
“โยมหมายความว่าอย่างไร” ภิกษุเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“พระอาจารย์คงมีความรู้เรื่องดาราศาสตร์ไม่น้อย ดังนั้นคงรู้ดีว่าวันนี้จะไม่เกิดสุริยุปราคาขึ้นมิใช่หรือ” นางเอ่ยขึ้น
ว่าอย่างไรนะ
ภิกษุชราตกตะลึง ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งสติ เฉิงเจียวเหนียงก็ถอยหลังหนึ่งก้าว
“ฆ่าเขา” นางเอ่ยขึ้น
องครักษ์ข้างกายนางดึงมีดสั้นที่เอวออกมาโดยไม่ลังเล ราวกับเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เขาย่อตัวลงกึ่งคุกเข่า แล้วยกมือขึ้นใช้มีดปาดคอภิกษุชราที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ดวงตาของภิกษุชราเบิกโพลงราวกับไม่เชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะยกมือขึ้น ศีรษะก็หลุดกลิ้งลงมา เลือดพุ่งกระจายราวน้ำพุ
ใต้เท้าหันเห็นเหตุการณ์นี้จากบนกำแพงเมืองพอดี สีหน้าของเขาตกตะลึง อ้าปากค้าง แทบจะหยุดหายใจ
ให้ตายเถอะ ข้าเห็นเหตุการณ์อะไร!
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังลั่นด้านล่างกำแพงเมือง ราวกับมีคนเทน้ำใส่หม้อที่มีน้ำมันร้อนระอุอยู่
ใต้เท้าหันขาอ่อนจนเกือบเป็นลมคากำแพงเมือง
นายหญิงอะไรกัน ที่แท้นางคือเทพวิทยาราชแห่งทิศเหนือ !