พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 414 กล้าทำ (2)
“ใต้เท้า นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จากการคำนวณแล้วจะเกิดสุริยุปราคาในวันนั้นจริงๆ ขอรับ” ใต้เท้าหันเอ่ย
พอเขาพูดจบ ขุนนางผู้นั้นก็เขวี้ยงประกาศใส่เขา
“หากไม่เกิดขึ้นเล่า” ขุนนางตวาดลั่น “พวกเจ้าไม่ตามจับคนร้าย ไม่ปลอบขวัญชาวเมือง แต่กลับหาตัวแทนอย่างนั้นหรือ หันเหวินจง พระอาจารย์หนิงเต๋อตายแล้ว เจ้าคิดจะเป็นตัวแทนของพระอาจารย์อย่างนั้นหรือ”
“ใต้เท้า ข้าน้อยมิบังอาจ แล้วจะไม่ใช้อวิชชามอมเมาชาวเมืองอย่างแน่นอน สิ่งนี้มาจากการคำนวณ ไม่ใช่คำทำนายของพระโพธิสัตว์องค์ใด ข้าน้อยจำคำชี้แนะของท่านได้ขึ้นใจ ย่อมไม่มีทางเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ใต้เท้าหันเอ่ย “ข้าน้อยจะใช้โอกาสนี้ให้ชาวเมืองได้กระจ่างแจ้ง จะได้ไม่ถูกภิกษุปีศาจนั่นครอบงำอีก”
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าจะสุริยุปราคาหรือดินฟ้าอากาศล้วนแต่มีวิธีคำนวณคาดคะเน หาใช่เรื่องแปลกใหม่ หลากเข้าใจในหลักการก็ย่อมไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
เพียงแต่ หากเทียบกลับการคำนวณปฏิทินแล้ว ใต้เท้าเจ้าเมืองสนใจเรื่องตรงหน้ามากกว่า
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า พระอาจารย์หนิงเต๋อทำนายว่าจะเกิด แต่สุดท้ายกลับถูกตราหน้าว่าเป็นพระปีศาจ ถูกฆ่าตายต่อหน้าชาวเมือง ยามนี้เจ้าบอกว่าจะเกิดสุริยุปราคาขึ้น แต่หากผลปรากฏว่าไม่เกิด เจ้าจะทำอย่างไร จะยอมถูดตราหน้าว่าเป็นปีศาจแล้วยอมตายเพื่อไถ่โทษอย่างนั้นหรือ” ใต้เท้าเจ้าเมืองถาม
ใต้เท้าหันที่เอาแต่ก้มหน้ารับคำด่าเงยหน้าขึ้นในทันใด
“ได้ขอรับ” เขาเอ่ย
ขุนนางผู้นั้นชะงักไป
“ได้อะไร” เขาถาม
“หากไม่เกิดสุริยุปราคา ข้าจะขอถวายชีวิตไถ่โทษ” ใต้เท้าหันเอ่ย
เมื่อคำพูดนั้นถูกเอ่ยออกไปทุกคนในโถงก็ตกตะลึงในทันที
“ใต้เท้า ใต้เท้า ระวังวาจาด้วย ระวังวาจาด้วย…”
“ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้… มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเกลี้ยกล่อมดังไปทั่วห้อง ขุนนางผู้นั้นโกรธจนหน้าเขียวก่อนจะพยักหน้า
พริบตาเดียวภายในโถงใหญ่ก็เหลือเพียงหันเหวินจง หันเหวินจงจัดแจงเสื้อผ้า ยืนหลังตรงทอดสายตามองออกไปข้างนอก
ระยะนี้อำเภอผานเจียงเริ่มเป็นที่รู้จัก ประการแรกเป็นเพราะพระอาจารย์หนิงเต๋อถูกฆ่าตัดหัวในวันเกิดสุริยุปราคา ประการที่สองเป็นเพราะทางการผานเจียงปล่อยตัวคนร้าย ทั้งยังประณามความชั่วร้ายของพระอาจารย์หนิงเต๋อ ชาวเมืองยังไม่ทันได้จับต้นชนปลายสองเหตุการณ์ ทางการอำเภอผันเจียงก็ป่าวประกาศที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
เจ้าอำเภอหันเหวินจงคำนวณเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคา หากไม่เป็นไปตามนั้นสาบานว่าจะตัดหัวสำเร็จโทษตนเอง ณ ที่นั้น
ยามหันเหวินจงก้าวเข้ามาในเรือน ฮูหยินก็เข้ามารับพร้อมน้ำตา
“นายใหญ่ เหตุใดต้องทำถึงขนาดนั้น! เรื่องนี้หากแค่พูดปากเปล่า หากไม่ตรงตามเวลาที่ท่านว่าไว้ หากมีอันใดผิดพลาดขึ้นมา แม้จะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ก็ยังจะพอมีทางแก้ไข แต่ท่านประกาศเช่นนั้นออกไป พอถึงเวลาจะทำเช่นไรเล่า!” นางเอ่ยสะอื้น
“ท่านพ่อ”
ภายในห้องมีชายหนุ่มอีกคนร้องเอ่ยขึ้น น้ำเสียงนั้นฟังดูตื่นเต้นนัก
“ท่านพ่อคำนวณปฏิทินเป็นตั้งแต่เมื่อใด”
เขามองหันเหวินจงแล้วยิ้มออกมา
“ข้าไม่ได้เป็นผู้คำนวณ มีคนบอกข้าต่างหาก” เขาเอ่ย
“ใช่แล้ว คนผู้นั้น คนผู้นั้นอาจจะเป็นคนจากตระกูลของปั้นฉินที่เจ้ารู้จักจากเมืองหลวง ท่านพ่อของเจ้าถึงได้เชื่อพวกนางอย่างสนิทใจเช่นนี้” ฮูหยินหันนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบปาดน้ำตาหันไปบอกกับลูกชาย
ปั้นฉินอย่างนั้นหรือ
หันหยวนเฉาชะงักไป
ใต้เท้าหันบรรยายรูปร่างหน้าตาของแม่นางที่ได้พบเจอในวันนั้นให้ฟัง
“ท่านพ่อ ข้าไม่เคยพบเจอคนจากตระกูลของปั้นฉิน ถึงท่านบอกมาข้าก็ไม่รู้จักอยู่ดี” หันหยวนเฉายิ้มเจื่อนพลางเอ่ย
“แล้วปั้นฉินผู้นั่นเล่า” ฮูหยินหันรีบพูดต่อ ทั้งยังเร่งเร้าให้ใต้เท้าหันอธิบายลักษณะของนาง
หันเหยาเฉาได้ฟังสีหน้าก็เริ่มยุ่งเหยิงขึ้นมา
“จะว่าไปก็คล้ายอยู่เหมือนกัน ทว่าข้าจำไม่ค่อยได้นัก” เขาเอ่ยก่อนจะหันไปพยักหน้ายิ้มให้แก่ท่านแม่ “อายุและสำเนียงนั้นใช่”
ฮูหยินหันถอนหายใจอย่างโล่งอกในทันใด ก่อนจะยกสองมือขึ้นประนม ใต้เท้าหันเองพยักหน้าแล้วพ่นลมหายใจออกมา
“เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับหยวนเฉาสักหน่อย” เขาเอ่ย
ระยะนี้มีเรื่องให้ฮูหยินหันตกอกตกใจจนเหนื่อยล้าอย่างที่ว่าจริงๆ นางเดินออกไปพร้อมสาวใช้คอยช่วยพยุง
ภายในห้องเหลือเพียงสองพ่อลูก บรรยากาศดูอึมครึมยิ่งนัก
“หยวนเฉา ปั้นฉินผู้นี้ไม่ใช่ปั้นฉินที่เจ้ารู้จักหรือ” ใต้เท้าหันเอ่ยถามก่อน
หันหยวนเฉาก้มหน้า
“ท่านพ่อ ลูกจำได้ไม่แน่ชัดนัก เดิมทีเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่หน... เช่นนั้นแล้ว…” เขาตอบ
ใต้เท้าหันไม่เอ่ยคำใดเอาแต่จ้องมองเขา
ความเงียบเข้าปกคลุม
“ใช่ขอรับ หากเป็นไปตามที่ท่านพ่อว่า ปั้นฉินผู้นั้นไม่ใช่ปั้นฉินที่ข้ารู้จักที่เมืองหลวง” หันหยวนเฉาเงยหน้าตอบ
เช่นนั้นแล้วก็คือคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน และไม่ได้ช่วยเขาเพราะเห็นว่าเป็นคนรู้จัก
เช่นนั้นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้นี้…
สีหน้าของใต้เท้าหันเปลี่ยนไป เช่นนั้นคราวนี้ก็กลายเป็นการเดิมพันกับโชคชะตาแล้วสินะ…
“ท่านพ่อ ท่านผิดหวังหรือไม่” หันหยวนเฉาก้าวเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถาม
ใต้เท้าหันเหลียวไปมองเขาแล้วยิ้มให้
“ความจริงอยู่แห่งหนใด แม้จะต้องควบม้าไกลนับพันลี้ ข้าก็จะไป” เขาเอ่ย
…
แม้จะมีคนโกรธแค้นและไม่เชื่อข่าวลือคำทำนายการเกิดสุริยุปราคา แต่ก็ยังมีผู้คนที่ศรัทธาในเหล่าทวยเทพที่ตั้งตารอให้วันนั้นมาถึง เดือนหกผ่านพ้นไป ไม่นานเดือนเจ็ดก็ย่างกรายเข้ามาใกล้
หน้าประตูเมืองอำเภอผานเจียงผู้คนเนืองแน่น
คราวนี้ไม่มีผู้ใดมาขวางประตูปิดทางเข้าออก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่าน
ดวงอาทิตย์ยามเดือนเจ็ดยังคงร้อนแผดเผาเหมือนเคย เหล่าชาวเมืองที่ยืนรอตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงก็เหงื่อท่วมจนหลังเปียกไปตามๆ กัน
“เช่นนี้จะเกิดสุริยุปราคาได้จริงหรือ”
“เป็นเพราะบารมีอันเหลือล้นของพระอาจารย์หนิงเต๋อ หรือเป็นเพราะคำพูดของทางการนั้นเชื่อถือไม่ได้ วันนี้ก็จะได้รู้กัน”
“หากเกิดสุริยุปราคาขึ้นจริง วันหน้าทางการพูดอะไรของก็จะเชื่อทั้งนั้น”
“หากพวกเขาหลอกลวงพวกเราละก็ จะต้องสำเร็จโทษคนที่สังหารพระอาจารย์หนิงเต๋อนั่น!”
เสียงถกเถียงดังเซ็งแซ่ราวกับเสียงลมพัดผ่านก่อไผ่
หันเหวินจงยืนอยู่กลางประตูเมือง สวมชุดขุนนางเต็มยศ ใบหน้าเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนหรืออย่างไร เหล่าขุนนางและข้าหลวงที่อยู่โดยรอบจึงยืนห่างจากเขานัก หากมองจากไกลๆ ก็ดูเหมือนเขายืนอยู่เดียวดาย
“เกรงว่าถึงตอนนั้นจะกลายเป็นภาระของท่านเจ้าเมืองไปน่ะสิ”
ขุนนางผู้หนึ่งนั่งพูดคุยกับขุนนางอีกคนใต้ร่มเงาบนกำแพงเมือง ก่อนจะชี้นิ้วสั่งให้สาวใช้โบกพัดให้เร็วขึ้น
ขุนนางที่นั่งอยู่แค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะมองดูผู้คนที่อยู่ด้านล่างของกำแพงเมือง
“ความน่าเชื่อถือของทางการถูกทำลายจนป่นปี้ ข้าเองก็ทำสุดกำลังแล้ว ส่วนผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ชาวเมืองจะเชื่อข้าหรือไม่ ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เบื้องบนนั้นพอจะประจบสอพลอได้ แต่ว่าใจคนนั้นไม่อาจหลอกลวงได้”
“ลำบากใต้เท้าแท้ๆ” เหล่าขุนนางเท้าเอวพยักหน้า
“หากไม่ลำบากแล้วจะให้ทำเช่นไร จะยืนมองชาวเมืองเผาศาลาว่าการผานเจียงหรือ แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ใต้เท้าเจ้าเมืองเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เหล่าขุนนางขานรับเห็นพ้อง
“ทำอะไรของเขาอีก” เจ้าเมืองโพล่งขึ้นก่อนจะโน้มตัวเข้าไปมอง
ทุกคนพากันเหลียวมองตาม ก็เห็นหันเหวินจงกำลังสั่งให้ข้าหลวงสองคนปักก้านไม้ไผ่ลงบนพื้นดิน ทันใดนั้นก็ปรากฏเงาขึ้นบนพื้น
“ทุกท่านดูเวลาได้ เที่ยงวันสิบห้านาที หากไม่เป็นไปตามนั้น ข้าจะขอสำเร็จโทษตนเอง” หันเหวินจงเอ่ยเสียงกึกก้อง ชี้นิ้วไปที่ก้านไม้ไผ่
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังระงมขึ้นอีกครั้ง ชาวเมืองกรูกันเข้ามามุงดูเงาของก้านไผ่ เงานั้นค่อยๆ เคลื่อนที่ ราวกับในพริบตาเดียวก็จะถึงเวลาเที่ยงวันสิบห้านาที
“นี่… นี่…” เจ้าเมืองที่อยู่บนกำแพงเมืองโมโหจนหน้าดำหน้าแดงยกมือชี้นิ้วขึ้น
“ใต้เท้าใจเย็นก่อนขอรับ ใต้เท้าใจเย็นก่อนขอรับ” เหล่าคนที่รายล้อมอยู่เข้ามาประคองพลางพัดวีให้
ทว่าเจ้าเมืองผู้นั้นก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ เขาผลักทุกคนออกก่อนจะก้าวไปชิดกำแพงเมือง แล้วชี้นิ้วลงไปด้านล่าง
“ข้าจะใจเย็นได้อย่างไร! หันเหวินจงเจ้ามันรนหาที่ตายแท้ๆ …” เขาตะโกนลั่น
ยังไม่ทันสิ้นเสียง สายลมก็กรรโชกแรงขึ้นมาในบัดดล ชาวเมืองเส้นผมปลิดปลิว ชั่วพริบตาท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้าก็มืดมิดลงในทันใด
“ตะวันดับแล้ว! ตะวันดับแล้ว!”
เสียงตะโกนโห่ร้องดังขึ้นหน้าประตูเมืองราวกับเสียงฟ้าผ่า กลบเสียงของเจ้าเมืองที่กำลังพูดอยู่
ทว่าเจ้าเมืองเองก็คงพูดคำที่เหลือออกมาไม่ได้แล้ว
เขาแหงนหน้ามองฟ้า สีหน้าก็พลันเปลี่ยน ความคิดมากมายในหัวเลือนหายไปพร้อมความมืดมิดที่กลืนกินดวงอาทิตย์
สุริยุปราคา! สุริยุปราคา! เกิดสุริยุปราคาขึ้นจริงๆ !
“เร็วเข้า เร็วเข้า รีบเข้าไปคุ้มกัน!”
เขาตะโกนดังลั่นแล้วรีบคว้ากระบี่ที่เอวของข้าหลวงข้ากายฟาดกับกำแพงเมือง
ผืนฟ้ามืดมิด ทั้งเมืองที่แต่ความโกลาหล เสียงกระดิ่งดังขึ้น
ใต้เท้าหันที่นั่งคุกเข่าอยู่ในศาลาว่าการนอนหมอบร่ำไห้ โขกหัวกับพื้นไม่หยุด
“พระโพธิสัตว์คุ้มครอง พระโพธิสัตว์คุ้มครอง”
บ่าวผู้ติดตามมาจากเรือนที่อยู่ด้านหลังกรีดร้อง พลางวิ่งลนลานไปหยิบกระดิ่งที่เตรียมมาขึ้นมาสั่น
สายตามีเพียงความมืดมิด ข้างหูมีแต่เสียงกระดิ่งและเสียงกรีดร้อง หันหยวนเฉาที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนถูกเบียดเสียดจนร่างโอนเอน สายตามองผ่านเงาคนไปยังเบื้องหน้า มองดูท่านพ่อที่ยืนอกผายไหล่ผึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ขณะเดียวกัน ณ เมืองหลวง พอเห็นว่าจู่ๆ ตะวันก็ดับไป ทั้งเมืองก็โกลาหลขึ้นมา
ท่านชายฉินสิบสามที่ยืนอยู่บนชั้นสองของหอเต๋อเซิ่งเปิดหน้าต่างออก
ชุนหลิงและคนอื่นๆ ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังก็กรีดร้องออกมา
“ประเดี๋ยวขุนนางสำนักโหรหลวงก็คงไปทูลฮ่องเต้ว่า นี่คือผลของการที่พวกเขากราบไหว้บูชาขอพรเหล่าเทพเซียน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ
แม่นางจูที่เดินออกมาจากอีกฝั่งก็หัวเราะเช่นกัน ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้ามันมืดมิด
“พวกเขาคงบอกว่า กิจของสวรรค์ มนุษย์สุดจะหยั่ง ย่อมมีคลาดเคลื่อนได้เป็นธรรมดา แล้วก็จะบอกให้ฮ่องเต้บำเพ็ญเพียร เพื่อทดแทนสวรรค์” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะลั่น ทว่าเสียงหัวเราะก็หยุดลงในทันใด ก่อนจะมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
“สวรรค์…” เขาเอ่ย
ผู้คนต่างแหงนมองฟ้า ทว่าเขากลับก้มหน้าลงมองพื้นดิน แม่นางจูมองตามอย่างสงสัย ก่อนจะตกตะลึงในทันใด
บนถนนอันวุ่นวาย มีแสงจากตะเกียงสี่ดวงส่องสว่าง ซ้ายขวาหน้าหลังล้อมรอบรถม้าสองคันที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ม่านรถเลิกขึ้น แสงตะเกียงส่องให้เห็นดวงหน้าของหญิงสาวที่นั่งอยู่ภายใน แสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดนั้นราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า เปล่งประกายจนแสบตา
ลูกสาวตระกูลใดกัน
“เดินทางตอนกลางวันแต่พกตะเกียงออกมา หรือว่าจะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว” นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
ไม่มีผู้ใดตอบนาง ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ข้างกันหันหลังก้าวฉับออกไปข้างนอกในทันใด
แม่นางจูเหลียวไปมองอย่างสงสัย ก็เห็นว่าท่านชายฉิบสามวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน ประตูห้องถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าตึงตังดังขึ้นบนโถงทางเดิน
แม่นางจูละสายตากลับมาแล้วมองไปยังถนนด้านล่างอีกครั้ง มองดูแสงไฟที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องและความวุ่นวาย
“นั่นคงเป็นนางที่เขาพูดถึงสินะ” นางยิ้มบางพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง