พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 421 คิดมาก
เมื่องานแต่งโคลงกลอนขององค์หญิงป๋อหยางจบลง ข่าวเรื่องฝีมือเขียนอักษรของแม่นางเฉินสิบแปดก็กระจายไปทั่วในทันใด
ทว่าคนตระกูลเฉินกลับรู้ข่าวนี้จากปากของผู้อื่น
เฉินเซ่ามองดูอักษรบนกระดาษที่ถูกส่งให้ แม้แต่คนเป็นพ่อที่เข้มงวดอย่างเขาก็เอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
“ที่แท้สิ่งที่เจ้าเพียรฝึกฝนมาสองปีคือสิ่งนี้หรอกหรือ” เขาเอ่ย
เหล่าลูกสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพากันหัวเราะคิกคัก
“นั่นน่ะสิ นั่นน่ะสิ แต่ก่อนพวกเรายังหัวเราะเยาะแม่นางสิบแปดที่เอาแต่จำศีลอยู่ในเรือน”
“ท่านพ่อคงไม่รู้ แต่ก่อนคนพวกนั้นจ้องจะหัวเราะเยาะแม่นางสิบแปดอยู่ตลอด เยาะเย้ยที่นางแต่งกลอนได้ไม่ดี พวกเราก็อดทนอดกลั้นกันมาตลอด…”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่งกลอนไม่เก่งแล้วอย่างไรเล่า ถึงพวกนางจะแต่งกลอนเก่ง แต่จะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว เทียบกับแม่นางสิบแปดที่ได้รับคำชมว่าสามารถเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินไม่ได้ด้วยซ้ำ…”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ได้เห็นตอนคนพวกนั้นตกใจจนลูกกะตาแทบจะหลุดออกมา!”
เฉินเซ่าสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด
“พวกเจ้าหาชื่อเสียงด้วยวิธีมิชอบ นี่มิใช่วิถีของผู้มีคุณธรรม” เขาเอ่ย
หาชื่อเสียงด้วยวิธีมิชอบอย่างนั้นหรือ! คำพูดนี้รุนแรงเกินไปกระมัง
เสียงหัวเราะของเหล่าลูกสาวภายในห้องเงียบลงในทันที สีหน้าของทุกคนดูร้อนรนนัก
แม่นางเฉินสิบแปดก้มหน้าพลางคำนับก่อนจะขานรับ
“ท่านพ่อ หญิงสิบแปดมิได้ตั้งใจทำเช่นนั้น หากเป็นยามอื่นเขียนไปก็ไม่มีความหมายใช่หรือไม่ มีเพียงงานแต่งโคลงกลอนขององค์หญิงป๋อหยางเท่านั้นที่จะได้แสดงฝีมือ เพราะอย่างนั้นพวกข้าจึงได้ตกลงว่าจะไปด้วยกัน”
“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ พวกข้ามิได้คิดหาชื่อเสียงด้วยวิธีมิชอบ เพียงแต่อยากจะทำให้ทุกคนประหลาดใจก็เท่านั้น”
เหล่าลูกสาวเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
เฉินเซ่าขานตอบในลำคอก่อนจะขมวดคิ้ว
“อย่าได้ประดิดประดอยคำพูด” เขาเอ่ย “ทำผิดก็คือทำผิด”
เหล่าลูกสาวขานรับ ไม่กล้าเอ่ยคำใดต่อ
เฉินเซ่าก้มหน้ามองอักษรในมือ ก่อนจะนึกถึงสิ่งที่ตนได้ถามสาวใช้ของแม่นางเฉินสิบแปดเมื่อครู่ นางเขียนจนพู่กันสึกด้ามแล้วด้ามเล่า เสียกระดาษไปนับไม่ถ้วน ฝึกฝนจนอ่างล้างหมึกกลายเป็นสีดำ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้แม่นางเฉินสิบแปดแทบจะไม่ได้ออกเรือนไปเที่ยวเล่นเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนฉลองปีใหม่ก็ไม่เคยผัดผ่อน แสงตะเกียงในห้องของนางมักจะดับเป็นดวงสุดท้ายเสมอ ขยันหมั่นเพียรเสียยิ่งกว่าเหล่าลูกชายที่ท่องตำราเสียอีก ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมา
คนหนุ่มฮึดสู้เพื่อต้องการให้ผู้คนประหลาดใจอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นสิ่งเย้ายวนที่ยากต้านทานยิ่งนัก หากไม่มีสิ่งเย้ายวนเหล่านั้น ก็คงไม่มีผู้ใดอดทนเพียรพยายามฝึกฝนได้ขนาดนี้หรอก
จะว่าไปก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
“เจ้าฝึกเขียนอักษรเพื่อให้ผู้คนทึ่งในตัวเจ้าอย่างนั้นหรือ” เฉิงเซ่าเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหน้า
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ เขาฝึกเขียนอักษรเพราะใจรัก” นางเอ่ย “เพราะใจรักจึงอยากทำให้ดี มิใช่เพื่อผู้ใด แต่ทำเพื่อตนเอง เพื่อสนองจิตใจของตนเอง”
เฉินเซ่าพยักหน้า สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงมากขึ้นเรื่อยๆ
“วันหน้าก็อย่าได้เกียจคร้าน” เขาเอ่ย
ท่านพ่อไม่ได้โมโหอีกต่อไป บรรยากาศภายในห้องจึงผ่อนคลายขึ้นมา
“อีกอย่าง องค์หญิงป๋อหยางจะถวายงานเขียนอักษรของเจ้าให้แก่ฝ่าบาทในงานฉลองวันเกิด เจ้าต้องเขียนใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ต้องเขียนกลอน คัดพระไตรปิฎกก็พอ” เฉินเซ่าพูดต่อ
เมื่อคำนั้นเอ่ยออกมาเหล่าลูกสาวก็ยิ้มในทันที
“ท่านพ่อ ท่านกล่าวหาว่าพวกข้าแต่งกลอนไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
“ข้ายังต้องกล่าวหาอีกหรือ พวกเจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือไร”
“ท่านพ่อลำเอียงยิ่งนัก!”
“พวกเข้าเริ่มรู้สึกเสียดายแล้วล่ะ เดิมทีพวกเข้าเรียนหนังสือเก่งที่สุดในตระกูล แต่ยามนี้ถูกแม่นางสิบแปดแย่งตำแหน่งไปเสียแล้ว!”
พอได้ยินคำพูดตลกขบขันภายในห้อง ฮูหยินเฉินที่เดินเข้ามาจากด้านนอกก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
น้อยนักที่จะได้เห็นพ่อและเหล่าลูกสาวพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายเช่นนี้
เมื่อฮูหยินเฉินเดินเข้ามาเห็นอักษรที่แม่นางเฉินสิบแปดเขียนก็เอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้ จากนั้นบรรดาลูกสาวก็ขอตัวลา
“คราวก่อนท่านบอกว่าแม่นางเฉิงกลับมาเมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่เห็นมาเยี่ยมเยียนท่านเลย ให้คนไปถามไถ่ดูดีหรือไม่”
แม่นางเฉินสิบแปดที่ก้าวออกประตูไปหยุดชะงักในทันใด นางเหลียวกลับมาด้วยความตกใจ
“ยังหรอก หลายวันก่อนข้าไปถามมาแล้ว นางไม่ได้อยู่ที่เรือน” เฉินเซ่าเอ่ย
“ยังไม่กลับมาหรือ ผ่านมาปีกว่าแล้วก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเลย นี่ก็นานมากแล้ว ข้าเกือบลืมไปแล้วว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร” ฮูหยินเฉินเอ่ยตัดพ้อ
“แม่นางสิบแปด”
เหล่าพี่น้องเอ่ยเรียกนาง
แม่นางเฉินสิบแปดได้สติกลับมาก็ขานตอบในทันใด ก่อนจะยิ้มแล้วเดินตามไป จนเสียงพูดคุยของท่านพ่อและท่านแม่ภายในห้องก็ค่อยๆ ไกลออกไป
“นางไม่ได้ส่งจดหมายมาเลยหรือ” เฉินเซ่าถามอีกครั้ง
ฮูหยินเฉินส่ายหน้า
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” นางถาม
“เจ้ายังจำทหารหนีทัพที่ถูกจับที่ร้านของนางได้หรือไม่” เฉินเซ่าถาม
ฮูหยินเฉินพยักหน้า
แน่นอนว่าจำได้ แม้จะเป็นทหารหนีทัพที่ไม่อยู่ในสายตาของผู้ใด แต่สุดท้ายกลับเกี่ยวพันกับกิจการทหารของทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ทั้งยังทำให้แผนการของสามีตนต้องพลิกผัน จนเฉินเซ่าเองก็หงุดหงิดอยู่นานพอสมควร
“พวกเขาตายในสงครามไปห้าคน” เฉินเซ่าเอ่ย
ฮูหยินเฉินตกใจเป็นอย่างมาก
“เช่น…เช่นนั้นแม่นางเฉิงคงทุกข์ใจน่าดู” นางเอ่ยอย่างสงสาร
เพื่อช่วยเหลือพวกเขาทั้งห้าคนในตอนนั้น แม่นางเฉินเองก็ลำบากไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าห่วงใยมากเพียงใด
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตั้งแต่โบราณกาลมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาจากสงครามได้บ้าง กองโครงกระดูกริมแม่น้ำอันน่าสลดนั้น ไม่รู้ว่าเป็นสามีของผู้ใดบ้าง วินาทีที่ส่งพวกเขาเข้าสู่สนามรบ ในใจของทุกคนย่อมรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
ทว่าทันใดนั้นฮูหยินเฉินก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
สงครามแถบตะวันตกเฉียงเหนือเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า คนเจ็บคนตายนับไม่ถ้วน แม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้าโศกเพียงใด แต่สำหรับราชสำนักแล้วเป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีใครใส่ใจ อย่างมากก็คงรายงานว่ามีคนเจ็บคนตายเท่าไหร่ หากไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ก็คงไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อ แต่เหตุใดเฉินเซ่าถึงได้รู้ข่าวคราวของทหารผู้น้อยเหล่านั้นได้
“ดูเหมือนว่าหลังจากที่พวกเขาตายไปแล้วจะมีข้อพิพาทกัน” เฉินเซ่าเอ่ย “ขัดแย้งกันเรื่องความดีความชอบน่ะ”
เหล่าแม่ทัพขุนนางชิงดีชิงเด่นกันใช่ว่าจะไม่มี แต่เรื่องแย่งความดีความชอบของทหารผู้น้อยที่ตายไปแล้วนั้น นางก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“นางจะมาพูดคุยเรื่องนี้กับท่านหรือไม่” ฮูหยินเฉินถาม
“ข้าก็ไม่รู้” เฉินเซ่าส่ายหน้าพลางเอ่ย
เดิมทีเขาไม่ควรรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่มีผู้ใดรายงานหรอก เพียงแต่โจวเฟิ่งเสียงคงจำได้ว่าเขาเคยเอ่ยถึงทหารหนีทัพเหล่านี้ จึงได้ส่งข่าวนี้ให้แก่เขาทางจดหมายเป็นการส่วนตัว
หากจะให้เขาช่วยทวงคืนความดีความชอบให้แก่ทหารผู้น้อยเหล่านั้นในการประชุมราชสำนัก เขาเองก็คงทำไม่ได้ หากเขาเอ่ยปากออกไป เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเล็กอย่างทหารผู้น้อยที่ถูกแย่งความดีความชอบนี่สิ
ยิ่งไปกว่านั้น ศึกคราวนี้ก็คว้าชัยกลับมา ฮ่องเต้เองก็เฝ้ารอมานานทั้งยังดีใจยิ่งนักที่รู้ข่าวว่าชนะศึกใหญ่ครั้งนี้
หากพูดเรื่องนี้ออกไปตอนนี้ อาจจะทำให้เรื่องน่ายินดีกลายเป็นเรื่องน่ายินดีไปเสีย นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะบุ่มบ่ามทำได้ เพราะมีคนที่พัวพันด้วยมากมาย
หากแม่นางเฉิงมาหาเขาจริง เกรงว่าคำตอบของเขาจะทำให้นางไม่พอใจอีกครั้ง
มานึกดูแล้วก็แปลกอยู่เหมือนกัน หลังจากที่นางช่วยชีวิตท่านพ่อของเขาไว้และจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางแล้ว ดูเหมือนว่าไม่ว่าเรื่องใดพวกเขาก็มันจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเสมอ
“นายใหญ่ ท่านคิดมากไปหรือเปล่า” ฮูหยินเฉินเอ่ยเสียงอ่อนหวาน มองดูสามีที่ขมวดคิ้วแน่น “เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ พูดกันตามตรงคนที่ตายในศึกสงครามล้วนแต่มีความดีความชอบกันทุกคน แต่จะให้ทุกคนเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร เสียใจก็ส่วนเสียใจ ทุกข์ใจก็ส่วนทุกข์ใจ ข้าคิดว่าแม่นางเฉิงคงไม่ทำอะไรไร้เหตุผลเช่นนั้นหรอก”
เฉินเซ่าส่ายหน้า
“ผู้ใดจะรู้ได้กัน แม่นางเฉินผู้นี้มักทำอะไรให้ประหลาดใจอยู่เสมอ” เขาเอ่ย
ฮูหยินเฉินหัวเราะ
“ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าท่านคิดมากเกินไป นางเป็นเพียงแค่หญิงสาวนางหนึ่ง จะทำอันใดได้เล่า” นางเอ่ย
พอเห็นว่าเฉินเซ่าจะเอ่ยปากพูด นางจึงรีบพูดต่อ
“ข้ารู้ว่าท่านจะพูดถึงเรื่องทหารหนีทัพพวกนั้น คดีของทหารหนีทัพพวกนั้นก็แค่เหตุบังเอิญ นางจะช่วยเหลือคนก็ย่อมช่วยอย่างสุดกำลัง นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าจางเจียงโจวจะทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตขนาดนั้น”
ไม่ใช่แค่คดีทหารหนีทัพ แต่ฆ่าคนหรือเผาบ้านเผาเรือน นางเองก็ทำมาแล้วทั้งนั้น…
เฉินเซ่าส่ายหน้า ถึงอย่างไรในใจเขาก็รู้สึกว้าวุ่นอยู่ดี
คราวนี้แม่นางผู้นั้นจะไม่ก่อเรื่องใหญ่จริงหรือ
ขณะเดียวกันนายใหญ่โจวก็กำลังสืบถามเรื่องนี้จากท่านชายโจวหกอยู่เช่นกัน
“นางได้บอกกับเจ้าหรือไม่ว่านางจะทำเช่นไรต่อ” เขาถามอย่างรนร้อน “เหตุใดถึงได้ออกเดินทางอีกแล้ว”
“ไม่น่าจะทำอะไรต่อขอรับ” ท่านชายโจวหกตอบอย่างหงุดหงิด
“จะไม่ทำอะไรต่อได้เช่นไร” นายใหญ่โจวเดินวนไปมาสีหน้าเป็นกังวล “หากไม่ทำอะไรเลย สิ่งที่เจ้าทำเพื่อนางยามอยู่ที่ทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ไม่เท่ากับสูญเปล่าหรือ”
“ท่านพ่อ สิ่งที่ข้าทำไป เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับผู้ใด และไม่ได้ทำเพื่อผู้ใด” ท่านชายโจวหกถลึงตาเอ่ย
“ไม่ว่าจะทำเพื่อนางหรือทำเพื่อตัวเจ้าเอง แต่เจ้าได้สร้างศัตรูแล้ว” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางถลึงตากลับ “ในเมื่อสร้างศัตรูไปแล้ว ก็ต้องถอนรากถอนโคกศัตรูให้สิ้นซาก หากเจ้าไม่ลงมือ อีกฝ่ายก็ลงมืออยู่ดี จะไม่ทำอะไรเลยราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นได้อย่างไร”
ถอนรากถอนโคนอย่างนั้นหรือ
ท่านชายโจวหกทอดถอนใจ
“นางให้เจ้าช่วยอะไรหรือไม่” นายใหญ่โจวกลับมาซักไซ้คำถามเดิมอีกครั้ง
“ไม่มีขอรับ ข้ายังไม่ได้พบนางด้วยซ้ำ… หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย” ท่านชายโจวหก ตอบน้ำเสียงงุ่นง่าน
“น้องสาวเจ้าไหว้วานให้เจ้าเด็กตระกูลฉินหาซื้อที่ดินสร้างสุสาน แต่เจ้ากลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่โจวเบิกตาโพลงถาม
เรื่องนี้เองเขาก็อยากรู้เหมือนกัน!
ท่านชายโจวหกกระเด้งตัวลุกยืนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ว่าแต่น้องสาวเจ้าไปไหนกันแน่” นายใหญ่โจวถามอีกครั้ง
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“อะไรก็ไม่รู้สักอย่าง คนไม่รู้คงคิดว่าเจ้าเป็นคนอื่นคนไกล แล้วคงคิดว่าเจ้าเป๋ตระกูลฉินนั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนางไปแล้วกระมัง”
เสียงของนายใหญ่โจวที่ดังไล่หลัง ทำให้ท่านชายโจวหกเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้น
หญิงนางนี้ช่างน่ารำคาญนัก!
เขาไม่สนหรอกว่านางจะทำอะไร! ไม่สนด้วยว่านางจะไปที่ไหน! แล้วก็จะไม่ถามเจ้าสิบสามด้วย!
ฝนสาดเทลงมาตั้งแต่ยามเช้าตรู่ พอถึงยามบ่ายก็เริ่มตกหนักยิ่งขึ้น แอ่งน้ำบนถนนหินสาดกระเซ็น บนถนนสายหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างจากเมืองหลวงออกไปกว่าสิบลี้ มีคนผู้หนึ่งกำลังเดินอย่างรีบเร่ง ก่อนจะหยุดลงที่หน้าร้านค้าหน้าตาแสนธรรมดา
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ ซื้อเหล้าหน่อย” คนผู้นั้นเดินเข้ามาในร้านพลางปลดหมวกฟางออกแล้วตะโกนดังลั่น
ชายหนุ่มร่างผอมกระหร่องคนหนึ่งเดินออกมาแล้วโบกมือให้
“หมดแล้ว หมดแล้ว ไปร้านอื่นเถิด” เขาเอ่ย
ชายผู้มาเยือนตกใจไม่น้อย
“ลู่เหล่าซื่อ โรงเหล้าของเจ้าขายไม่ออกจนต้องเปลี่ยนมือแล้วหรือ ยังไม่ถึงเวลาเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่ดองเหล้าแล้วเล่า” เขาถาม
ลู่เหล่าซื่อถุยออกมา
“อยู่ๆ ก็มาแช่งกันให้เจ๊งเสียอย่างนั้น เหล้าร้านข้าขายดีจะตายไป” เขาเอ่ย “ไม่ใช่ว่าไม่ดองเหล้า แต่ขายหมดแล้วต่างหาก”
ขายหมดแล้วอย่างนั้นหรือ
“เหล้าในโรงเหล้าของเจ้าขายหมดได้ด้วยหรือ” ผู้มาเยือนตกใจเข้าไปใหญ่
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก ในเมืองหลวงมีเหล่าชั้นดีมากมาย โรงเหล้าเล็กๆ อย่างลู่เหล่าซื่อ คุณภาพเทียบไม่ได้เลยกับเหล้าของร้านดัง ราคาก็ถูกกว่าเหล้าของทางการไม่เท่าไหร่ ภาษีอากรเองก็ไม่ใช่ถูกๆ ทำให้ค้าขายไม่ดีนัก ส่วนใหญ่ก็ขายให้กับชาวบ้านยากจนในระแวกนี้ บ่อยครั้งที่แทบจะซื้อครึ่งหนึ่งแถมครึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ แถมเขายังเคยเอ่ยปากว่าจะปิดร้านตั้งแต่เมื่อปีก่อนแล้ว
“ไม่ใช่ขายหมดแค่เท่าที่มีในตอนนี้ ของอีกสิบวันข้างหน้าก็ขายหมดแล้วเช่นกัน” ลู่เหล่าซื่อเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
ผู้มาเยือนมองเขาราวกับกำลังมองคนบ้า คงอยากรวยจนฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง
“บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเหล้าร้านข้าไม่ผสมน้ำ ได้รสชาติแท้ เจ้าพวกไม่รู้จักของดี วันนี้อยากกินก็ไม่มีให้กินแล้วล่ะ” ลู่เหล่าซื่อมองดูคนผู้นั้นเดินจากไป ก็พูดขึ้นด้วยความลำพองใจอย่างอดไม่ได้
ไม่นานคนผู้นั้นก็กลับมาเดินท่ามกลางสายฝนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่หรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีคนเดินออกมาจากอีกฝั่ง ก็เห็นเป็นชายสองคนที่สวมชุดกันฝนผ้าน้ำมันคลุมอยู่บนบ่าพร้อมกับงอบฟาง
“เถ้าแก่ เตรียมเหล้าไว้เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” พวกเขาเอ่ยถาม
พอเห็นพวกเขาทั้งสอง ลู่เหล่าซื่อก็ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้เบ่งบาน
“เรียบร้อยแล้ว เรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าเท้าสะเอว ก่อนจะเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอก นอกจากเสียงของสายฝนแล้ว ยังมีเสียงรถม้าเคลื่อนมาจอดอยู่ที่หน้าประตู เขารีบเดินไปหน้าร้านในทันที “แม่นาง เชิญขอรับ”
เขาก้มหน้าจึงเห็นเพียงชายกระโปรงของหญิงเดินผ่านหน้าไป รอให้คนอื่นๆ เดินตามติดไปจนหมด ลู่เหล่าซื่อถึงจะกล้าเงยหน้าขึ้น มองดูแผ่นหลังของหญิงสาวที่ถือร่มกระดาษไขอยู่ในมือกำลังมุ่งหน้าไปยังลานท้ายเรือน
แม่นางจากตระกูลใดกันหนอ เหตุใดถึงได้ชอบดื่มเหล้าถึงเพียงนี้ ถึงขนาดเหมาโรงบ่มแห่งนี้รวมถึงเหล้าทั้งหมด เพียงเพื่อความบันเทิงใจ