พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 417 ระลึกถึงเสมอ
“พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกันอยู่หรือ”
เสียงของไทเฮาขัดจังหวะการสนทนาระหว่างกุ้ยเฟยและองค์ชายใหญ่ ทั้งคู่รีบหันไปมองในทันใด
ไทเฮากวักมือเรียก
“มาพูดให้ข้าฟังด้วย”
กุ้ยเฟยผลักองค์ชายใหญ่ไปข้างหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม องค์ชายใหญ่ลุกเดินไปหาด้วยรอยยิ้ม นั่งลงข้างฮ่องเต้พร้อมกับองค์หญิงเล็ก พอเห็นพ่อลูกทั้งสองพูดคุยกัน ไทเฮาก็นึกบางอย่างได้
“นำน้ำแกงที่ทำเพิ่งเสร็จไปให้ฮองเฮาที” นางเอ่ย “นางไม่ค่อยแข็งแรง เกรงว่าวันนี้จะตกใจกลัวขึ้นไปอีก เอาไปให้นางลองชิมดู”
“ประเดี๋ยวข้าจะไปดูเอง” ฮ่องเต้เอ่ย
ไทเฮาพยักหน้า มองดูขันทีรับคำสั่งแล้วเดินจากไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับคำขอบคุณจากฮองเฮา
“ฮองเฮาหลับแล้วหรือ” ไทเฮาถาม
“ยังพะย่ะค่ะ กำลังพูดคุยอยู่กับจวิ้นอ๋อง น้ำแกงที่นำไปให้ก็แบ่งให้กับจวิ้นอ๋องด้วย ท่าทางดูอารมณ์ดียิ่งนักพะย่ะค่ะ” ขันทีพูดด้วยรอยยิ้ม
เห็นแล้วหรือไม่ หลบหน้าคนหรือ นี่เรียกว่าหลบหน้าคนหรือ ถึงคนจะไม่อยู่ แต่กลับถูกพูดถึงในทุกที่ ทุกเวลา
กุ้ยเฟยกำพัดกลมแน่น โบกพัดอย่างแรง
ขันทีนี่ก็เหลือเกิน จะพูดมากทำไม ถามแค่เพียงว่าฮองเฮาหลับแล้วหรือไม่ ตอบแค่ว่ายังไม่หลับก็พอแล้ว พูดพล่ามอะไรให้มากความ
ไทเฮาและฮ่องเต้สบตากันแล้วยิ้ม
“นึกแล้วเชียวว่าเขาต้องเป็นห่วง” ไทเฮาเอ่ย
ฮ่องเต้พยักหน้าไม่เอ่ยคำใด แต่เพียงแค่ท่าทางนั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าชื่นชมเพียงใด
แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า แค่จวิ้นอ๋องเพียงคนเดียว ทุกวันนี้ก็พึ่งพาเพียงความกตัญญูอาศัยอยู่ในวังหลัง เขาจะกตัญญูไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ
ไทเฮาต้องการความกตัญญูจากเขา เสด็จพ่อต้องการความกตัญญูจากเขา ไทเฮาต้องการความกตัญญูจากเขา ส่วนข้าไม่ต้องการความกตัญญูจากเขา
องค์ชายใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านล่างยกถ้วยทองคำขึ้นดื่มอย่างช้าๆ
เมื่อวางถ้วยทองคำลง น้ำแกงก็หมดถ้วยแล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก คำนับแล้วขอตัวลา
“ฮองเฮาพักผ่อนเถิดพะยะค่ะ” เขาเอ่ย
ฮองเฮาเอนหลังมองดูเขาถอยออกไป
“ออกไปเถิด อย่ามาเสียเวลาเลย” นางเอ่ย “แม้จะปล่อยวางไม่ได้ก็ต้องปล่อย”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่พูดอะไร
“เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ ถูกเขากักขังชั่วชีวิต” ฮองเฮาเอ่ย “ไปเถิด ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก เจ้าอยู่กับเขามานานมากพอแล้ว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงยิ้มและส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร
“หากเจ้าไปเสียตอนนี้ ฝ่าบาทและไทเฮาพร้อมจะปกป้องเจ้า ให้เป็นท่านอ๋องผู้รักอิสระ อยู่ในวังหลวงยิ่งนานก็ยิ่งมีแต่คนเกลียด หากความแค้นยิ่งบาดลึก วันข้างหน้าไม่มีไทเฮาและฝ่าบาทคอยหนุนหลังแล้ว เกรงว่าเจ้าจะใช้ชีวิตลำบาก และถ้าหากเจ้าอยู่อย่างลำบากแล้ว จะดูแลชิ่งอ๋องได้อย่างไร” ฮองเฮาพูดต่อ “หากเจ้าหวังดีกับเขา ก็ควรคิดถึงวันข้างหน้า อย่ายึดติดกับความผูกพันฉันญาติมิตรเพียงเล็กน้อยนี้เลย”
นี่คงเป็นคำพูดที่ฮองเฮาพูดมากที่สุดในรอบสองปี จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนตรงแล้วโค้งคำนับให้กับนาง
“ฉะนั้น ฮองเฮาได้โปรดรักษาสุภาพ และอยู่ดูแลข้าให้นานแสนนาน” เขาเอ่ย
ฮองเฮามองดูเขา ก่อนจะส่ายหน้า นางตาหลับตาแล้วหยุดพูดในที่สุด
แสงไฟของตำหนักชิ่งอ๋องสว่างไสว ได้ยินเสียงหัวเราะของขันทีจากระยะไกล
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง เขาก้าวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ห้องโถงอันสว่างไสว มีขันทีมากมายวิ่งเล่นไปรอบๆ เป็นเพื่อนเด็กน้อย
เด็กน้อยยกมือที่ถือป๋องแป๋งไว้ วิ่งหัวเราะจนมองไม่เห็นดวงตา น้ำลายไหลย้อยจากมุมปากจนผ้าพันคอเปียกชุ่ม
เขาเดินโซเซ ร่างกายอ้วนท้วน ไม่ทันระวังจึงล้มลงแล้วตะโกนร้องออกมา
พรมผืนหนาปูไว้บนพื้น โต๊ะไม้ถูกยกออก แม้แต่เสาก็ยังบุด้วยเบาะรองนั่ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ชนเข้า ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้กังวลมากนักเมื่อเห็นเขาล้มลง
“ลิ่วเกอร์ เป็นอะไรหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มแล้วนั่งลงกับพื้นพยุงเขาขึ้น
ชิ่งอ๋องนอนราบกับพื้น ตะโกนร้องครู่หนึ่ง ก่อนจะเอาป๋องแป๋งในมือทุบตีไปยังคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มือและแขนของจิ้นอันจวิ้นอ๋องถูกตี ขันทีทั้งหลายอยากจะเข้ามาห้าม แต่ก็ต้องระวังตัวทั้งยังรู้สึกหวาดกลัว
แต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับห้ามพวกเขาไว้ ปล่อยให้ชิ่งอ๋องทุบตี พลางปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม
ขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ชิ่งอ๋องจำคนไม่ได้ ฟังไม่รู้ความ ไม่ว่าจะห่วงใยแค่ไหนก็ไร้ค่า ก็เหมือนทำไปเพื่อปลอบใจตัวเองเพียงเท่านั้น
โวยวายได้พักหนึ่ง ชิ่งอ๋องก็เหนื่อยล้า โยนป๋องแป๋งทิ้งแล้วหลับไป จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบดึงเขาขึ้น ทั้งปลอบ ทั้งกล่อม ทั้งเขย่าตัวให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
พอเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงกรนออกมา จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงหยุดเล่านิทาน วางธง มีด ปืนและของเล่นอื่นๆ ในมือลง
“องค์ชาย นี่ก็ค่ำแล้ว ท่านไปพักผ่อนเถิดพะย่ะค่ะ” ขันทีที่อยู่ด้านข้างพูดกระซิบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ขยับ มองดูเด็กน้อยที่กำลังหลับใหลแล้วยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเขา
“เขาอ้วนเกินไปแล้ว ไม่ดีต่อร่างกาย ทำอย่างไรถึงจะผอมลง” เขาเอ่ย “ไปถามหมอหลี่ที”
“องค์ชาย บางทีอาจไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหลี่” ขันทีที่อยู่ด้านข้างกดเสียงต่ำ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลือบมองเขา
“เมื่อครู่ มีคนมาบอกว่าแม่นางเฉิงเข้าเมืองมาแล้วพะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกยืนขึ้นอย่างยั้งสติไม่อยู่
“นางมาแล้วหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามด้วยความประหลาดใจ
เสียงสูงจนรบกวนเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงทำเสียงฮึดฮัดอยู่หลายหน จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบเอื้อมมือไปแตะเขาเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง รอจนเขาหลับสนิทถึงจะปลดมุ้งลงแล้วเดินออกมา
“มาถึงวันนี้พะย่ะค่ะ” ขันทีพูดต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบรับ กุมมือทำท่าเหมือนอยากพูดแต่ก็เหมือนไม่มีอะไรจะให้พูด รู้สึกถึงเพียงหัวใจที่ปั่นป่วน
ในห้องโถงเงียบสงัด
“องค์ชายรีบอาบน้ำแล้วไปพักผ่อนเถิด” ขันทีพูด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบรับแล้วยกเท้าก้าวเดินไป
ข้าหลวงตักน้ำร้อนขึ้นอย่างระมัดระวัง เทผ่านไหล่กว้างของชายหนุ่มลงไปในอ่างอาบน้ำ
ดูเหมือนจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะหลับตานอน ข้าหลวงก็ยิ่งเทน้ำให้เบาลง
นางกลับมาแล้ว! นางกลับมาแล้ว!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำพร้อมกับเสียงดังน้ำ ข้าหลวงสะดุ้งตกใจ จ้องมองไปยังร่างที่เปลือยของชายหนุ่ม เมื่อได้สติใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นก่อนจะรีบถอยออกไป
มีกฎเกณฑ์มากมายในวังหลวง โดยเฉพาะตำหนักของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ข้าหลวงทั้งหลายแทบจะไม่ค่อยได้เข้าใกล้เขาเลย
พอสัมผัสถึงความหนาวเย็น จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงได้สติ เขานั่งลงไปในน้ำอีกครั้ง ข้าหลวงถึงจะเดินก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่ยื่นมือออกไป จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาก้าวออกจากอ่าง แล้วหยิบผ้าขนหนูด้านข้างมาห่มกายแล้วเดินออกไปด้วยเท้าเปล่า
ยามท้องฟ้าสว่างไสว ประตูห้องของท่านชายฉินสิบสามยังคงปิดแน่น
“ท่านชายยังไม่ตื่นอีกหรือ”
ฮูหยินฉินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเดินเข้ามา
“เมื่อคืนอ่านหนังสือจนดึกเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบตอบ
ฮูหยินฉินขมวดคิ้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกจริงๆ ด้วย” นางเอ่ยพลางมองประตูอย่างครุ่นคิด “ท่านพ่อของเขาพูดถูก”
การอ่านหนังสือจนดึกไม่ใช่นิสัยของท่านชายฉินสิบสาม
“ใครก็ได้มานี่ที ใครก็ได้มานี่ที เมื่อวานใครติดตามท่านชาย”
พอได้ยินท่านแม่พูดคุยกับสาวใช้และเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไป ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ด้านในก็พลิกตัวนอนราบบนเตียง ผมสยายเต็มหมอน ขาข้างหนึ่งวางพาดบนเข่า มองไปที่ยอดมุ้ง มือข้างหนึ่งโบกพัด ไม่อยากลุกจากเตียง
วันนี้ข้าทำอะไรดีนะ
การบ้านจะละเลยไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ละเลยอะไรนี่ เขาไม่ใช่พวกหัวช้าเสียหน่อย
จะไปหาสหายหรือ ก็ไม่เห็นมีอะไรให้น่าไปหา น่าเบื่อมากนัก เพราะเอาแต่พูดคุยซุบซิบนินทาและถกเรื่องการเมือง
ดีดพิณยิงธนูก็ร้อน ไม่อยากขยับตัว
ท่านชายฉินสิบสามโบกพัดในมือไปมา พลิกตัวเข้าฝาอีกครั้งแล้วใช้พัดปิดใบหน้า
นอนดีกว่า
ทว่าเสียงฝีเท้าข้างนอกประตูที่เคยเงียบสงบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คงนอนไม่ได้แล้ว ท่านแม่เรียกบ่าวไปถามความ ก็คงรู้แจ้งแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าคิดว่าจะได้สงบสุข
ประตูถูกเคาะดังคาด
ท่านชายฉินสิบสามยังคงเอาพัดปิดหน้า ยื้อเวลาให้เงียบสงบได้อีกสักหน่อยก็ยังดี ความคิดเพิ่งจะผุดขึ้น ประตูก็ถูกเตะออก
ท่านแม่ไม่น่าตื่นเต้นถึงเพียงนี้หรอกกระมัง ท่านชายฉินสิบสามตกใจ ลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่ประตูอย่างตกตะลึง
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหันหลังให้กับแสงแดดจ้า ภาพจึงดูพร่ามัว ก่อนจะปรากฏร่างหนากำยำ
“นี่ ตะวันโด่งแล้ว เจ้ายังนอนอยู่อีก จอหงวนทำนิสัยเช่นนี้กันหรือ” ท่านชายโจวหกกอดอก เชิดคางขึ้น มองดูชายหนุ่มที่สวมเสื้อไหมสีเขียวผมกระเซิงอยู่บนเตียงด้วยท่าทางรังเกียจ
ไม่มีคำพูดเจ็บแสบใดตอบกลับ ภายในห้องก็เงียบสงบ
ท่านชายโจวหกก้าวเข้าไปใกล้พลางมองหน้าเขา
“นี่ เจ้าไม่ได้อ่านหนังสือจนเพี้ยนไปแล้วหรอกนะ” เขาพูดพลางเอื้อมมือไปกดหัวของท่านชายฉินสิบสาม “บ้าไปแล้วรึ บ้าไปแล้วรึ”
ท่านชายฉินสิบสามยื่นมือออกมาปัด
“ไป ไป ไปให้พ้น” เขาพูดอย่างฉุนเฉียว “ไร้มารยาท บุกเข้าห้องนอนคนอื่นอย่างนี้ได้อย่างไร ไปอยู่ต่างถิ่นกลับมาก็ยิ่งป่าเถื่อนกว่าเดิมอีกนะ”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุย เอื้อมมือไปผลักหัวเขาอีกครั้ง
“ยังจะมาหาว่าข่าไร้มารยาทอีก เจ้าเปลือยทั้งตัว ข้าก็เคยเห็นมาแล้ว ยังจะมาสนใจเรื่องพวกนี้อีก…” เขาพูดพร้อมส่งเสียงเดาะลิ้น มองไปยังท่านชายฉินสิบสามแล้วมองมาที่ตัวเอง เสื้อคลุมผ้าลินินสีคราม รองเท้าผ้าสีเขียว เข็มขัดสีเรียบ ดูสะอาดตา และสง่างาม
เขากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่และชี้มาที่ตัวเอง
“ดูข้า ดูข้าสิ แล้วดูเจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าปล่อยตัวเช่นนี้ เจ้านี่ยิ่งโตยิ่งน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ…”
ก่อนที่เสียงหัวเราะจะหยุดลง ท่านชายฉินสิบสามก็กระโดดขึ้น ยื่นมือต่อยออกไปที่เขา
ความแรงของหมัดนี้ไม่น้อยเลย ท่านชายโจวหกถดตัวถอยหลังไปหลายก้าว
“เอาล่ะ แขนเล็กๆ นี่มีพลังไม่น้อย…” เขายังคงหัวเราะไม่หยุด
ท่านชายฉินสิบสามยกมือชกไปอีกครั้ง
“หากเจ้ายังออกหมัดอีก ข้าจะสู้กลับแล้วนะ…”
“ตอนนี้ข้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว…หมัดข้าหนักนัก… ออกหมัดก็ต้องได้เห็นเลือด…”
“เจ้าบาดเจ็บก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน…”
“…ยังจะตีอีกหรือ ยังจะตีอีกหรือ…ถ้าอย่างนั้นข้าจะสู้กลับจริงๆ แล้วนะ…”
เสียงตะโกนลั่นห้องตามมาด้วยเสียงปะทะดังกึกก้อง สาวใช้ที่อยู่ตรงระเบียงทางเดินเหลือบมอง ก่อนจะยิ้มแล้วหันหลังกลับไป
ชายหนุ่มสองคนล้มลุกคลุกคลานเหนื่อยหอบอยู่บนพื้น ท่านชายโจวหกไม่ลืมที่จะเตะเขาอีกครั้งในตอนท้าย
“ฝีมือไม่เลว แหย่เจ้านิดหน่อยจะเป็นอะไรไป เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
ท่านชายฉินสิบสามเตะเขาคืนอย่างไม่เกรงใจ
ทั้งสองนอนราบอยู่บนพื้น เตะกันไปมาอีกหนึ่งชุด
“พอ พอ พอแล้ว ข้าบาดเจ็บจากสนามรบมา” ท่านชายโจวหกตะโกน
ท่านชายฉินสิบสามถุยใส่แล้วเตะต่อ
“ฝีมือไม่เลว ถือว่าใช้ได้ ได้รับบาดเจ็บรู้จักเขียนจดหมายมาหาข้า แต่ตอนกลับมาเหตุใดถึงไม่รู้จักเขียนจดหมายมาบอกกันล่วงหน้า” เขาตะโกน “ไปเรียนวิชามารยาพวกนี้มาจากไหน”
ท่านชายโจวหกหัวเราะลั่น
“เป็นอย่างไรบ้าง ตกใจหรือไม่” เขานอนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายฉินสิบสามเตะไปที่ใบหน้าของเขา
จู่ๆ ก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นภายในห้อง
“หน้าข้า! ไอ้เป๋ ตายซะเถอะ”