พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 414 กล้าทำ (1)
ใต้เท้าหันกลับมาถึงศาลาว่าการของอำเภอยามฟ้ามืด ทว่าหน้าประตูยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง
พอเห็นเขากลับมา ทุกคนก็รีบเข้าไปรับ
“ใต้เท้า จับแม่นางน้อยผู้นั้นได้หรือไม่” พวกเขาถาม
นายใหญ่หันสีหน้ากระอักกระอ่วน
“หาเจอแล้ว…” เขาตอบ ก่อนจะเบี่ยงประเด็นด้วยการถามว่าเรื่องที่ให้ไปจัดการเป็นอย่างไรบ้าง
“จับภิกษุพวกนั้นได้หมดแล้วขอรับ… เป็นพวกอันธพาลที่เคยสมคบคิดกับภิกษุหนิงเต๋อหาจังหวะก่อเรื่องขอรับ…” ผู้ช่วยตอบ
นั่นแหละปัญหา
เจ้าอำเภอหันพยักหน้า
“ตอนนี้มีเวลาไม่มากนัก เกรงว่าปล่อนนานวันเข้าชาวเมืองจะอยู่ไม่เป็นสุข” ขุนนางผู้น้อยอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แม่นางน้อยผู้นั้นก็วางมือเสียดื้อๆ แต่แผงขายของที่พังเสียหายนี่สิ เก็บกวาดยากนัก…”
“คนพวกนั้นยืนยันว่าเป็นวิชาแต่เก่าก่อนของพระอาจารย์หนิงเต๋อ แต่ถูกแม่นางน้อยผู้นั้นแย่งชิงไป”
ทั้งศาลาว่าการพากันถกเถียง
นายใหญ่หันยกแขนขึ้นมาลูบแขนเสื้อไปมาอย่างไม่รู้ตัว
“ลำบากทุกท่านแท้ นี่ก็มืดค่ำแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถิด ไว้พรุ่งนี้เราค่อยว่ากันอีกที” เขาเอ่ย
ทุกคนพยักหน้าก่อนจะเก็บข้าวของแล้วเดินออกไป
“ใต้เท้า ตกลงท่านจับแม่นางน้อยผู้นั้นกลับมาได้หรือไม่” ผู้ช่วยที่ยืนอยู่หน้าสุดรอให้ทุกคนออกไปก่อนจึงเอ่ยถามขึ้น
ใต้เท้าหันถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“เรื่องของเราเองแท้ๆ เหตุใดถึงเดือดร้อนผู้อื่นเช่นนี้” เขาเอ่ย
“ใต้เท้า แต่นางเป็นคนฆ่าหนิงเต๋อนะขอรับ” ผู้ช่วยเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะเชิญ… แม่นางผู้มาถึง ทั้งยังฆ่าคน ก่อนจะจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
อันที่จริงแล้วทางออกที่ง่ายที่สุดของเรื่องนี้ก็คือโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับแม่นางน้อยผู้นั้น เช่นนั้นแล้วขุนนางอย่างพวกเขาก็ไม่ต้องออกหน้าจัดการ หลับหูหลับตาเสีย จากนั้นก็รอจังหวะให้เรื่องซาแล้วค่อยชักจูงชาวเมือง เช่นนี้แล้วพวกเขาก็ไม่ต้องจัดการเรื่องทั้งหมดเอง
ใต้เท้าหันส่ายหัว ก่อนจะยื่นมือออกมาคลำแขนเสื้ออีกครั้ง
ใช่แล้ว เดิมทีตกลงกันไว้เช่นนั้น แต่พอได้เจอกับแม่นางผู้นั้นแล้ว เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าหากทำเช่นนั้นคงไม่ดีแน่
“ในเมื่อพวกเราตัดสินกันแล้วว่าเหตุร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นนั้นเพราะภิกษุปีศาจ เช่นนั้นแล้วที่แม่นางผู้นั้นฆ่าคนก็เท่ากับขับไล่ภูตผี ไม่จำเป็นต้องรับโทษ ข้าสอบสวนและให้นางลงนามรับรองแล้ว เท่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว” ใต้เท้าหันเอ่ย
“ใต้เท้า เช่นนั้นก็กลายเป็นว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องน่ะสิ!” ผู้ช่วยเอ่ยอย่างร้อนใจ
“ที่พวกเราเกี่ยวข้องด้วยก็ถูกต้องแล้ว เดิมที่ก็เป็นเพราะกวดขันไม่เข้มงวด ถึงได้เกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้น หากบอกว่าแม่นางผู้นั้นฆ่าคน เช่นนั้นคนที่ส่งมีดให้ก็คือข้าเอง” ใต้เท้าหันเอ่ย “เรื่องนี้อย่าให้พัวพันถึงผู้ใดเลย ให้ข้าจัดการเองเถิด อย่างน้อยแม่นางน้อยผู้นั้นก็ฆ่าหนิงเต๋อแล้ว ก็เท่ากับกำจัดปัญหาใหญ่ไปได้แล้ว”
ใต้เท้าหันดีทุกอย่าง ทั้งที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นแท้ๆ แต่กลับมุทะลุเหมือนขุนนางฝ่ายบู๊
ผู้ช่วยส่ายหน้า
“ขอรับ” เขาคำนับแล้วขอตัวลา
ทว่าพอก้าวออกประตูมาก็คิดอะไรขึ้นได้บางอย่างจึงหยุดเดิน ก็เห็นว่าใต้เท้าหันยื่นมือออกมาคลำแขนเสื้ออย่างที่คิดไว้จริงๆ
แปลกนัก มีอะไรอยู่ข้างในกัน
ผู้ช่วยขมวดคิ้วสงสัยแล้วเดินออกไป
ใต้เท้าหันแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน จนฟางสางกว่าเขาจะล้มตัวลงนอน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงรายงานจากข้างนอกว่ามีคนมาเยือนถึงเรือน
“ข้ารู้ข่าวแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้ รู้กันทั่วทั้งซู่โจวแล้วละ” ฮูหยินหันเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น พลางยกมือตบเบาๆ ที่อก “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“เขาว่าอย่างไรกันบ้างละ” ใต้เท้าหันไม่ตอบแต่ถามกลับ
“ว่าอย่างไรก็มีทั้งนั้น มีคนบอกว่าพวกท่านเป็นคนทำ ทั้งยังบอกว่าทำเพื่อผลประโยชน์” ฮูหยินหันเอ่ย
“เหลวไหลจริงเชียว” ใต้เท้าหันสะบัดแขนเสื้อพลางเอ่ย
“ข้ารู้ดีว่าเหลวไหล เพียงแต่นายใหญ่…” ฮูหยินหันเหลียวกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น “สามคนกลายเป็นเสือ ข่าวลือพูดกันมากเข้าก็กลายเป็นเรื่องจริงได้นะเจ้าคะ”
ประเดี๋ยวก็คงจะถามว่าจับคนฆ่าได้แล้วหรือยังสินะ
ใต้เท้าหันคลำชายเสื้อ ไม่อยากตอบคำถามนี้
“เจ้าวางใจเถิด ข้ามีวิธีรับมือ” เขาเอ่ย
“รับมืออย่างไรเจ้าคะ” ทว่าฮูหยินกลับไม่วางใจทั้งยังถามต่อ
ใต้เท้าหันไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงเบี่ยงประเด็นถามถึงคนอื่นในตระกูล
“หยวนเฉาไปเยี่ยมบ้านพ่อตา” ฮูหยินหันเอ่ย “ปีหน้าก็จะเข้าเมืองหลวงไปสอบใหญ่อีกแล้ว ต้องกำชับเขาเสียหน่อย ข้ากลัวว่าหยวนเฉาจะถอนหมั้นเอากลางคันนี่สิ เหตุใดถึงไม่ตบแต่งให้เสร็จเสีย เหตุใดต้องทอดเวลาออกไป”
“เขาคงหวังดีกับหยวนเฉา คู่รักแต่งงานใหม่ จะมีกระจิตกระใจที่ไหนไปอ่านหนังสือสอบ” ใต้เท้าหันเอ่ย “นั่นก็แปลว่าพวกเขามั่นใจในตัวหยวนเฉา แม้จะสอบติดก็ไม่คิดถอนหมั้นแน่นอน”
“หยวนเฉาของเราช่างดีนัก” ฮูหยินหันเอ่ย “เงินปันผลครึ่งปีจากเมืองหลวงก็ส่งมาอีกแล้ว ทั้งยังส่งข่าวมาบอกว่าแม่นางปั้นฉินได้เตรียมที่พักไว้ให้แล้ว หากหยวนเฉาเข้าเมืองหลวงไปเตรียมสอบก็พักที่นั่นได้เลย…”
“ปั้นฉิน!” ใต้เท้าหันตะโกนขึ้นในทันใด ขัดจังหวะฮูหยินหันที่กำลังพูดอยู่
ฮูหยินหันตกใจสะดุ้งตัวโยน
“ที่แท้เป็นปั้นฉินนี่เอง” ใต้เท้าหันเดินวนไปมา สีหน้าดูตื่นเต้น ก่อนหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ “หรือว่าจะเป็นคนเดียวกัน ใช่แล้ว ใช่แล้ว เป็นไปได้ มาจากตระกูลใหญ่ ทั้งยังอยู่ที่เมืองหลวง…”
ฮูหยินหันมึนงงกับคำรำพึงรำพันของเขา นางรีบเอื้อมมือไปคว้าตัวเขาไว้แล้วเอ่ยถาม ใต้เท้าหันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องราวให้นางฟัง ฮูหยินหันได้ยินก็ตกใจไม่น้อย
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่านายใหญ่ ก็แค่ชื่อซ้ำกันกระมัง” นางเอ่ย
“ก็เป็นไปได้” ใต้เท้าหันเอ่ย “แต่เจ้ารู้หรือไม่ แม่นางผู้นั้นหันมามองข้า ประโยคแรกที่นางพูดกับข้าคือ ใต้เท้าแซ่หันหรือ ต้นตระกูลมาจากที่ใด”
ไม่มีผู้ใดถามคำถามเช่นนี้โดยไม่มีสาเหตุ ที่ถามก็เพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง
ฮูหยินหันชะงักไป
“พอข้าบอกว่าซู่โจว สาวใช้ที่ชื่อปั้นก็ร้องเสียงหลงออกมา” ใต้เท้าหันพูดต่อ พลางมองฮูหยินหันแล้วพยักหน้า
“เป็นไปไม่ได้” ฮูหยินหันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ได้แต่พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา
ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ สิ่งที่แม่นางผู้นั้นให้ข้ามาก็คงไม่ใช่ของที่ทำขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วละ เช่นนั้นข้าคงต้องลองดู” ใต้เท้าหันเอ่ย ยกมือขึ้นคลำชายเสื้อราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบ้างอย่าง
“ลองอะไรหรือเจ้าคะ” ฮูหยินหันถาม
ใต้เท้าหันไม่ตอบ ก่อนจะหยิบกระดาษที่ถูกพับเป็นสี่เหลี่ยมออกมาจากแขนเสื้อ
“ข้ารู้ว่าสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเมื่อใด” เขาเอ่ยเสียงเนิบ
“ใต้เท้า! ท่านพูดอะไรของท่าน!”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในศาลาว่าการต่างตกใจสะดุ้งจนนั่งหลังเหยียดตรง ก่อนจะพากันหันไปมองที่ใต้เท้าหันที่กำลังนั่งลง
“ใช่แล้ว ข้าบอกว่าข้ารู้ว่าสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเมื่อใด” ใต้เท้าหันเอ่ยใบหน้านิ่งเรียบ “นี่เป็นโอกาสของพวกเรา ใช้โอกาสนี้โน้มน้าวชาวเมืองให้เชื่อมั่นในทางการอย่างพวกเรา ทั้งยังปัดเป่าเภทภัยจากภิกษุปีศาจนั่นได้ด้วย”
“ใต้เท้าคำนวณปฏิทินเป็นด้วยหรือ” ผู้ช่วยถาม
“ข้าดูเป็นแค่ปฏิทินโหราศาสาตร์ ส่วนเรื่องดูคำนวณปฏิทินนั้น ข้าไม่คำนวณได้เป็นหรอก” ใต้เท้ากันส่ายหน้า พลางหยิบกระดาษยื่นให้ “แต่มีคนบอกข้ามาน่ะ”
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว คนทั้งศาลาว่าการจึงพากันตกตะลึง
“ใต้เท้า หมายถึงแม่นางผู้นั้นหรือ” ผู้ช่วยถาม สายตามองไปที่ปลายแขนเสื้อของใต้เท้าหันอย่างอดไม่ได้
หลังจากที่เขากลับมาเมื่อวาน ของที่อยู่ในแขนเสื้อก็คือสิ่งนี้หรือ
แม่นางผู้นั้นใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับการไม่ต้องยอมรับผิดอย่างนั้นหรือ
ใต้เท้าหันพยักหน้า
“ใช่ นางเป็นคนบอกข้าเอง” เขาเอ่ย “นางบอกว่า ให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง”
หากเป็นเช่นนั้นจริง หากทำสำเร็จก็นับว่าเป็นโอกาสดีจริงๆ
แต่ว่าใต้เท้าหลอกง่ายเกินไปหน่อยกระมัง…
คนที่อยู่ ณ นั้นพากันถกเถียงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“หากไม่เป็นไปตามนั้นเล่า” ผู้ช่วยเอ่ยถามสีหน้าเคร่งขรึม
ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขัน ทั้งยังเป็นไปว่าจะกลายเป็นจอมลวงโลกเหมือนภิกษุหนิงเต๋อผู้นั้น
เสี่ยงเกินไป
‘ใต้เท้ามาเพื่อขอบคุณเท่านั้นหรือ’
‘สมแล้วที่เป็นคนตระกูลหัน’
‘ถ้าอย่างนั้น ข้าจะให้โอกาสใต้เท้า’
นางไม่มีทางทำร้ายเขา! นางไม่มีทางหลอกเขาแน่นอน!
ใต้เท้าหันสูดหายใจลึกแล้วเงยหน้าขึ้น
“ต้องเป็นไปตามนี้แน่นอน” เขาเอ่ย “ประกาศให้ชาวเมืองรู้ ให้ทั้งเมืองเตรียมพิธีปัดเป่า”
คนทั้งศาลาว่าการหันไปมองเขา สีหน้าครุ่นคิดสองจิตสองใจ
“ใต้เท้า ใต้เท้าโปรดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิด” ผู้ช่วยกล่าว
“ใช่แล้ว ใต้เท้า อันที่จริงหากไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรไปนี่” ขุนนางอีกคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง ท้องที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีก แต่หากตอนนี้เขาตัดสินใจจะลงมือทำแล้ว หากไม่เกิดสุริยุปราคา เขาก็จะกลายเป็นตัวตลก หนทางราชการเขาของก็ต้องดับสูญ
หากเป็นแต่ก่อนเขาคงลังเล พอคิดได้ดังนั้น ใต้เท้าหันกลับยิ้มออกมา
“เพื่อแผ่นดินข้ายอมสละชีพ” เขาเอ่ยพลางเขย่ากระดาษในมือ “เอาล่ะ เรื่องนี้เป็นอันว่าตกลงตามนี้ ให้ประกาศในนามของข้า ให้ทั้งเมืองเตรียมพิธีปัดเป่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง”
ยามท้องฟ้าเริ่มทอแสง ประตูของศาลาว่าการประจำอำเภอถูกเปิดออก ข้าหลวงสองสามคนเดินออกมาพร้อมกับกระดาษใบหนึ่งในมือ
“พวกเจ้าไปทางนั้น พวกข้าจะไปทางนี้เอง” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยพลางชี้นิ้ว
ทุกคนขานรับก่อนจะแยกย้ายกันออกไป
“ประกาศอะไรหรือ”
“คำประณามพระอาจารย์หนิงเต๋ออีกแล้วหรือ”
“ไม่รู้ว่าคราวนี้จะปั้นน้ำเป็นตัวอะไรมาหลอกกันอีก!”
ผู้คนจากทั่วสารทิศพากันถกเถียงพลางเดินตามกันมา มองเหล่าข้าหลวงติดประกาศอยู่ริมถนนทีละแผ่น
“รีบอ่านเร็ว เขียนว่าอะไร”
ไม่นานคนที่รู้หนังสือก็ถูกดันเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะอ่านออกเสียงทีละตัวอยู่หน้าประกาศ
จากการคำนวณวันที่หนึ่งเดือนเจ็ดปีหลินเต๋อ ยามเที่ยงวันสิบหน้านาทีจะเกิดสุริยุปราคา พร้อมจัดพิธีปัดเป่าทั่วทุกท้องที่
พออ่านจบก็โกลาหลกันขึ้นมาในทันใด
“สุริยุปราคาอีกแล้วหรือ ไม่ใช่ว่าผ่านไปแล้วหรอกหรือ”
“พระอาจารย์หนิงเต๋อทำนายไม่ถูกอย่างนั้นหรือ”
“ทางการทำอะไรอีก ผู้ใดบอกกัน”
“คำพูดของทางการจะเชื่อได้สักแค่ไหนกันเชียว”
เสียงตะโกนโหวกเหวกไปทั่วเมืองพร้อมกับประกาศที่ถูกติดไว้
“หันเหวินจง!”
ขุนนางในศาลาว่าการอำเภอผานเจียงยกมือโค้งคำนับ แม้จะไม่เงยหน้าก็สัมผัสได้ถึงความเดือดดาลของผู้บังคับบัญชาที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าไม่ยักกะรู้ว่าเจ้ากลายเป็นใต้เท้าสำนักโหรหลวงไปแล้ว ข้าน้อยล่วงเกินท่านแล้วสินะ”
ขุนนางผู้นั้นโกรธจนหน้าเขียว เขากัดฟันเอ่ย ทว่ากลับยกมือขึ้นมาทำนับ
ใต้เท้าหันรีบโค้งคำนับ
“ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยมิบังอาจ” เขาเอ่ยซ้ำไม่หยุด “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย”
“หาว่าข้าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ ข้าน่ะหรือที่ล้อเล่น เจ้าต่างหาก ล้อเล่นอะไรของเจ้า!” ขุนนางผู้นั้นตวาดลั่น มือข้างหนึ่งสะบัดประกาศให้คลี่ออกจนเกิดเสียง “เดือนเจ็ดวันที่หนึ่ง ยามเที่ยงวันสิบห้านาทีจะเกิดสุริยุปราคา เรื่องนี้ข้าหรือเจ้าเป็นคนพูดกัน”