พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 412 ยืนยัน
ร่างไร้ศีรษะล้มลงบนพื้น กระตุกสั่นเลือดสาดกระเซ็น ศีรษะกลิ้งตามบันไดลงไปหยุดที่ตรงหน้าชาวเมืองคนหนึ่ง หญิงสาวที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นมองดูศีรษะของพระอาจารย์ด้วยความตะลึง นางกรีดร้องออกมาจนเป็นลมไป
ผู้คนบ้างก็วิ่งหนีออกไป บ้างก็เข้ามามุงดูที่แท่นบูชา ทั่วทั้งที่นั้นมีแต่ความโกลาหล ปั้นฉินเองก็ตกตะลึงไม่น้อยกว่าไปคนอื่น ส่วนเหล่าผู้ติดตามก็หน้าซีดเผือด พวกเขายืนอยู่ห่างเกินไป แม้จะอยากเบียดตัวเข้าไปก็ไม่สามารถทำได้ ได้แต่ยืนมองเฉิงเจียวเหนียงถูกกลืนหายไปในฝูงชน
“นายหญิง ภิกษุรูปนี้ดูมีอิทธิพลไม่น้อย…” ผู้ติดตามกระซิบบอก
เฉิงเจียวเหนียงหันมองเขาพลันหัวเราะ
นางหัวเราะหรือ…
ผู้ติดตามตกตะลึง
เพราะปกตินายหญิงเป็นคนที่ไม่ค่อยจะหัวเราะสักเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามที่รอบกายเต็มไปด้วยฝูงชนผู้เกรี้ยวกราดที่พร้อมจะถลกหนังพวกเขาทั้งแบบนี้
“เจ้าลงมืออย่างฉับไวนัก ข้าชอบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ผู้ติดตามตกใจจนหน้าแดง
เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจเขาอีกต่อไป นางหันกลับไปมองผู้คนที่กำลังกรูเข้ามารอบด้าน
“คนชั่ว คนชั่ว” เหล่าภิกษุดวงตาแดงก่ำ สีหน้าของพวกเขาเกรี้ยวกราดราวกับอยากจะฉีกร่างแม่นางผู้นี้เป็นออกเสี่ยงๆ ทว่าศีรษะของภิกษุที่อยู่บนพื้นทำให้พวกเขาตกใจและหวาดกลัวไม่น้อย แม้พวกเขาจะรุมล้อมเข้ามาแต่ก็ไม่มีใครกล้ากระโจนใส่
ฆ่าคนตาย นี่คือการฆ่าคนตาย ง้างมือขึ้นลงมีดแล้วตัดคอในทันที ต่อให้เป็นผู้ชายก็คงต้องหน้าถอดสีเช่นกัน แต่สีหน้าแม่นางผู้นี้กลับไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย นางดูสงบนิ่งแถมยังยิ้มอีกด้วย
นี่ นี่มันตัวอะไรกันแน่!
“ปีศาจ ปีศาจ!”
“ตีนางให้ตาย!”
“เผานางให้ตาย!”
ทุกคนพากันชี้นิ้วตะโกนใส่นาง
“พวกเจ้าคิดผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ปีศาจ เขาต่างหากที่เป็นปีศาจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นพร้อมหันไปมองฝูงชนผู้เกรี้ยวกราดโดยไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย นางเดินขึ้นแท่นบูชา เตะอาสนะของภิกษุออก “เขาเป็นคนเรียกสุริยุปราคามา…”
เพราะความโกลาหล ผู้ติดตามจึงต้องตะโกนคำพูดเฉิงเจียวเหนียงที่เอ่ยออกไปอีกครั้ง ผู้คนโดยรอบตะลึงเมื่อได้ยิน ก่อนจะพากันบอกต่อคนด้านหลัง เมื่อบอกต่อกันเป็นทอดไปเรื่อยๆ สถานการณ์ก็ยิ่งโกลาหลมากขึ้นกว่าเดิม
ว่าอย่างไรนะ
บอกว่าพระอาจารย์หนิงเต๋อเป็นปีศาจหรือ
บอกว่าพระอาจารย์หนิงเต๋อเป็นคนเรียกสุริยุปราคามาอย่างนั้นหรือ
“หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว!” เหล่าภิกษุตาแดงก่ำ พอรวมตัวกันได้สิบกว่าคนก็รวบรวมความกล้าตะโกนขึ้นพร้อมกระโจนเข้ามา
ผู้ติดตามยกมีดสั้นออกมาป้องกันด้านหน้าเฉิงเจียวเหนียง ใบมีดใต้แสงตะวันยังคงมีเลือดของภิกษุ
หนิงเต๋อติดอยู่
ตัวเขาเองสู้กับสามสี่คนได้ไม่มีปัญหาแน่ พวกพ้องคนอื่นก็กำลังพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ยื้อเวลาไปครู่หนึ่งคงปกป้องนายหญิงไว้ได้
“ภิกษุปีศาจบอกว่าเขาหยุดยั้งสุริยุปราคาได้ แต่ความจริงเขาทำไม่ได้หรอก หากไม่ใช่เพราะข้าสังหารเขาไป หลังเที่ยงวันนี้จะต้องเกิดสุริยุปราคาขึ้นเป็นแน่!” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ
ว่าอย่างไรนะ
ภิกษุรอบด้านสีหน้าซีดเผือด จ้องมองแม่หญิงบนแท่นบูชา
นางพูดจาเหลวไหล...
หญิงสาวหันมามองพวกเขา มุมปากราวกับกำลังยกยิ้มขึ้น
“แต่วันนี้ข้าสังหารเขาแล้ว ดังนั้นจะไม่เกิดสุริยุปราคาขึ้น หากไม่เชื่อ พวกเจ้าก็รอดู ไม่ต้องขอพรไม่ต้องจุดธูป ไม่ต้องสวดมนต์ ปีศาจเทียนโก่ว จะหนีไปเอง” นางเอ่ยเสียงเนิบ พลางยกมือชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า
อะไรกัน
เหล่าภิกษุที่เดิมทำท่าจะกระโจนเข้ามากลับตกตะลึง ราวกับไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรไปชั่วขณะ
ผู้ติดตามรีบตะโกนสิ่งที่นายหญิงพูดซ้ำอีกครั้ง
“… พวกเจ้าไม่ต้องตะโกนให้คนฆ่าข้าหรอก ข้าจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน หากวันนี้เทพวิทยาราชแห่งทิศเหนือไม่หลีกหนีไป หากดวงอาทิตย์ถูกกลืนหาย ข้าจะตัดหัวตัวเองเพื่อไถ่โทษ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางชี้นิ้วมาที่คอแล้วทำท่าเฉือนคอตัวเอง
ฝูงชนที่กำลังวิ่งโกลาหลหยุดฝีเท้าลง พวกเขาหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ ทั้งสงสัย ทั้งงวยงง ก่อนจะหันไปถกเถียงกันยกใหญ่ คำพูดของเฉิงเจียวเหนียงถูกบอกต่อไปเป็นทอดๆ
แย่แล้ว แย่แล้ว
เสียงตึงดังขึ้น ภิกษุในบริเวณนั้นสองรูปล้มตัวลงนั่งบนพื้น จ้องมองเฉิงเจียวเหนียงด้วยสีหน้าซีดเผือด
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
“อย่าไปฟังนางพูดจาเหลวไหล!” ภิกษุบางรูปได้สติกลับมาก็เอ่ยขึ้น “ที่เทพวิทยาราชแห่งทิศเหนือหลบหนีไป เป็นเพราะพระอาจารย์ของพวกเราหมั่นขอพรเอาไว้ทั้งวันทั้งคืน…”
เขาเพิ่งพูดจบก็ถูกเฉิงเจียวเหนียงพูดตัดบททันที
“หากพระอาจารย์ของพวกเจ้าขอพรทุกวันทุกคืนไว้จนสำเร็จแล้ว จะเรียกให้ฝูงชนมารวมตัวกันร่วมขอพรในวันนี้เพื่ออะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
ก็เพื่อสร้างความน่าเคารพและศรัทธาน่ะสิ แต่ผู้ใดจะกล้าตอบกลับเช่นนี้ สีหน้าของภิกษุต่างซีดขาว ราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ผู้ติดตามตะโกนคำถามของเฉิงเจียวเหนียวซ้ำอีกครั้งเพื่อให้คนอื่นได้ฟังกันชัดเจนถ้วนหน้า
“…แปลว่าพระอาจารย์เจ้าคนเดียวไม่สามารถทำสำเร็จได้อย่างนั้นหรือ จึงจำเป็นต้องให้ผู้คนมาร่วมด้วยช่วยกันอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถามต่อ
ไม่ใช่…ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ก็อธิบายไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมต้องเรียกฝูงชวนมารวมตัวกันด้วย
ใช่…ถ้าบอกว่าใช่ก็…
เหล่าภิกษุเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่อยู่ด้านบน ก็พลันกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น
พอเห็นเหตุการณ์นี้ แม้แต่ใต้เท้าหันที่ระดมพลทั้งคนทั้งม้าเพื่อแหวกผ่านฝูงชนมายังต้องหยุดฝีเท้าลง
“นี่เรียกว่าเจ้าหัวโล้นนั่นขุดหลุ่มฝังตัวเองใช่หรือไม่” เขากระซิบถามคนข้างกายย่างอดไม่ได้
“ท่านข้าหลวง แม่นางผู้นี้ฆ่าคนทั้งคนเลยนะ จะไม่สนใจคงไม่ได้กระมัง” ภิกษุนึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
บัดนี้สายตาของข้าหลวงที่ยืนล้อมอยู่ ไม่ได้มีความหลาดกลัวเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับแฝงนัยน์ยิ้มเจ้าเล่ห์
เพิ่งจะรู้ว่าต้องสนใจเรื่องฆ่าคนตายนั้นหรือ ทีตอนพวกเจ้าหัวโล้นทุบตีคนจนตายคาถนน พวกเจ้าไม่เห็นจะพูดอะไร
“ใจเย็น รีบร้อนอะไรกัน แม่นางก็พูดไปหมดแล้ว ต้องคอยดูให้ถึงที่สุดว่าเป็นอย่างที่นางพูดหรือไม่ หากจับนางไปทั้งแบบนี้ ชาวเมืองก็คงไม่ยอมเช่นกัน” เหล่าข้าหลวงพากันหัวเราะ “หากคำพูดของนางเป็นเรื่องโกหก พวกข้าจะต้องโทษนางฐานฆ่าคนตายแน่นอน”
จบกัน จบกัน
ไม่ว่าอย่างไร ภิกษุที่ผู้คนศรัทธาก็ถูกฆ่าไปแล้ว ต่อให้ฝูงชนโกรธเกรี้ยว ก็ไม่สามารถปลุกระดมได้ตามใจชอบเหมือนตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้
ที่น่ากลัวกว่าคือแม่นางผู้นี้สามารถใช้สิ่งที่ภิกษุสร้างเอาไว้มาเป็นอาวุธโจมตีตัวภิกษุเองได้
กลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน
เหล่าข้าหลวงมองดูเหล่าภิกษุที่นั่งหน้าดำคล้ำเครียดบนพื้นตรงหน้า ก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากพื้นที่ใต้ร่มบนกำแพงเมือง ขุนนางหนุ่มด้านนอกประตูเมืองเองก็ยังยิ้มตาม
“ได้ยินท่านเจ้าอำเภอหัวเราะแบบนี้ครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่วันที่ขุดคลองเสร็จโน่น” คนหนึ่งเอ่ยตัดพ้อ
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะง่ายดายเพียงนี้!” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางประสานมือเดินไปมา “ข้าคิดแล้วว่าการทำนายสุริยุปราคาครั้งนี้ต้องไม่แม่น ภิกษุชรานั่นคงรู้ดี”
ไม่เพียงแค่ภิกษุชราเท่านั้นหรอกที่รู้ดี เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ต่างก็รู้ดี
“รู้แล้วอย่างไรเล่า” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางลูบเครา “เจ้ากล้าไปตัดคอเขาหรือ”
กล้าหรือ
คนในที่นั้นต่างพากันถามตัวเอง พลันส่ายหัวกันถ้วนหน้า
จะกล้าได้อย่างไรกัน จะกล้าได้อย่างไร
เรื่องนี้พูดง่ายแต่หากต้องทำจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย
“แม่นางผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่” ใต้เท้าหันเอ่ยขึ้น “ก่อนเดินเข้าไปนางพูดว่าอย่างไรนะ”
“ข้าหลวงบอกว่าพอนางได้ยินพวกเจ้าหัวโล้นพูดว่าจะเกิดสุริยุปราคาก็ลงจากรถม้าในทันใด น้ำเสียงฟังดูไม่เชื่อเลยสักนิด” ขุนนางท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แบบนี้ถูกต้องแล้ว” ใต้เท้าหันพยักหน้า “นางคงรู้ว่าวันนี้ไม่มีสุริยุปราคา ถึงได้กล้ายืนยันเช่นนั้น”
เขาพูดพลางลูบเคราตัวเอง
นั่นแสดงว่านางต้องรู้เรื่องการพยากรณ์ดวงดาว และต้องไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญธรรมดาไปแน่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาที่ไหนจะทำได้
“ใต้เท้า ถึงเวลาแล้ว” มีคนเอ่ยเตือนขึ้น
ถึงแม้ในใจจะรู้ดีว่าสุริยุปราคาจะไม่เกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ยังจิตใจร้อนรน ต่างพากันก้าวออกมานอกกำแพงเมืองแหงนหน้ามองท้องฟ้า
เมฆดำไม่รู้เริ่มจับกลุ่มก้อนกันบนท้องฟ้าตั้งแต่เมื่อใด ทำให้บรรยากาศบริเวณหน้าประตูเมืองตึงเครียดขึ้นมา
รอบแท่นบูชากลายเป็นเหล่าข้าหลวงจากศาลาว่าการที่ยืมล้อม ศีรษะของภิกษุชราถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวแต่ยังไม่ได้ยกออกไป เหล่าภิกษุที่เคยฮึกเหิมและยโสโอหังบัดนี้ถูกไล่ให้ไปยืนรวมกันอยู่ด้านข้าง
เวลาเพียงแค่สิบนาที แต่กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงให้กับเหล่าภิกษุ
ผู้ใดจะไปคิดว่าพวกเขากำลังขวางทางคนเหี้ยมโหดเช่นนี้ หากรู้เสียแต่แรก ต่อให้ต้องยกแท่นบูชาออกก็จะยอมยกออกให้ แต่จะมาพูดอะไรตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว…
ผู้คนในบริเวณนั้นมองดูท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีด้วยความประหม่า ชาวเมืองพากันคุกเข่าลง มือกำฆ้องและกลองไว้แน่ สีหน้าดูตื่นกลัว
พวกปั้นฉินเดินมาถึงข้างกายเฉิงเจียวเหนียงแล้ว
ผู้ติดตามบางคนถือโอกาสมองดูลู่ทาง
ไม่ต้องใช้รถม้าแล้ว ขี่ม้าไปเลยดีกว่า…
พวกเขามองตากันขณะวางแผน
ในขณะที่พวกเขากำลังประหม่า หญิงสาวสองคนกลับดูผ่อนคลาย
“นายหญิงขึ้นไปนั่งบนนั้นไม่ดีกว่าหรือ จะทำให้ดูน่าเกรงขามกว่า” ปั้นฉินกระซิบบอกพลางชี้นิ้วไปที่ด้านบนแท่นบูชา
“ความน่าเกรงขามมาจากสิ่งของนอกกายด้วยงั้นหรือ” นางเอ่ยขึ้น
ปั้นฉินนั่งลงข้างเท้านาง พลันเงยหน้ามองท้องฟ้า ท่าทางดูใจร้อน
“ยังต้องรออีกนานแค่ไหนกัน น่าเบื่อชะมัด” นางเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียวหันมองท้องฟ้า
“ครึ่งวันก็พอ” นางเอ่ยตอบ
ครึ่งวันหรือ ปั้นฉินขมวดคิ้วอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นสีหน้าราวกับนึกอะไรบางอย่างออก
“นายหญิง ให้ข้าไปต้มชามาให้ไม่ดีกว่าหรือ มาชิมกันว่าใบชาที่ทำมาใหม่เป็นอย่างไร” นางเอ่ย
ใต้ก้อนเมฆครึ้มบนแท่นบูชา ถัดจากศีรษะที่วางอยู่บนพื้นนองเลือด มีกลิ่นหอมจากชาลอยฟุ้งออกมา ผู้คนรอบด้านรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นภาพหญิงสาวกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มก็ถึงกับตกตะลึง
ในพริบตานั้นเอง ลมพัดโชยพาก้อนเมฆลอยหายไป แสงอาทิตย์กลับมาสาดส่องอีกครั้ง
เวลาผ่านไป แสงแดดที่เคยเจิดจ้าค่อยๆ อ่อนแสงลง ดวงอาทิตย์ที่เคยอยู่กลางท้องฟ้าเอียงค่อนไปทางทิศตะวันตก คล้อยลงมาจรดขอบกำแพงเมืองพอดีพอดีจนเกิดลำแสงเป็นแฉกในยามนี้
เฉิงเจียวเหนียงดื่มชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งกินของว่างไปแล้วด้วย แม้ผู้ติดตามเองก็ยังได้กินของว่างด้วยเช่นกัน
อาจเป็นเพราะบรรยากาศผ่อนคลายของพวกเขา บัดนี้สีหน้าของฝูงชนด้านล่างกำแพงเมืองที่เคยกระวนกระวายราวกับภัยพิบัติใหญ่หลวงที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเริ่มเปลี่ยนไป พอหันไปมองเหล่าภิกษุ สีหน้าของพวกเขาก็สิ้นศรัทธราในทันใด บางคนเลิกนั่งคุกเขาด้วยความเคารพแต่กลับมานั่งตัวตรงแทน จากที่เคยพูดคุยเรื่องวันนี้กัน กลับกลายเป็นพูดคุยเรื่องทั่วไป
ถึงแม้กำแพงเมืองจะยังคงเหมือนเดิม ชาวเมืองก็ยังรวมตัวกันมากมายเช่นเดิม แต่บรรยากาศไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนตอนแรกแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนถนนคนเดินอันคึกคัก เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการใช้ชีวิต
เฉิงเจียวเหนียงหันมองสีท้องฟ้าแล้วจึงลุกขึ้น
พอเห็นนางลุกขึ้น บริเวณด้านล่างประตูเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันอย่างคึกคักก็ค่อยๆ เงียบลง
ผู้คนมากมายแต่กลับเงียบสงัด ทำเอาขุนนางที่ยืนมองอยู่บนกำแพงเมืองถึงกับเสียวสันหลังวาบในทันใด
หากแม่นางผู้นี้บอกว่านางเป็นคนหยุดยั้งภัยพิบัติจากสุริยุปราคาในวันนี้ ฝูงชนคงคุกเข่าลงกราบในทันที เหมือนกับที่เคยกราบภิกษุชราผู้ล่วงลับ
บางทีชาวเมืองอาจเพียงต้องการคนให้เคารพนับถือ แต่ไม่ได้สนใจว่าเขาคนผู้นั้นจะเป็นใคร
“ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
แยกย้าย…
บริเวณด้านล่างกำแพงเมืองอันเงียบสงบกลับมาโกลาหลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหล่าขุนนางไม่ได้ประหม่าเหมือนครั้งก่อน กลับรู้สึกโล่งใจเสียมากกว่า
“เร็วเข้า เร็วเข้า เราจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้ รีบใช้โอกาสนี้โน้มน้าวชาวเมือง ล้างอิทธิพลจากเจ้าเจ้าหัวโล้นออกไปให้หมด”
“…ไปจับภิกษุพวกนั้นมา อย่าปล่อยให้ไปหลอกลวงชาวเมืองอีก...”
“…ให้พวกเขาเล่าความชั่วร้ายของเจ้าหัวโล้นนั่นออกมา แล้วป่าวประกาศให้ทั่ว…”
ขุนนางบนกำแพงเมืองโกลาหลขึ้นมาในทันใด ต่างคนต่างพากันรับคำสั่งไปปฏิบัติตาม