พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 416 มีเพียงหนึ่งเดียว
แน่นอนว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่ใช่โจรป่าอำมหิต เพราะไม่มีโจรป่าที่ไหนคั่วชาได้คล่องแคล่วเช่นนี้หรอก
ท่านชายฉินสิบสามมองไปยังถ้วยชาที่อยู่ด้านหน้า น้ำชาสีเขียวใสเล่นแสงอยู่ในถ้วยชาเคลือบสีดำ
“ข้าเสียมารยาทจริงเชียว” เขาพูดพร้อมกับคำนับขอโทษ “เจ้าคงเหนื่อยจากการเดินทางไกล แต่ข้ากลับเดินตามเข้ามา แถมเจ้ายังต้องเหนื่อยชงชาให้ข้าอีกต่างหาก”
“น้ำชาเพียงถ้วยเดียว ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามมองนางแล้วยิ้ม ก่อนจะดื่มน้ำชารวดเดียวจนหมดถ้วย
“ครั้งนี้ข้ามาเมืองหลวงเพื่อทำพิธีฝังศพให้กับพี่ชายทั้งหลายของข้าเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามวางถ้วยชาลงแล้วมองไปที่นาง
ห่างกันไปสองปี นางยังพูดจาเหมือนเดิม แต่เขากลับต่างจากเมื่อก่อนมาก นางพูดอะไรก็ฟังเช่นนั้น
“เสียใจกับแม่นางด้วย” เขาพูดแววตาเคร่งขรึม
เฉิงเจียวเหนียงคำนับตอบ
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด หากมีเรื่อง…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าน้อยครั้งนักที่นางจะเจอปัญหา หากเจอปัญหาแล้วมาหาตนก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ “ไว้ข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”
เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกครั้ง
มองดูประตูปิดลง ท่านชายฉินสิบสามถอนหายใจ มุมปากยิ้มกว้าง
เหตุใดถึงพบเจอนางบังเอิญเช่นนี้ได้
ดูเหมือนไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงวันนี้ และเขาเป็นคนแรก
เป็นคนแรกที่ต้อนรับนางกลับบ้าน
คนแรกเลยเชียวนะ!
“ท่านชาย เหตุใดถึงหนีไปเช่นนี้ ข้าเกือบจะหาท่านไม่เจอ เทียนโก่วกินตะวัน น่ากลัวยิ่งนักนะขอรับ ท่านยังวิ่งหนีไปอีก...” บ่าวบ่นพร้อมกับยื่นเชือกบังเหียนให้
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มแล้วขึ้นควบม้า
“เทียนโก่วกินตะวันน่ากลัวอะไรกัน วันนี้ช่างเป็นที่วันดียิ่งนัก” เขาเอ่ย พอพูดจบก็เร่งม้าออกไป
เทียนโก่วกินตะวันเป็นวันดี บ่าวตกตะลึง ท่านชายช่างแปลกเสียจริง
ไม่ได้มีเพียงบ่าวเท่านั้นที่รู้สึกว่าท่านชายฉินสิบสามดูแปลกไป
อาลักษณ์หลวงฉินก้าวเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับเหลียวกลับมามอง สีหน้าของเขาดูแปลกไป
“มีอะไรหรือ” ฮูหยินฉินถามพลางโบกพัด
“เหตุใดชายสิบสามถึงมีความสุขเช่นนี้” อาลักษณ์หลวงฉินถาม
“เขาเคยอารมณ์เสียด้วยหรือ” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย
“ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้ดูมีความสุขจริงๆ” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย พลางถอดเสื้อคลุมออก “มีความสุขจนเก็บไว้ไม่อยู่ ทั้งยังไม่อยากเก็บเอาไว้”
ดังนั้นจึงแปลกนัก
“มีอะไรให้มีความสุข สุริยุปราคาหรือ” เขาคาดเดา
ฮูหยินฉินส่งเสียงเย้ยหยัน
“ไปถามท่านชายสิบสามว่ากำลังทำอะไรอยู่” นางพูดกับสาวใช้
สาวใช้ตอบรับก่อนจะกลับเข้ามาหลังจากออกไปได้ไม่นาน
“ท่านชายสิบสามกำลังอ่านหนังสืออยู่เจ้าค่ะ” นางตอบ
“ก็เหมือนกับทุกวัน หากมีความสุขจริงๆ จะอ่านหนังสืออีกหรือ” ฮูหยินฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
…
ท่านชายฉินสิบสามมองดูม้วนหนังสือในมือ สายตากวาดไปมา แต่กลับอ่านไม่เข้าหัวเลยแม้แต่บรรทัดเดียว ภาพของคำพูดและการกระทำของนางที่เขาได้พบเห็นวันนี้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
เช้าตรู่ของวันนี้ เขาอ่านหนังสือและพบกับท่านอาจารย์ ไขข้อสงสัยของตำราหลายเล่ม จากนั้นจึงไปที่หอเต๋อเซิ่งต่อกวีกับสหายหลายคน ถูกต้องแล้ว บัดนี้เขามีทั้งสหาย เพื่อนร่วมห้อง และลูกศิษย์ที่ไปมาหาสู่กับตระกูล
พวกเขาเชิญนางคณิกาชื่อดังของหอเต๋อเซิ่ง ดูการร่ายรำและฟังเพลงบรรเลง หลังจากสำราญใจกันแล้วก็แยกกันไป เขามาถึงทีหลังจึงนั่งพัก วันนี้ของเขาใช้ไปอย่างคุ้มค่าและสุขใจนัก
แต่หลังจากพบเจอกับแม่นางผู้นั้นแล้ว เหตุใดความสุขทั้งหมดนี้จึงสลายหายไป ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยไว้ในใจเขาเลย
ดูเหมือนว่าทั้งคน ทั้งเรื่องราว และทั้งเวลาเหล่านี้ดูว่างเปล่า ไร้ความหมาย แต่เมื่อแม่นางปรากฏตัวขึ้น ก็ราวกับว่าสีสันบนม้วนภาพวาดที่จู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา
ท่านชายฉินสิบสามถอนหายใจแล้ววางม้วนหนังสือในมือลง
ช่างน่าเศร้านัก
เวลาสองปีผ่านมานั้นสูญเปล่าไปแล้วหรือ สองปีมานี้คือความสุขจอมปลอมหรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ความสุขของตนก็เป็นเพียงความสุขของตนเท่านั้น ในสายตาแม่นางผู้นั้น…
พวกเจ้าก็เหมือนกันหมด…
ท่านชายฉินสิบสามยื่นมือหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาแล้วอ่านอย่างตั้งใจ
แต่ทว่านางก็ยังคั่วชาให้เขาด้วยตัวเอง…
ใช้เตาชาของนางเอง ลงมือคั่วและบด ชงน้ำชาด้วยตัวเอง ทั้งยังใช้ถ้วยชาเคลือบสีดำที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน
แม่นางผู้นี้ไม่ได้ไร้หัวใจ นางแค่แสดงออกไม่เก่ง
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่ผลักกล่องขนมมาให้ด้วยใบหน้าเหม่อลอยไร้อารมณ์
“ข้าเลี้ยงเจ้า” นางเอ่ย
ท่านชายโจวหกมองว่านี่คือความอัปยศอดสู เป็นไล่คนและปลอบขวัญเด็ก ตอนนั้นเขาทำตัวไม่ถูก แต่หลังจากมานึกย้อนดูแล้ว ใช่ว่าแม่นางผู้นั้นอยากจะปลอบเด็กทุกคนเสียหน่อย
คนที่แม่นางปลอบนั้นใช้มือข้างเดียวก็นับได้ครบ
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม โยนม้วนหนังสือในมือไว้บนโต๊ะ
ในยามพลบค่ำ ประตูเมืองหลวงกำลังจะปิด เดิมทีมิได้ปิดเร็วเพียงนี้ แต่เพราะวันนี้เกิดสุริยุปราคากะทันหัน ทางการจึงสั่งปิดก่อนกำหนด
ยามม้าสามตัวและคนสองคนมาถึงประตูเมือง ขุนนางเฝ้าประตูยังไม่ทันจะโบกมือ ก็ปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้ามาแล้ว
“ดูม้านั่นสิ ขนของมามากมาย เหตุใดถึงปล่อยให้เขาเข้ามาโดยไม่ตรวจสอบเช่นนั้น” ทหารคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความงุนงง
“เจ้ายังอ่อนหัดนัก” ทหารเฝ้าประตูเมืองพูดอย่างเหยียดหยามพลางเชิดคางขึ้น “ท่านชายหนุ่มที่ผ่านไปเมื่อครู่เต็มไปด้วยจิตสังหาร สวมชุดทหาร ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล เห็นได้ชัดว่าเคยเสียเลือดในสนามรบมาก่อน จะตรวจสอบคนเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่กลัวตายหรือ”
เมื่อผ่านประตูเมืองเข้ามา ควบม้าตามถนนที่ทั้งคุ้นชินและแปลกตา สัมผัสได้ความอบอุ่นของการกลับบ้านเกิด ท่านชายโจวหกเร่งม้าอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ดวงไฟสว่างไสว และเพราะปรากฏการณ์สุริยุปราคา จึงมีคนอยู่บนท้องถนนน้อยนัก เมืองหลวงที่วุ่นวายกลับดูเงียบสงัด
“ท่านชายขอรับ” บ่าวที่ตามหลังมองท่านชายโจวหกที่ชักม้าให้หยุด จึงรีบหยุดม้าเช่นกัน ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วหันกลับมาถามด้วยความงุนงง
ท่านชายโจวหกมองไปทางหนึ่ง โคมไฟถูกจุดขึ้นที่ด้านหน้าของประตูเรือนในตรอกข้างสะพาน ไม่มีคนนั่งพักผ่อนที่หน้าประตู ดูเงียบสงบและผ่อนคลายยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นั้นมาถึงแล้วหรือยัง
เมื่อเทียบกับทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว ระยะทางของเมืองเจียงโจวอยู่ไกลออกไปไม่น้อย แต่นางน่าจะออกเดินทางเร็วกว่าตนเล็กน้อย
“ท่านชายขอรับ จะไปที่บ้านของแม่นางเฉิงก่อนหรือไม่” บ่าวยิ้มถาม
ไปหานางหรือ ไปหานางทำไม
นางสนใจด้วยหรือ
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด เหลียวกลับมาแล้วเร่งม้าจากไป
บ่าวรีบตามไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง พอเห็นว่าประตูบ้านเปิดออก และมีผู้คนมากมายเดินออกมา…
หลายคนหรือ
ดูเหมือนจะมีคนรู้จักในหมู่พวกเขาด้วย เหมือนจะเป็นคนในเรือน...
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นท่ามกลางราตรีอันมืดมิด พอหักเลี้ยวไปก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
“ให้พวกข้าอยู่ที่นี่ก่อนเถิด” ผู้ติดตามที่ยืนอยู่นอกประตูเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “นายใหญ่โจวมอบพวกข้าให้กับนายหญิงแล้ว”
“ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องการพวกเจ้า” สาวใช้ยิ้มเอ่ย “ตกใจกันเลยละสิ”
พอนางพูดจบ ผู้ติดตามทั้งหลายก็หัวเราะขึ้น
“ไม่ได้ตกใจเสียหน่อย” ใครบางคนกล้าพูดติดตลก
“กลับไปก่อนเถิด จากบ้านมานาน กลับไปหาญาติพี่น้องและมิตรสหาย พักผ่อนก่อนสักวันหนึ่งแล้วค่อยกลับมา ทางนี้มีข้าอยู่” สาวใช้พูด
อาจเป็นเพราะคุ้นชินกับการติดตามนายหญิง นางพูดอะไรมาก็รับฟังเช่นนั้น ทุกคนต่างไม่รีรอ โค้งคำนับแล้วจากไป พอเห็นพวกเขาจากไปแล้ว สาวใช้และปั้นฉินจึงปิดประตู ด้านหน้าประตูก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ทว่าประตูบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเปิดออก แสงจากโคมไฟสาดส่องให้เห็นสีหน้าประหลาดใจของบ่าวเฝ้าประตู เขารีบปิดประตูและออกไปอย่างรวดเร็ว
ความมืดมิดเคลือบคลานมาถึงกลอนประตูของวังหลวง ฮ่องเต้ผู้ทรงงานหนักมาทั้งวันรวมตัวบรรดาสนมที่ตำหนักของไทเฮา
ตำหนักของไทเฮาเพิ่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ โคมไฟส่องแสงสว่างไสว บัดนี้ฮ่องเต้มีพระโอรสสององค์และพระธิดาสามพระองค์ แม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย ยามนี้บุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวอีกสามคนได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วย เด็กๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ช่างมีความสุขนัก
“เสด็จพ่อ เชิญเพคะ” ภายใต้คำแนะนำของพระสนมและแม่นม เสียงเด็กน้อยขององค์หญิงองค์สุดท้องได้ยื่นจอกสุราให้แก่ฮ่องเต้อย่างนอบน้อม
ความอ่อนล้าของฮ่องเต้จางหายไปในทันที เขายิ้มรับสุรา แล้วอุ้มองค์หญิงน้อยไว้ด้านหน้าของตน กวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้องโถง
แน่นอนว่าไม่มีเด็กสองคนนั้น…
“วันนี้เกิดสุริยุปราคา เรียกจวิ้นอ๋องและชิ่งอ๋องมานั่งพร้อมหน้าพร้อมตา ดื่มสุราปลอบขวัญเสียหน่อย” เขาเอ่ย
“ไปตามมาแล้ว” ไทเฮาเอ่ย “นิสัยเขาไปเป็นอย่างไรใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย”
“จะหลบหน้าคนไปตลอดเช่นนี้คงไม่ดีนัก” ฮ่องเต้ถอนหายใจเอ่ย
กุ้ยเฟยที่นั่งลงเม้มปากแล้วยิ้มเยาะในใจ
เขาเพียงแค่หลบหน้าพวกเรา แสร้งทำเป็นน่าสงสารและเชื่อฟัง แต่ไม่ได้หลบหน้าฝ่าบาท หากจะหลบหน้าคนจริงๆ ก็ไม่ควรปรากฏตัวในราชสำนักข้างกายฮ่องเต้ องค์ชายใหญ่เข้าประชุมราชสำนักเป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่เขาจะตามไปด้วยทำไม เป็นเพียงจวิ้นอ๋อง ยังไม่ได้รับฐานันดรศักดิ์เป็นชินอ๋อง เลยด้วยซ้ำ
“เขาเคยทำให้องค์ชายต้องอับอายหรือไม่” กุ้ยเฟยกระซิบถามองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ไม่ชอบบรรยากาศน่าเบื่อเช่นนี้เท่าไรนัก หากเลือกได้ เขาก็อยากจะหลบหน้าผู้คน และอ่านหนังสืออยู่ในวังหรือเล่นสนุกกับพวกข้าหลวงทั้งหลายแทน ไม่ใช่ต้องมาปั้นหน้าเอาใจผู้อื่นอยู่ที่นี่
ดังนั้น การเป็นคนบ้าก็ไม่เลว คนบ้านั่นควรขอบคุณเขาจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของกุ้ยเฟย องค์ชายใหญ่จึงทำส่งเสียงฮึดฮัด
“เขากล้ารึ!” เขาพูด “คนโง่เขลาที่ท่องจำตำรายังไม่ครบ แม้แต่วรรณกรรมที่อ้างถึงก็ยังไม่รู้ จะทำให้ผู้อื่นอับอายได้หรือ”
เพราะต้องดูแลชิ่งอ๋อง แม้ไทเฮาและฮ่องเต้จะยืนกรานให้เขาเรียนหนังสือ แต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ค่อยๆ ปลีกตัว
ไม่ไปสำนักศึกษา ที่เขาล่ำเรียนมาก็นับว่าสูญเปล่า
ทว่าเพราะมีตำแหน่งเป็นองค์ชาย จึงไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการสอบขุนนาง แค่รู้หนังสือมีไหวพริบเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว หากไม่เรียนก็จะไม่รู้ ไทเฮาและฮ่องเต้จึงไม่รบเร้าเขาอีกต่อไป
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเขามักจะออกความเห็นให้ฝ่าบาท และเรื่องที่ให้คำแนะนำ ก็ถูกใจฝ่าบาทนัก” กุ้ยเฟยเอ่ย
องค์ชายใหญ่กำหมัดบนตักแน่น หันไปมองกุ้ยเฟย
“กุ้ยเฟย ข้าเป็นผู้ตัดสินคดีคลองส่งน้ำกวนซานเมื่อวันก่อน มีส่วนร่วมในการร่วมอภิปรายกฎหมายใหม่ว่าด้วยเรื่องแม่น้ำใหญ่และอุทกภัย ท่านไม่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้หรือ” เขาถาม
แม้เขาจะอายุเพียงสิบสามปี แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ยินได้ฟังราชกิจทั้งหลายข้างกายฮ่องเต้มากขึ้นหรืออย่างไร องค์ชายใหญ่จึงดูสง่ามีราศีมากขึ้นยิ่งนักในตอนนี้
ดูสิ ดูคำถามไล่ต้อนของเขาสิ น่าเกรงขามจริงเชียว
กุ้ยเฟยเม้มริมฝีปากยิ้ม
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว” นางยิ้มเอ่ย
“กุ้ยเฟย วางใจเถิด ไม่ว่าใครจะพูดหรือทำอะไร ข้าเป็นผู้ที่ทำให้ฝ่าบาทพอใจมากที่สุด ข้าผู้ตามเสด็จและออกความเห็นให้แก่ฝ่าบาทอยู่เสมอ” องค์ชายใหญ่เอ่ย
“ข้าเข้าใจแล้ว” กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบแขนเขา “ข้าแค่กลัวว่าคนอื่นจะแย่งความดีความชอบไปจากเจ้า…”
“ไม่มีใครแย่งชิงความดีความชอบไปจากข้าได้หรอก” องค์ชายใหญ่เอ่ย
คนที่แย่งชิงความดีความชอบไปจากข้าจบไม่สวยกันทั้งนั้น อย่างเช่นคนบ้าชิ่งอ๋องนั่นอย่างไรเล่า