พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 413 ขอบคุณ
ยามฟ้าสาง ศาลาพักม้าในผิงเหลียงซึ่งตั้งอยู่ริมถนนหลวงก็เริ่มคึกคักขึ้นมา
ผู้ดูแลศาลาพักม้าสองนายยืนอยู่ที่ประตู กำลังเก็บตั๋วจากมือคนที่กำลังจะเดินเข้ามา เขาเป็นพ่อค้าที่เดินทางผ่านมา ไม่รู้มีความสัมพันธ์กับผู้ใดถึงได้มีตั๋วมากินอยู่โดยไม่ต้องจ่ายสักแดงเดียวอยู่หลายหน ที่จริงหากคิดเป็นเงินก็ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สำหรับพ่อค้าหากประหยัดได้ก็เท่ากับกำไร
เพราะเขาเป็นลูกค้าประจำ ผู้ดูแลจึงเหลือบตามองขณะกำลังหาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะโบกมือให้เขาเข้าไปได้
“ต้าซาน เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับหรือ” พ่อค้าเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“อย่าให้พูดเลย กลางดึกมีคนมาพักกลุ่มหนึ่ง ทั้งกินทั้งดื่มแถมยังจะอาบน้ำอีก กว่าจะได้หลับตาฟ้าก็สางแล้ว”
“ผู้ใดกันหรือ ทรมานคนอื่นเช่นนี้” พ่อค้ารีบโวยวายแทน ถึงแม้ในใจจะคิดว่าศาลาพักม้าก็ต้องทำเช่นนี้อยู่แล้ว ผู้คนผ่านเข้ามาตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เห็นจะมีอะไรน่าลำบาก
“ผู้หญิงก็จะเรื่องเยอะหน่อย” ผู้ดูแลอีกนายหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางถลึงตาใส่ผู้ดูแลที่ชื่อต้าซาน “ไม่ได้ให้เจ้าเหนื่อยเปล่าสักหน่อย”
ต้าซานหัวเราะพลางเอามือลูบเงินก้อนโตในแขนเสื้อ
แปลว่าคนมีเงินเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ทรมานคนอื่นอย่างนั้นหรือ
ขณะที่พ่อค้ากำลังจูงม้าเดินเข้าประตู ด้านหลังก็มีคนตะโกนดังขึ้น
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
เสียงนั้นทำให้ทุกคนในศาลาพักม้าต่างหันมามอง
ชายร่างกำยำจูงลาตัวหนึ่งพลางตะโกนโหวกเหวก ผู้ดูแลตรวจดูตั๋วของเขา พบว่าเป็นญาติของขุนนางสำนักบัณฑิตแห่งอำเภอผานเจียง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือถึงตะโกนเสียงดังแต่เช้าเช่นนี้” คนหนึ่งเอ่ยถาม
“พวกเจ้ารู้จักพระอาจารย์หนิงเต๋อหรือไม่” ชายคนนั้นตะโกนถาม
ชื่อของพระอาจารย์หนิงเต๋อมีหรือที่คนผานเจียงจะไม่รู้จัก แม้ในอำเภอรอบข้างก็ยังถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร ได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองถึงขั้นให้เขาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเมือง
“พระอาจารย์หนิงเต๋อ ท่านออกพระคัมภีร์ฉบับใหม่อีกแล้วหรือ”
“เช่นนี้ต้องรีบไปแย่งซื้อแล้ว แม่ข้าอยากได้มาหลายครั้งแล้ว…
เมื่อเห็นผู้คนเริ่มพูดคุยกัน ชายคนนั้นจึงกระแอมขึ้น
“พระอาจารย์หนิงเต๋อถูกฆ่าตายแล้วเมื่อวาน” เขาพูดต่อ
คำพูดนั้นสร้างความโกลาหลขึ้นมาในทันใด ผู้คนด้านในต่างแตกตื่น แม้แต่ผู้ดูแลก็ยังรุมล้อมเข้ามาด้วยความตกใจ
“เจ้าละเมอหรือไร!”
“พระอาจารย์หนิงเต๋อจะถูกฆ่าได้อย่างไร!”
บัดนี้ชายผู้นั้นกลับไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนด้านในถกเถียงกันอย่างวุ่นวาย พลันดึงดูดให้คนในห้องออกมาด้วย ผู้คนเบียดเสียดกันในศาลาพักม้าคับแคบจนแทบขยับตัวไม่ได้
เจ้าของศาลาพักม้าเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขากับอีกสี่ห้าคนเขย่งเท้าฟังจากด้านนอกสุด ทันใดนั้นเองก็มีคนเดินมาจากด้านหลังเขา
“ดูอะไรกันหรือ” เสียงของหญิงสาวเอ่ยขึ้น
เจ้าของศาลาพักม้าหันหน้าไปเห็นสาวน้อยทรงเสน่ห์ จึงเผยยิ้มกว้างในทันใด
“แม่นางตื่นแล้วหรือ ต้องการอะไรหรือ” เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น
“ข้าจะใช้ห้องครัวเจ้าทำอาหาร” ปั้นฉินเอ่ยขึ้น
“โธ่ อาหารทำเสร็จหมดแล้ว” เจ้าของศาลาพักม้ารีบตอบ
“ไม่ต้อง นายหญิงของข้าไม่กินอาหารที่คนอื่นทำ” ปั้นฉินเอ่ยตอบ
สมแล้วที่เป็นหญิงสาวผู้ร่ำรวยและบอบบาง…
เจ้าของศาลาพักม้าคิดในใจ แต่ใบหน้ายังยิ้มแย้มเหมือนเดิม พร้อมสั่งผู้ดูแลที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้รีบนำทางไป
“คุยกันอะไรกันอยู่หรือ” ปั้นฉินหันกลับมามองแล้วเอ่ยถามขณะกำลังจะเดินออก
“พระอาจารย์หนิงเต๋อตายแล้ว” เจ้าของศาลาพักม้ารีบตอบพลันนึกขึ้นได้ว่านางเป็นคนต่างถิ่น จึงรีบอธิบายว่าพระอาจารย์หนิงเต๋อคือผู้ใด “เห็นว่าถูกคนฆ่า..ตอนที่กำลังหยุดยั้งสุริยุปราคาเมื่อวานนี้…”
ปั้นฉินร้องอ๋อ
“ไม่ได้ถูกคนฆ่าหรอก ถูกตัวแทนพระโพธิสัตว์ฆ่าต่างหาก” คนด้านหน้ารีบหันกลับมาพูดแก้ “พระอาจารย์หนิงเต๋อไม่ใช่พระอาจารย์หรอก แต่เป็นปีศาจ…”
เจ้าของศาลาพักม้าได้ยินแล้วพลันรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ไปได้แล้ว พูดอะไรไร้สาระ” เขาเอ่ยขึ้นพลันโบกมือไล่ คำพูดเหลวไหลเช่นนี้พูดออกมาก็ขายหน้า
“ไร้สาระตรงไหน พระอาจารย์หนิงเต๋อบอกจะขอพรป้องกันสุริยุปราคาเมื่อวานนี้ แต่ตัวแทนพระโพธิสัตว์บอกว่าเขานั่นแหละเป็นคนทำให้เกิดสุริยุปราคา ดังนั้นจึงฆ่าเขาทันที” คนนั้นพูดอย่างไม่ยอมแพ้
เรื่องสุริยุปราคาเมื่อวานนี้เจ้าของศาลาพักม้าเองก็ได้รับหนังสือแจ้งจากทางการและเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ทั้งยังรู้ข่าวที่พระอาจารย์หนิงเต๋อจะช่วยป้องกัน เมื่อวานพอไม่เกิดสุริยุปราคาขึ้น เขาจึงนึกว่าเป็นเพราะพระอาจารย์หนิงเต๋อช่วยป้องกันไว้สำเร็จ
แต่เขากลับถูกฆ่าแถมยังมีคนบอกว่าเขาเป็นปีศาจอีก
“ถูกฆ่าได้อย่างไรกัน” เขาอดไม่ได้ รีบเอ่ยถาม
“จะอย่างไรได้อีก พระโพธิสัตว์ลงมากำจัดปีศาจบนโลกมนุษย์น่ะสิ” คนผู้นั้นเอ่ยตอบ
เจ้าของศาลาพักม้าส่งเสียงถุย เรื่องไร้สาระเช่นนี้มีไว้หลอกหญิงสาวและเด็กเท่านั้น
เขายังไม่ทันได้ถามต่อ ก็มีเสียงผู้หญิงหัวเราะขึ้นจากด้านหลัง
เขาหันหน้าไปมอง ก็พบว่าสาวน้อยผู้นั้นกำลังจะเดินตามผู้ดูแลแต่กลับหยุดฝีเท้าลง
“ผู้ใดใช้ให้พวกเขาขวางทางกันเล่า” สาวน้อยเอ่ย แล้วฉีกยิ้มหันหลังเดินจากไป
ขวางทางหรือ พูดถึงผู้ใดกัน
ทุกคนต่างงุนงงแต่ก็ถามอะไรไม่ทันแล้ว จึงพากันหันกลับมาฟังเสียงตะโกนเล่าเรื่องด้านในต่อ
วุ่นวายกันอยู่นาน แถมตอนคนจากผานเจียงมาร่วมถกเถียงด้วย บรรยากาศก็ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ ยิ่งเล่ายิ่งละเอียด ยิ่งเล่ายิ่งดูไม่เหมือนเรื่องจริงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อใต้เท้าหันพาคนของเขาเดินทางมาถึง ก็เริ่มมีคนพูดยืนยันว่าตอนนั้นเขาเห็นพระโพธิสัตว์ปรากฏตัว
“…พวกเจ้าไม่รู้หรอก หลังจากฟันคอสังหารภิกษุปีศาจรูปนั้นแล้ว ตอนแม่นางนั่งดื่มชา ด้านหลังนางมีเงาพระโพธิสัตว์สะท้อนออกมาด้วย…”
“ช้าก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแม่นางอีกแล้ว ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวแทนพระโพธิสัตว์หรือ”
“พระโพธิสัตว์มีร่างจำแลงถึงสามสิบสองร่าง ตัวแทนของท่านจะแปลงกายเป็นแม่นางมิได้หรือ”
“…อย่าขัดจังหวะสิ ดื่มชาแล้วอย่างไร”
“…นั่นไม่ใช่ชาหรอก แต่เป็นน้ำทิพย์จากแจกันหยกของพระโพธิสัตว์ นางใช้น้ำทิพย์นี้ป้องกันไม่ให้เกิดสุริยุปราคาขึ้น”
ใต้เท้าหันทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาขมวดคิ้วส่ายหัว ข้าหลวงข้างกายเดินไปไล่ผู้คนด้านหน้า ทุกคนถึงได้รู้ว่ามีขุนนางจากราชสำนักเดินทางมา เจ้าของศาลาพักม้ารู้จักใต้เท้าหันดีกว่าผู้ใดจึงรีบเข้ามาต้อนรับ
เมื่อได้ยินเจ้าของศาลาพักม้าเอ่ยเรียกใต้เท้าหัน ฝูงชนที่กำลังจะแยกย้ายก็กลับมาตาลุกวาวอีกครั้ง
ท่านเจ้าอำเภอ! ท่านต้องรู้ความจริงมากที่สุดเป็นแน่ จึงมีคนรีบตะโกนถามเขาอย่างอดไม่ได้ ใต้เท้าหันรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ยังดีที่มีข้าหลวงคอยคุ้มกันยามเดินตามเจ้าของศาลาพักม้าเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้ามาด้านใน ใต้เท้าหันก็ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นฝูงชนไม่ยอมแยกย้าย แต่กลับกล้าเอ่ยปากถามเหล่าข้าหลวง
คราวนี้อำเภอผานเจียงคงโด่งดังเสียแล้วสิ
“ใต้เท้า ท่านมาหาผู้ใดหรือ” เจ้าของศาลาพักม้าเอ่ยถามด้วยความเคารพ
ใต้เท้าหันหมุนตัวกลับมา
“เข้าพักเมื่อคืน ผู้หญิง สำเนียงเจียงหนาน แต่ผู้ติดตามสำเนียงเมืองหลวง คาดว่าน่าจะกำลังเดินทางไปเมืองหลวง” เขาเอ่ยตอบ “เป็นหญิงสาว…งาม…งามมาก”
เจ้าของศาลาพักม้าหัวเราะขึ้น เพียงประโยคนี้ก็รู้แล้วว่าตามหาผู้ใด
“มีขอรับ มาถึงกลางดึกเมื่อคืน” เขาเอ่ยพร้อมรีบนำทางไป “พักที่ห้องด้านบนนี่เองขอรับ”
ทว่าใต้เท้าหันกลับไม่เดินตาม
“ข้าไปเองดีกว่า” เขาเอ่ย
เจ้าของศาลาพักม้าหยุดเดิน รู้สึกกระอักกระอ่วน
สงสัยนางคงเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ เขาจึงพยักหน้าตอบรับ
ใต้เท้าหันกำลังจะก้าวเท้าเดิน เจ้าของศาลาพักม้าถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ใต้เท้า พระอาจารย์หนิงเต๋อถูกคนฆ่าแล้วจริงหรือ” เขาถาม
ใต้เท้าหันหันไปมองหน้าเขา แล้วตอบว่าใช่
“ถูกผู้ใดฆ่าหรือ เพราะอะไร แล้วสุดท้ายจบลงอย่างไร” เจ้าของศาลาพักม้ารีบถามรวดเดียว
ใต้เท้าหันส่ายหัว อยากจะหัวเราะ
“มีตาหามีแววไม่ ประโยคนี้พูดได้ถูกต้องเสียจริง” เขาเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ เจ้าของศาลาพักม้าฟังไม่เข้าใจ เขารอให้ใต้เท้าหันอธิบายต่อ แต่ใต้เท้าหันกลับก้าวเท้าเดินจากไป
เนื่องจากคนพากันไปเบียดกันที่ด้านหน้าหมดแล้ว ภายในจึงเงียบสงบยิ่งนัก ใต้เท้าหันพาคนเดินเข้าไปพลันถูกผู้ติดตามที่ยืนอยู่ริมทางเดินขวางไว้
“ท่านคือใต้เท้าหัน เจ้าอำเภอผานเจียง” ข้าหลวงรีบเอ่ยขึ้น หากเป็นปกติ ใต้เท้าหันถูกคนขวางเช่นนี้ พวกเขาคงไม่เกรงใจ แต่บัดนี้พวกเขาเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้จึงต้องไว้หน้าอย่างไม่มีทางเลือก
เขาเป็นถึงคนที่เพียงเอ่ยประโยคเดียวก็ฆ่าพระอาจารย์หนิงเต๋อตอนกลางวันแสกๆ ได้เลย
ต้องมีความกล้าขนาดไหนถึงทำเช่นนั้นได้ ฆ่าคนยังไม่เท่าไหร่ แต่การฆ่าต่อหน้าฝูงชน แถมฝูงชนนั้นยังเป็นคนที่ศรัทธาในตัวเขา แถมเขายังได้ชื่อว่ากำลังป้องกันไม่ให้เกิดสุริยุปราคาขึ้นอีกด้วย เพียงแค่หนึ่งในสามอย่างนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนไม่กล้าทำอะไรเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งสามอย่างนี้มีครบ
เหล่าข้าหลวงเองก็เริ่มเชื่อคำพูดของฝูงชน ต้องเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดเป็นแน่ ถึงได้ฆ่าปีศาจอย่างรวดเร็วว่องไวเช่นนี้
ประตูเปิดออก สาวใช้ยกถาดอาหารออกมา แล้วหันมาคำนับใต้เท้าหัน
พอก้าวเข้าด้านใน ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคำนับเขาอยู่
“แม่นาง” ใต้เท้าหันคำนับกลับ ก่อนจะนั่งลงมองใบหน้าหญิงสาวอย่างเต็มตา
ตอนนั้นเขามองจากบนกำแพงเมือง เพราะระยะไกลจึงเห็นได้ไม่ชัด เห็นเพียงทรวดทรงเรือนร่าง ประกอบกับคำบอกเล่าจากข้าหลวงที่บอกว่าเป็นหญิงงาม เมื่อได้เห็นในระยะใกล้เช่นนี้ ก็พบว่าสวยสมคำล่ำลือ
หญิงงามเช่นนี้ ยิ้มแย้มอยู่ดีๆ ก็หันไปตัดคอคนอื่นได้ แถมยังนั่งดื่มชาข้างศีรษะที่เต็มไปด้วยเลือดได้ อย่างเหลือเชื่อ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่มีทางเชื่อแน่…
“พูดไปก็น่าละอาย” ใต้เท้าหันถอนหายใจเอ่ยขึ้น “เรื่องอื่นไม่ต้องพูดอะไร วันนี้ข้ามาเพื่อขอบคุณแม่นางที่ช่วยพวกข้าตัดต้นตอปัญหา”
เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นคำนับ
หญิงสาวคำนับกลับ สายตาหยุดลงสังเกตุที่ใบหน้าของใต้เท้าหันครู่หนึ่ง
ใต้เท้าหันรู้สึกงุนงง ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่ดูก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะรู้มารยาท…แต่เหตุใดกลับเสียมารยาทมองหน้าผู้อื่นเช่นนี้
“ใต้เท้าสกุลหันอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยปากถาม “เป็นคนที่ไหนกัน”
ใต้เท้าหันตกตะลึง แต่ก็ยังเอ่ยตอบ
“คนกุ้ยโจว” เขาตอบ
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ สาวน้อยที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูก็ร้องขึ้น
“กุ้ยโจว! ตระกูลหัน!” นางเอ่ย
รู้จักอย่างนั้นหรือ ใต้เท้าหันสีหน้าตกใจ
“แม่นางมีญาติที่กุ้ยโจวหรือ” เขาลองถามดู
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะพลางส่ายหัว
“ใต้เท้า ไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก ภิกษุผู้นั่นขวางทางข้าไม่ยอมเปิดทางให้ แถมยังข่มขู่ข้าอีก ข้ามิได้ทำเพื่อใต้เท้าหรือผู้ใดผู้อื่น ไม่กล้ารับคำขอบคุณจากท่านหรอก” พูดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะเบาๆ “อีกอย่าง หากข้าไม่ทำให้เขาหุบปากก่อน ก็คงมีเรื่องยุ่งยากกว่านี้ตามมา ข้าแค่ไม่ชอบความยุ่งยากเท่านั้นเอง”
นางเลี่ยงตอบคำถามที่เขาถาม แต่กลับไปตอบเรื่องที่คุยกันตอนแรก
ทำให้เขาหุบปากก่อน ไม่ชอบความยุ่งยากเท่านั้นเอง…
ถูกต้องแล้ว ภิกษุชราผู้นั้นรู้ดีว่าเมื่อวานจะไม่เกิดสุริยุปราคาขึ้น คำพูดที่หญิงสาวพูดกับฝูงชน ภิกษุชราผู้นั้นก็พูดได้ เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสนั้นเท่านั้นเอง
หากตอนนั้นแม่นางไม่ตัดคอฆ่าพระอาจารย์หนิงเต๋อในทันใดแล้วปล่อยให้เขาพูดต่ออีกหน่อย วันนี้แม่นางอาจจะถูกขังอยู่ในอำเภอผานเจียงอยู่ก็เป็นได้
มีแผนการ มีความกล้า แถมยังว่องไว ต้องไม่ใช่คนจากตระกูลธรรมดาเป็นแน่
ใต้เท้าหันพยักหน้า
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณแม่นาง” เขาเอ่ยพลางคำนับ “เมื่อคืนเราสอบปากคำกันทั้งคืน ได้รู้เรื่องเลวร้ายจากปากภิกษุพวกนั้นมากมาย ช่างน่าละอายนัก ขุนนางอย่างข้าทำผิดต่อประชาชน ครั้งนี้ข้าต้องขุดรากถอนโคนพวกภิกษุปีศาจพวกนี้ทิ้งให้หมดเพื่อกำจัดปัญหา”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางครุ่นคิด
“ใต้เท้ามาเพื่อขอบคุณเท่านั้นหรือ” นางเอ่ยถาม
ใต้เท้าหันตกใจกับคำถาม รีบหัวเราะกลบเกลื่อน
แม่นางผู้นี้ฉลาดเสียจริง
ถึงแม้ทีแรกเขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอบคุณเท่านั้น แต่บัดนี้เขาตัดสินใจในทันใดว่าจะมาเพื่อขอบคุณเท่านั้นพอ
“ถูกต้องแล้ว มาเพื่อขอบคุณเท่านั้น และเพื่อขอโทษที่ทำให้แม่นางต้องตกใจในเขตผานเจียงข้องขา” เขาเอ่ยตอบ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางหัวเราะ
“สมแล้วที่เป็นคนสกุลหัน” นางเอ่ย
สมแล้วที่เป็นคนสกุลหันอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร
ใต้เท้าหันรู้สึกงุนงง แต่ยังไม่ทันได้ถาม เฉิงเจียวเหนียงก็พูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะให้โอกาสใต้เท้า” นางกล่าวต่อ
โอกาสอย่างนั้นหรือ
ใต้เท้าหันงุนงงยิ่งกว่าเดิม
“ปั้นฉิน ไปเอาพู่กันกับหมึกมา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินตอบรับ
ใต้เท้าหันสีหน้าตกตะลึง
ปั้นฉินหรือ
ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน... แต่กลับนึกไม่ออก
ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย เฉิงเจียวเหนียงก็ยกพู่กันขึ้นเขียนประโยคหนึ่งแล้วรอให้หมึกแห้ง
“หากใต้เท้าใช้โอกาสนี้ให้ดี จะสามารถแก้ปัญหาภิกษุปีศาจได้ตลอดไปเป็นแน่” นางเอ่ยพลางยื่นกระดาษให้
ใต้เท้าหันรับกระดาษแผ่นนั้นด้วยความสงสัย ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันตกใจราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
จริงหรือ