พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 415 พบกันอีกครั้ง
ช่วงเวลามืดมิดยามเกิดสุริยุปราคานั้นไม่นานนัก ท่านชายฉินสิบสามวิ่งผ่านห้องโถงอันวุ่นวายออกไป ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ยามดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้น สายลมก็ค่อยๆ จางหายไป
ผู้คนร้องตะโกนวิ่งพล่านอยู่บนถนนเหมือนเช่นเคย ท่านชายฉินสิบสามมองไปเห็นรถม้าที่แล่นโคลงเคลงท่ามกลางฝูงชน
ปั้นฉินกดกลั้นความกลัวเอาไว้ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อแสงของอาทิตย์ตกกระทบบนร่างอีกครั้ง
“ดับไฟเถิด” นางเอ่ย
สีหน้าของผู้ติดตามที่ถือตะเกียงห้อมล้อมก็ไม่ได้สู้ดีกว่านางเท่าไรนัก
น่าสยดสยองเหลือเกิน! น่าสยดสยองเหลือเกิน!
นายหญิงบอกว่าวันนี้มีสุริยุปราคา นายหญิงบอกว่าจะมืดครู่หนึ่ง นายหญิงบอกว่าหากกลัวก็ให้จุดตะเกียง
แม้คำพูดของนางจะแม่นยำเสมอ และทุกครั้งเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องของสวรรค์ รู้เรื่องดินฟ้าอากาศนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่แต่รู้ว่าเทียนโก่วจะมากลืนกินดวงอาทิตย์นี่สิ…
ทุกคนยังคงกังวลอยู่ ทางการประกาศว่าปรากฎการณ์สุริยุปราคาสิ้นสุดลงแล้ว ถึงจะไม่แม่นยำก็ตาม
พอเข้าเมืองมา ปั้นฉินก็เปิดผ้าม่านรถขึ้น ทุกคนคิดว่านายหญิงร้อน แต่หลังจากเดินทางไปได้ครู่หนึ่ง นายหญิงที่แหงนมองท้องฟ้าแล้วละสายตากลับ
‘จุดตะเกียง’ นางเอ่ย
ผู้ติดตามยังคงมึนงง แต่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว
เมื่อนึกถึงภาพและคำพูดเหล่านั้น ผู้ติดตามทั้งหลายก็ขนลุกซู่อีกครั้ง
ตะเกียงดับลง มีคนเบียดเข้ามา ก่อนจะใช้มือยันแล้วพลิกตัวขึ้นมานั่ง
ปั้นฉินกรีดร้องด้วยความตกใจ ผู้ติดตามทั้งหลายที่ได้สติกลับคืนมาก็รีบตั้งรับ
“ข้าเอง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้น เหลียวไปยิ้มให้เฉิงเจียวเหนียงในรถ แววตานั้นไม่อาจปกปิดความดีใจได้เลยสักนิด
นับดูแล้วก็จากกันนานถึงสองปีกว่า แต่ตามนี้กลับรู้สึกเหมือนเพิ่งพบเจอดันเมื่อวานนี้ไม่ปาน
แม้จะนึกหน้าของนางไม่ออกบ้างในบางครั้ง แต่เมื่อได้พบเจอกัน ใบหน้ากลับชัดเจนและคุ้นเคยนัก
ยามไม่ได้เจอหน้า ภาพนั้นพร่ามัวราวดั่งเมฆหมอกปกคลุมภูเขา ครั้นได้พบเจอ ภาพก็สว่างไสวราวดั่งเมฆสีแสงเรืองรอง
“ท่านชายสิบสาม ข้าตกใจกลัวแทบตาย” ปั้นฉินพูดด้วยใบหน้าซีดขาว
เข้าเมืองหลวงครานี้ช่างมีเรื่องให้ตกใจมากมายเหลือเกิน
“พวกเจ้านี่ใช้ไม่ได้เลย หากคนร้ายมาจริงๆ นายหญิงของเจ้ามิตกอยู่ในอันตราย เพราะความประมาทเลินเล่อของพวกเจ้าหรอกหรือ” ท่านชายฉินสิบสามมองหน้าผู้ติดตามแล้วตำหนิ
ผู้ติดตามละอายใจ
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่า ยอดฝีมือมักลงมือในตอนท้ายเสมอ”
เสียงหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง
ท่านชายฉินสิบสามหันหน้าไปมองหญิงสาวที่กำลังโบกพัดกลม ด้ามพัดส่องแสงประกายภายใต้แสงแดดจ้า
นางไม่เคยคิดว่าการขอความคุ้มครองจากผู้ใดจะเป็นทางเลือกของตน
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เจ้าอ่านปฏิทินของอะไร” จู่ๆ เขาถามขึ้น
“ปฏิทินหลินเต๋อ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“เจ้าชอบอ่านด้วยหรือ ข้าเคยเรียนอยู่หลายวัน แต่ยังไม่ถึงขึ้นคำนวณได้” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “ในเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญขนาดเช่นนี้ ก็สอนข้าด้วยเถิด”
“เจ้าคำนวณได้หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม “เจ้ารู้วิชาเทียนหยวน หรือไม่”
ท่านชายฉินสิบสามตกตะลึง
“อย่าพูดถึงว่ารู้เลย ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ พึ่งเรียนไปเพียงเก้าบท” เขายิ้มเจื่อนตอบ
“การคำนวณปฏิทินสังเกตดินฟ้าอากาศ ส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของซือเทียนไถ เป็นหลัก ท่านชายคงชำนาญในคัมภีร์ทั้งหก เรื่องการรบหรือการจัดการคนมากกว่าสินะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะลั่น
“สู้พูดมาตรงๆ ว่าข้าเรียนไม่ได้ยังดีเสียกว่า” เขาเอ่ย
“ธรรมชาติมีกฎ จะเรียนหรือไม่เรียนก็เหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“พอแล้ว พอแล้ว ข้ารู้ว่าข้าโง่เขลา เรียนไม่ได้ เช่นนั้นอย่างได้พูดต่อเลย” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย “ไม่เจอกันเสียนาน แม่นางสบายดีหรือไม่”
“ก็ดี ท่านชายฉินเป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงเจียวเหนียงถามกลับอย่างสุภาพ
พอได้พบกันยามนี้กลับดูห่างเหินมากขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่กลับบังเอิญเจอกันบนถนนเช่นนี้ ช่างมีบุญวาสนาต่อกันนัก ให้ข้าส่งแม่นางกลับบ้านเถิด” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
ปั้นฉินหัวเราะขึ้นทันทีพลางมองไปยังท่านชายฉินสิบสามที่นั่งอยู่ในรถ
ตกลงนี่ใครส่งใครกันแน่
เฉิงเจียวเหนียงก้มหัวคำนับแล้วยิ้มบาง รถม้าก็แล่นออกไป
พอเห็นท่านชายฉินสิบสามที่นั่งพูดคุยหยอกล้ออยู่กับคนขับรถม้า แม่นางจูแห่งหอเต๋อเซิ่งเบนสายตากลับมา
“นายหญิงอย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ” ชุนหลิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นในทันใด
แม่นางจูตกใจกับคำพูดนั้นแล้วหันไปมองนาง
ชุนหลิงก้มหน้าลงอย่างร้อนรน
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น” แม่นางจูเอ่ย “ชุนหลิง เจ้าคิดเช่นนี้ถือว่าผิดมหันต์ ลืมตัวว่าตนเป็นผู้ใด คนเราหากลืมตัวแล้ว วันหน้าใช้ชีวิตลำบากเอา”
“เจ้าค่ะ ข้าผิดไปแล้ว” ชุนหลิงรีบเอ่ย
แม่นางจูเหลือบมองนาง หันหลังแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
ชุนหลิงเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูปิด นางไม่ได้ตระหนกเลยแม้แต่น้อย มุมปากยกเหยียด
“ลืมตัวอะไรกัน” นางพูด “ก็รู้ว่าตัวเองสู้หน้าคนอื่นไม่ได้ เป็นหงส์ไม่ได้ก็เท่านั้น”
นางพูดจบก็มองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สุริยุปราคาจางหายไปแล้ว บนถนนไม่ได้วุ่นวายเหมือนก่อนหน้า ทั้งยังไม่เห็นรถม้าคันนั้นแล้ว
กลับมาแล้ว…
กลับมาอีกครั้งแล้วจริงๆ ด้วย…
กลับมาพอดีจริงเชียว!
ล้างแค้นอย่างไรถึงเรียกว่าล่างแค้นอย่างแท้จริงน่ะหรือ นั่นก็คือให้ศัตรูได้เห็นกับตา ได้ยินด้วยสองหู และสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็เหมือนร้องเพลงให้คนหูหนวกตาบอดฟัง จะสนุกได้อย่างไร!
เนื่องจากวันสุริยุปราคา ชาวเมืองหลวงจึงโกลาหลวุ่นวายไปหมด คนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไปบนถนนอย่างเงียบเชียบราวกับโคมไฟที่ประเดี๋ยวติดประเดี๋ยวดับ
แม้ยืนอยู่นอกท้องพระโรง ก็ได้ยินน้ำเสียงอันเกรี้ยวโกรธของฮ่องเต้อย่างชัดเจน
“… หากฟ้าเปลี่ยนเป็นหน้าที่ของข้า การสังเกตการณ์การดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวบนฟ้าเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า เมื่อใดที่ฟ้าเปลี่ยนข้าย่อมมีราชกิจต้องทำ ดูแลราษฎร นี่เป็นความผิดของข้า แต่พวกเจ้าบอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่ว่าข้าผิดอะไร ข้าทำผิดหรือไม่ พวกเจ้าก็ช่วยปฏิบัติหน้าที่บ้างจะได้หรือไม่”
“…ฝ่าบาท โปรดอย่าได้ขุ่นเคือง ท้องฟ้าไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ฝ่าบาทอย่าได้กังวลเรื่องราชกิจจนไม่มีความสุขเลยพะย่ะค่ะ…”
เหล่าขุนนางใหญ่หลายคนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“คนพวกนี้ช่างกล้าพูดเสียจริง” คนหนึ่งกระซิบ “ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาทั้งนั้นหรือ ช่างหน้าด้านเสียจริง”
“หากหน้าไม่ด้านจะอยู่หอสังเกตการณ์ได้อย่างไร” อีกคนหัวเราะและพูดเสียงเบา “อย่างไรเสีย ให้ฝ่าบาทดุด่าพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็ทำตัวเช่นเดิม…”
แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า ลงโทษคนพวกนี้อย่างนั้นหรือ ด้วยสาเหตุอะไร คาดการณ์วันสุริยุปราคาไม่ได้อย่างนั้นหรือ ก็จะมีคนอ้างว่าเรื่องของสวรรค์ไม่สามารถคาดเดาได้ ยิ่งวันในจะเกิดสุริยุปราคาแล้ว ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเพราะถือเป็นภัยธรรมชาติ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านใน คล้ายกับว่าฝ่าบาทกำลังปาข้าวของด้วยความโมโห
“ออกไป ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
ขุนนางด้านนอกรีบหุบยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ประตูห้องโถงเปิดออกอย่างรวดเร็ว ขุนนางเดินออกมากลุ่มหนึ่ง ใบหน้าดูสงบนิ่งคล้ายกับว่าคนที่ถูกฝ่าบาทดุว่าก่นด่าไม่ใช่พวกเขา ทั้งยังคำนับทักทายขุนนางคนอื่นๆ นอกประตูด้วย ก่อนจะเดินจากไป
“ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า” ขุนนางกระซิบ “เกรงว่าธูปของวัดผู่ซิ่วจะไม่มีให้พวกเขาเสียแล้ว”
คำพูดนี้พาให้ทุกคนแทบหัวเราะลั่น แต่ก็ยังระลึกได้ว่าพวกเขาต้องสำรวมเมื่ออยู่หน้าท้องพระโรง
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ฝ่าบาทก็ไม่ได้เรียกพวกเขาเข้าเฝ้า แต่กลับได้ยินเสียงคนพูดลอยออกมาจากด้านใน
“ฝ่าบาท อย่าทรงเกรี้ยวโกรธไปเลยพะย่ะค่ะ พวกเขาก็พูดถูก เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรทำ”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น
ขุนนางด้านนอกสบตากัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ใครบางคนขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง
“เหตุใดถึงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรทำ ราชสำนักเลี้ยงคนไร้ค่าอย่างพวกเขาไว้ทำไม”
“ฝ่าบาท ก็มิได้ไร้ค่า พวกเขาจัดทำปฏิทินถามฤดูกาลนะพะย่ะค่ะ”
ขุนนางนอกประตูกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่อีกครั้ง
“เอาล่ะ จวิ้นอ๋องพูดคำเดียวล้มหอสังเกตการณ์ได้ สำนักโหรหลวงสุ่มหาขุนนางสักสองคนทำก็ได้แล้ว” ใครบางคนกระซิบ
ไม่เพียงแต่พวกเขาที่หัวเราะลั่น ฝ่าบาทที่อยู่ด้านในก็หัวเราะด้วยเช่นกัน น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธก่อนหน้านี้ก็จางหายไปมากแล้ว
ณ ห้องโถงของฝ่ายเสมียนกลาง เฉินเซ่าวางพู่กันในมือลง
“ไม่น่าแปลกใจที่ช่วงนี้จะเห็นจวิ้นอ๋องข้างกายฝ่าบาท เขาศึกษาอย่างถ่องแท้” เขาเอ่ย “อย่างน้อยก็ยังดีกว่าองค์ชายใหญ่”
ขุนนางยิ้มแล้วกระแอมขึ้น
“คำพูดนี้ไม่น่าเข้าหูของขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกานักหรอกนะ” เขายิ้มเอ่ย
เมื่อพูดถึงขุนนางฝ่ายท้องพระโรงเกา เฉินเซ่าทำหน้าดูแคลนเล็กน้อย
“จวิ้นอ๋องพูดถูกต้องแล้ว” เขาเอ่ย “ถึงเวลาต้องกำจัดคนของหอสังเกตการณ์แล้ว คนที่ไม่ทำงานแต่ครองตำแหน่งเอาไว้ น่าเสียดายแทนคนเก่งที่อยู่จนผมหงอก”
ปล่อยข่าวลือให้เข้าใจผิด! เหตุผลนี้ไม่เลว แต่เงื่อนไขคือต้องพิสูจน์ได้ว่าการคำนวณตามปฏิทินนั้นแม่นยำ
“ใต้เท้าฝ่ายการเมือง มี” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย
ทันทีที่คำพูดดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจไม่น้อย
มีอะไรหรือ
“มีคนคาดการณ์เวลาที่แน่นอนของสุริยุปราคาโดยอิงจากปฏิทิน” ขุนนางเอ่ยต่อ “โดยใช้ตำราปฏิทินหลินเต๋อของหลี่เทียนซือ”
ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ จึงเข้าไปถามไถ่ทีละคน
“เหตุใดถึงไม่รายงานเรื่องนี้แต่แรกเล่า” เฉินเซ่าถาม
“จะกล้ารายงานเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” ขุนนางยิ้มตอบ
ก็จริงอย่างที่ว่า แม้ปฏิทินดาราศาสตร์จะมีกฎที่ตายตัว แต่เรื่องของสวรรค์ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ไร้การควบคุมไม่ได้ นี่คือสาเหตุที่ขุนนางของหอสังเกตการณ์คำนวณผิดพลาดอยู่หลายหน แต่กลับไม่ถูกลงโทษเลย
“นอกจากนี้ นี่เป็นรายงานเร่งด่วนจากเมืองซู่โจวที่ตำหนิการทำงานของอำเภอผานเจียง” ขุนนางเอ่ย “มีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อให้เกิดการจลาจล”
ทุกคนเริ่มสนใจ เฉินเซ่าถามว่าเกิดอะไรขึ้น ขุนนางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวคนหนึ่งตัดศีรษะภิกษุที่มีผู้ศรัทธามากมายต่อหน้าคนทั้งเมือง ทั้งห้องโถวถึงกับแตกตื่นขึ้นมา แม้แต่ขุนนางผู้น้อยด้านนอกต่างวิ่งเข้ามาฟังกันทุกคน
คาดไม่ถึงว่าปรากฎการณ์สุริยุปราคาจะกลายเป็นเรื่องน่าสนุกเช่นนี้
“เร็วเข้า ใต้เท้าเจี่ยนเจิ้งมีเหตุการณ์ประหลาดใดบ้างรีบเล่ามา”
ทุกคนต่างเรียกสหายของตนเข้ามาฟัง
“…แม่นางผู้นี้ต้องชำนาญด้านปฏิทินเป็นแน่”
“ไม่ใช่แค่แม่นางผู้นี้หรอก พระรูปนั้นด้วย”
“ชำนาญด้านปฏิทินไม่ใช่เรื่องแปลก แปลกที่แม่นางผู้นี้ทั้งฉลาดและกล้าหาญ เจ้าลองคิดดูว่าหากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร”
เมื่อถูกถามเช่นนี้ ทุกคนในห้องโถงก็พากันครุ่นคิด
หากเป็นข้า คิดว่าสิ่งแรกที่คิดถึงคือถกกับภิกษุชรานั่น แล้วบอกกับชาวบ้านว่าวันนี้ไม่มีสุริยุปราคา ภิกษุชรานั่นโกหกพวกเขา
“เจ้าคิดว่าจะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจได้หรือ” มีคนยิ้มเยาะและโต้กลับ “หากพูดให้เข้าใจได้ เหตุใดถึงมีผู้ศรัทธาภิกษุรูปนั้นมากมายเช่นนี้”
“ถูกต้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนส่วนใหญ่เป็นผู้เลื่อมใสของพระนั่น แม้ไม่ใช่ผู้ศรัทธา แต่เป็นคนธรรมดาทั่วไป จู่ๆ มีคนแปลกหน้าเข้ามาบอกว่าการหลุดพ้นนี้ไม่ดีอย่างไรบ้าง พวกเจ้าจะเชื่อคนแปลกหน้าหรือเพื่อนบ้านของตนล่ะ” มีคนพยักหน้าเอ่ย
แน่นอนว่าข้าต้องเชื่อคนรู้จัก…
นี่อาจเป็นเรื่องของสัญชาตญาณของมนุษย์
“โต้เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถกเถียงกันหรือไม่ เกรงแต่ว่าตนจะตกที่นั่งลำบากเสียก่อน” มีคนพูดพร้อมพยักหน้าขึ้นอีกครั้ง “วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการศัตรูคือการตัดโอกาส ไม่ให้โอกาสเขาต่อสู้กับตน ฆ่าพระเฒ่านั่นเสีย จะพูดเช่นไรก็ย่อมได้ เพราะคนตาย พูดไม่ได้”
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการศัตรูคือการตัดโอกาส….
เฉินเซ่าที่นั่งดูอยู่หลังโต๊ะไม้ กำพู่กันในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว พลางพยักหน้าตาม
แต่ทว่า มีคนกี่คนบนโลกที่กล้าทำเช่นนี้
หากบอกว่ามี คงจะเป็นแม่นางผู้นั้น…
แม่นางผู้นั้น!
เฉินเซ่ารีบนั่งหลังตรงทันที
ไม่ใช่หรอกกระมัง…
เฉินเซ่าถอนหายใจและลุกยืนขึ้น
“แม่นางผู้นั้นอยู่ที่ไหนหรือ” จู่ๆ เขาถามขึ้น
บทสนทนาคึกคักในห้องโถงถูกขัดจังหวะ ขุนนางคนหนึ่งครุ่นคิดขึ้นมาในทันใด
“หนังสือของทางการไม่ได้ระบุรายละเอียดมากนัก ระบุเพียงว่าเป็นสำเนียงเจียงหนาน คล้ายว่ามาจากเมืองเจียงโจว แต่ผู้ติดตามพูดสำเนียงเมืองหลวง…”
เฉินเซ่ายิ้มแล้วยกมือขึ้นให้กับทุกคน ก่อนจะเดินออกจากห้องโถง เขามองดูดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าบนท้องฟ้า
เมื่อใดก็ตามที่แม่นางผู้นั้นเคลื่อนไหว ย่อมเกิดคลื่นทุกคราที่นางเดินผ่าน
“เกรงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะไม่สงบสุขอีกครั้งแล้ว” เขาฝืนยิ้มพูดพลางลูบเครา “ต้องพูดว่าการฟ้าเปลี่ยนเป็นลางบอกเหตุจริงๆ ด้วย”
แม่นางผู้นั้นหรือ เขาคิดเช่นนี้ได้ก็ถือว่าประเมินนางสูงเกินไปแล้ว
“สืบข่าวจากเมืองซู่โจวและอำเภอผานเจียงให้ละเอียด เขียนเป็นสาส์นขึ้นกราบทูล” เฉินเซ่าเอ่ย “ในฐานะขุนนางต้องแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท ถึงเวลาแล้วที่จะต้องชำระล้างหอสังเกตการณ์ที่ไร้ประโยชน์นี้เสียที”
ขุนนางทั้งหลายตอบรับแล้วมองเฉินเซ่าก้าวเท้าเดินจากไป
ขณะเดียวกัน ณ เรือนสะพานอวี้ไต้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย
“พี่ปั้นฉิน!”
สองสาวใช้ สองเสียง แต่มีเพียงชื่อเดียว พวกนางกอดกันกลม เหล่าสาวใช้ที่อยู่รายล้อมมองดูด้วยความตกตะลึง
“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”
ปั้นฉินทั้งสองมองหน้ากัน เมื่อนึกถึงจุดมุ่งหมายที่ทำให้ทั้งสองได้พบเจอกันอีกครั้งในเมืองหลวงครานี้ ทั้งคู่ก็พากันร้องไห้ขึ้นมา
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ รีบไปดูแลนายหญิงเร็ว” สาวใช้กลืนน้ำลายเอ่ย “พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง”
“ใช่ ทั้งยังมีแขกอยู่ด้วย” ปั้นฉินพยักหน้าพูด
“จริงๆ เลย แขกคนนี้มาเร็วเหลือเกิน” สาวใช้พูดพลางมองเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งยิ้มอยู่ด้านใน
“บอกมาเถิด ครั้งนี้ต้องการกำจัดใคร” ชายหนุ่มยิ้มแป้น โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกระซิบ
ประโยคนี้อีกแล้ว!
สาวใช้กลอกตาอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบสองปี ท่านชายดูคงแก่เรียนมากขึ้นกว่าเดิมนัก นายหญิงก็ดูสง่างามมากขึ้นเช่นกัน แต่หลังจากที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน จะพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ไม่ได้เลยหรือ
นายหญิงของข้าคือโจรป่าอำมาหิต คิดฆ่าคนทุกเมื่อหรือย่างไร