พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 419 เหตุใดต้องกลัว (1)
ไม่นานหมอหลวงหลี่ขอตัวลา
“องค์ชาย จะพาชิ่งอ๋องไปรักษากับแม่นางเฉิงอีกสักหนไหมพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
“นางไม่ใช่หมอเสียหน่อย” เขาเอ่ย
ขันทีเงียบไปครู่หนึ่ง
“แต่นางกลับมาคราวนี้ดูท่าทางไม่ค่อยดีนัก” เขาเอ่ยกระซิบ “บางครั้งนางก็ช่วยชีวิตคน แต่การช่วยชีวิตคนบางครั้งก็…”
“เรื่องที่ข้าไม่ได้ถาม เจ้าก็ไม่ต้องตอบ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขัดคำพูดของเขา
ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง แสงส่องสว่างใบหน้าซีกหนึ่ง ส่วนอีกซีกหนึ่งอยู่ในเงามืด ใบหน้านั้นช่างเย็นชา
ขันทีก้มหน้าขานรับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปที่ระเบียง มองดูเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าตำหนัก
“ลิ่วเกอร์” เขาพูดขึ้นแล้วตรงไปหาเด็กน้อยบนลานกว้างก่อนจะปรบมือ “มา พี่จะพาเจ้าไปเตะชู่จวี ”
แสงอาทิตย์ส่องผ่านผืนผ้าใบตกกระทบบนใบหน้า แม้จะหลับตาแต่ก็ยังรู้แสบตา เสียงพูดข้างหูก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
“นายใหญ่ ไปตามหมอเถิด…”
“จะไปตามหมอทำไม ก็แค่ดื่มหนักไปหน่อย…”
“จะรู้ได้อย่างไรว่าเพราะดื่มหนักหรือว่าถูกวางยากันแน่ นายใหญ่ จะไว้ใจหญิงผู้นั้นได้อย่างไร…”
“หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเกิดไปเสีย…”
“ท่านดูสิ ท่านเองก็ไม่มั่นใจใช่ไหม ท่านแค่กลัวนาง หากนางทำร้ายชายหก ท่านก็ไม่กล้ากล่าวโทษนางใช่หรือไม่”
เสียงร้องไห้ของฮูหยินดังขึ้นจากนอกประตู แทรกด้วยเสียงตวาดของนายใหญ่โจว
“ท่านแม่”
ท่านชายโจวหกพลิกตัวลุกนั่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร พวกท่านหยุดทะเลาะกันได้แล้ว ข้าอยากนอนอย่างสงบสักพัก”
เสียงร้องไห้หน้าประตูหยุดลงแทนทีด้วยความดีใจ
“ชายหก เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ” ฮูหยินโจวถามจากนอกประตู
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ขอรับ ข้าตื่นแล้ว” ท่านชายโจวหกตอบ
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” ฮูหยินโจวเอ่ย
นางเอ่ยกำชับอยู่หลายหนกว่าจะเดินจากไป ด้านนอกประตูกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
“ยามนี้ข้ายิ่งรู้สึกว่านางน่าสงสารนัก ญาติพี่น้องที่ไม่รู้จักนางก็ดูถูกนาง รังเกียจนาง ส่วนคนที่รู้จักก็หวาดกลัวนาง หลบเลี่ยงนาง ไม่มีผู้ใดเหลียวแลหรือเห็นใจนางเลยสักคน…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรืออย่างไร” ท่านชายโจวหกเอ่ยแล้วหันไปมองเขา “ข้าอยากนอนเงียบๆ คนเดียวสักพัก”
“ข้าเข้าใจ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย มือหนึ่งคลำลูกประคำเล่นทว่ายังพูดต่อ “สิ่งนี้ได้มาจากคนต่างถิ่นหรือ เขี้ยวหมาป่าสินะ สวยดีนี่”
“หากเจ้าว่าสวยก็เอาไปสิ” ท่านชายโจวกหกเอ่ยก่อนหันกลับไปล้มตัวนอน
“ชายอย่างข้าจะใส่ของแบบนี้ไปทำไม” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วโยนลูกประคำเขี้ยวหมาป่าใส่หน้าท่านชายโจวหก “จะว่าไป หญิงสาวก็ไม่ค่อยนิยมใส่นัก”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะหยิบมาสวมข้อมือของตนแล้วพลิกตัวเข้ากำแพง
“นี่ วันก่อนพวกเราตกลงกันว่าอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงดื่มจนเมาเช่นนี้ เหตุใดนางถึงได้เลี้ยงเหล้าเจ้าได้” ท่านชายฉินสิบสามถามด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นมือไปผลักตัวเขา
ท่านชายโจวหกพลิกตัวกลับมาลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง
“อีกไม่ถึงหกเดือนก็สอบแล้ว เจ้ากลับไปตั้งใจอ่านหนังสือสักทีได้หรือไม่” เขาเอ่ย “หากเจ้าสอบไม่ติดขึ้นมา เจ้าว่าข้าจะปลอบใจหรือหัวเราะเยาะเจ้า”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะก่อนจะลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป
“ไม่อยากบอกก็ช่างเถิด อย่างไรเสียในสายตานาง เจ้าก็ทำแต่เรื่องขายหน้าอยู่แล้ว ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
เสียงตึงตังดังขึ้น หัวสิงห์กระแทกเข้ากับประตูก่อนจะร่วงลงมา
ท่านชายฉินสิบสามชะโงกหน้าเข้ามาจากนอกประตู
“ทำอย่างกับเจ้าไม่กล้าลงไม้ลงมือกับข้าอย่างนั้น ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร…” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มองดูท่านชายโจวคว้าถ้วยชาข้างกายแล้วง้างแขนขึ้นมา ก่อนเขาจะเดินจากไปด้วยเสียงหัวเราะ
ยามนี้ความสงบถึงได้กลับคืนมาทั้งภายในและภายนอกห้อง ท่านชายโจวหกถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง สายตามองไปข้างนอก เห็นเงาของสาวใช้กำลังเดินเข้ามาหลังฉากกั้น เขาเอื้อมมือออกไปหยิบของใต้หมอนออกมา นั่นคือผ้าเช็ดหน้าสีเรียบผืนหนึ่ง
ผ้าฝ้ายสีขาวล้วน ด้านบนปักอักษรสีแดงเข้มสองตัวว่าไท่ผิง
แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือนาง นางเย็บปักถักร้อยเป็นเสียที่ไหน
ท่านชายโจวหกเม้มปาก เขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าไปอีกทางแล้วพลิกตัวไปอีกฝั่ง ผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็เอื้อมมือออกไปควานหาผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะหยิบมาคลุมหน้าแล้วหลับไป
ส่วนท่านชายฉินสิบสามก็มาเยือนเรือนสะพานอวี้ไต้อีกครั้ง
“ใกล้สอบแล้ว บัณฑิตต่างเมืองก็พากันเดินทางมาแล้ว เหตุใดท่านชายถึงได้ดูเย็นใจนัก” สาวใช้ก็ถามเช่นเดียวกับท่านชายโจวหก
“ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย พลางเดินเข้ามาในลานบ้านก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงเดินออกมา ในมือของปั้นฉินถือหมวกคลุมหน้า “เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“มีเรื่องอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ เรื่องคราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน คราวก่อนเหตุเกิดขึ้นที่เมืองหลวง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับราชสำนัก ส่วนคราวนี้เป็นเรื่องของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ แถมยังเป็นแค่การออกศึก แล้วก็ได้ชัยนะกลับมาด้วย มีทั้งทหารเจ็บทหารตาย ขุนนางน้อยใหญ่ต่างไม่สนใจศึกครั้งนี้ สำหรับราชสำนักแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องเล็กเข้าไปใหญ่ เล็กเสียจนไม่รู้จะเล็กอย่างไร เจ้าลองคิดดูเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ทัพตะวันออกเฉียงเหนียง ขนาดอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองหลงกู่ ยังไม่เป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะถูกขัดขวาง ยิ่งเมืองหลวงก็คงไม่มีผู้ใดสนใจเข้าไปใหญ่…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางมองเฉิงเจียวเหนียง “หากคราวนี้เจ้าเล่นงานซึ่งหน้า เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” นางเอ่ย
“แน่นอน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ช่วยข้าหาสุสานสักแห่งระแวกเมืองหลวงนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สุ…สุสานอย่างนั้นหรือ
ท่านชายฉินสิบสามงุนงง
เมฆครึ้มเข้าปกคลุม ฝนเม็ดใหญ่สาดเทลงมาหลังลมพายุ รถม้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม แม้บ่าวของร้านจะช่วยกางร่มให้ แต่เสื้อผ้าของทุกคนก็ยังคงเปียกฝนอยู่ดี
“ห้องชั้นบน เตรียมต้มน้ำร้อนให้ทุกคนอาบด้วย”
พอได้ยินดังนั้น บ่าวของร้านก็ตกใจไม่น้อย พลางจ้องมองเหล่าลูกค้าใหม่ที่ยืนอยู่กลางโถงอย่างอดไม่ได้
เหล่าทหารหนุ่มมองสำรวจผนังแกะสลักลายดอกบัวของโรงเตี๊ยมด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังมีหญิงสาวหน้าตาแสนธรรมดาที่อุ้มเด็กน้อยไว้ในอก ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบ้านนอกเข้าเมือง
คนแบบนี้หรือจะนอนห้องชั้นบน แถมยังสั่งให้ต้มน้ำให้อาบอีก
บ่าวประจำร้านเบ้ปาก
“เอาเหล้าไปให้บนห้องด้วยหนึ่งไห เหล้าที่ดีที่สุด”
ชายผู้นี้ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มเหล่านั้น ผอมกระหร่อง ท่าทางมอซอ ดูไม่จืดเลยทีเดียว
“มีอะไร” ฟ่านเจียงหลินมองดูบ่าวของร้านที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนแล้วถามขึ้น
“นายท่าน โรงเตี๊ยมของเราจ่ายก่อนเข้าพักขอรับ…” บ่าวผู้นั้นกอดอกพลางเอ่ยด้วยเสียงเกียจคร้าน ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ เงินถุงหนึ่งก็ถูกโยนเข้ามา
บ่าวผู้นั้นว่องไวนักจึงรับได้อย่างพอดิบพอดี เพียงแค่รับมาเขาก็พอจะประมาณได้ว่าเป็นเงินจำนวนเท่าใด
“เชิญนายท่านขึ้นห้องขอรับ ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบไปต้มน้ำที…”
“ให้อาหารม้าด้วย เปลี่ยนเป็นหญ้าและถั่วชั้นดี…”
โรงเตี๊ยมวุ่นวายขึ้นมาท่ามกล่างพายุฝนโหมกระหน่ำ
พอฟ่านเจียงหลินและพวกพ้องขึ้นห้อง ภายในโถงใหญ่จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงฝนที่สาดเทลงมาด้านนอก แขกสามคนที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งลุกยืนขึ้นก่อนจะเดินไปยังประตูหลัง ทอดสายตามองคนที่กลุ่มคนที่เดินขึ้นชั้นบนไปผ่านละอองฝน
“พี่ใหญ่…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปเบ้คางให้คนข้างกัน
สายตาของสองคนที่เหลือมองไปยังกลุ่มคนที่ลานหลังโรงเตี๊ยมกำลังยกกล่องใบใหญ่ขึ้นไปบนห้อง บนกล่องใบใหญ่คลุมด้วยกระดาษไขกันน้ำ คนสองคนกำลังยกกล่องอย่างระมัดระวัง ส่วนด้านข้างก็มีอีกสองคนที่คอยกางร่มให้
ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรต่อ ยืนนิ่งอยู่หลังม่านมองดูกล่องใบใหญ่ถูกยกขึ้นไปบนห้องของชายที่เพิ่งจ่ายเงินเมื่อครู่ ทว่าฝนกลับตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังสายตา