พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 422 ถือโอกาส
“เจ้าจะบอกว่า นายตรวจหลูไปสืบเรื่องกองทัพตะวันตกเฉียงเหนืออย่างนั้นหรือ”
ณ ห้องโถงศาลาว่าการ เกาหลิงปอเอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังวางถ้วยน้ำชาในมือลง
ขุนนางในชุดคลุมยาวพยักหน้าตอบรับคำถามเมื่อครู่
“ผู้ใดกันที่ถาม นายตรวจหลู หรือว่าเฉินเซ่า”เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้าได้ยินมาว่า โจวเฟิ่งเสียงกับเฉินต้าเซินกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง” ขุนนางชุดคลุมยาวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
สองปีมาแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่ถูกแต่งตั้ง แต่ด้วยหน้าที่การงานของเกาหลิงปอที่นับวันยิ่งไต่ระดับขึ้น ส่งผลให้เขามีส่วนแบ่งในราชวงศ์มากขึ้น และเชื่อว่าในอีกไม่ช้า เจียงเหวินหยวนก็จะสามารถคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าหากเขาได้แต่งตั้งแล้ว โจวเฟิ่งเสียงที่ได้ตำแหน่งมาอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรมก็คงต้องถูกเขี่ยทิ้ง ไม่แปลกใจเลยที่เฉินเซ่ามีท่าทีร้อนรนนัก เพราะสองปีที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าพวกนั้นคิดที่จะเล่นตุกติกสินะ” เกาหลิงปอเอ่ยอย่างสบประมาท “คงไม่โง่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ทำอย่างนั้นเท่ากับหักหน้าฝ่าบาทชัดๆ ”
“เฉินต้าเซินกับผู้ตรวจการโจวมีความลับอะไรกัน พวกขุนนางชั้นล่างมิอาจล่วงรู้ได้ขอรับ” ขุนนางในชุดคลุมยาวกล่าว “แต่ถ้าเป็นเรื่องของนายตรวจหลู ยังพอรู้บ้างขอรับ”
“ว่าอย่างไรบ้าง” เกาหลิงปอสงสัย
“ดูเหมือนว่า เขาจะถามถึงเรื่องในเหตุการณ์สู้รบครั้งนั้นว่า มีผู้ใดแสดงพฤติกรรมอันมิสมควรหรือไม่ขอรับ” ขุนนางในชุดคลุมยาวตอบ
…
นายตรวจหลูที่กำลังเดินเข้าไปในตำหนักค่อยๆ เงยหน้ามองไปรอบๆ ก็เห็นฮ่องเต้ที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าแลดูหมองหม่น นายตรวจหลูเริ่มสังเกตท่าทางขุนนางที่อยู่รอบๆ บ้างก็ทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม บ้างก็ทำหน้าตาเฉยเมย มองปราบเดียวก็รู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
“…มีเสียงลือมาว่า ทหารในกองทัพตะวันตกขุ่นเคืองกับการตัดสินใจของข้าอย่างนั้นหรือ”เสียงฮ่องเต้ดังขึ้น
ใจของนายตรวจหลูหล่นดังตุบ เมื่อได้สติจึงหันไปมองที่เฉินเซ่า
สีหน้าของเฉินเซ่าไร้ความรู้สึก
“เจียงเหวินหยวนและพรรคพวกปฏิเสธรางวัลในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวว่า ชัยชนะที่หลงกู่นั้นเกิดขึ้นได้เพราะความแข็งแกร่งของเหล่าทหารและกองทัพ พวกเขาเป็นเพียงแค่ทหารทั่วไป มิได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับชัยชนะครั้งนี้ ดังนั้น จึงมิบังอาจใฝ่สูงขอรับรางวัลจากองค์จักรพรรดิ์ ทั้งยังเกรงว่าอาจทำให้ทหารนายอื่นเกิดความไม่พอใจ” ฮ่องเต้อธิบาย พลางใช้สายตาอันเยือกเย็นมองไปยังนายตรวจหลู ที่กำลังถวายบังคมอยู่ตรงนั้น “หลูซืออัน เจ้าคิดว่าใครกันที่ไม่พอใจเรา”
นายตรวจหลูเริ่มเหงื่อตก เขาไม่อยากจะตอบคำถามของฮ่องเต้เอาเสียเลย แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
“ฝ่าบาท ไม่มีใครไม่พอใจพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาได้รับชัยชนะภายใต้บัญชาของแม่ทัพ คู่ควรแก่การได้รับรางวัลพ่ะย่ะค่ะ”
“หรือว่าเจ้าเองที่ไม่พอใจ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
นายตรวจหลูรีบคำนับอย่างลุกลี้ลุกลน
“ข้าน้อยมิบังอาจ มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” นายตรวจหลูรีบตอบอย่างลนลาน
“ฝ่าบาท” เฉินเซ่าเอ่ยขึ้นกะทันหัน “เจียงเหวินหยวนเมินเฉยต่อคำสั่งของฝ่าบาท แสดงพฤติกรรมราวกับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรื่องที่เกิดขึ้น อาจเป็นไปได้ว่ามีลับลมคมในพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องเช่นนี้ ถ้าเป็นพวกขุนนางทั่วไป คงไม่ถึงกับให้ฮ่องเต้ออกโรงตำหนิ แค่อ้อนวอนคุกเข่านิดหน่อยเรื่องก็คงผ่านไป
แต่เรื่องนี้ มีเจียงเหวินหยวนและพวกเข้ามาเอี่ยว เจียงเหวินหยวนคือคนที่ฮ่องเต้เพิ่งจะออกปากชมหลังจากที่ชนะศึกสงครามครั้งใหญ่ พวกเขาสามารถโจรตะวันตกได้ ช่างเป็นการอุทิศตนที่น่ายกย่องยิ่งนัก
ฮ่องเต้เริ่มหน้าเปลี่ยนสี
ยิ่งเป็นคำพูดของเฉินเซ่าแล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่านายตรวจหลูคือคนของเฉินเซ่า และเรื่องราวที่ฮ่องเต้ได้ฟังมานั้น ก็เป็นฝีมือนายตรวจหลูที่ไปสืบเสาะมา อย่างไรก็ตาม ขุนนางทุกคนต่างพอเดาได้ว่านี่เป็นแผนของเฉินเซ่า เพียงแต่ว่ายังหาหลักฐานพิสูจน์ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเฉินเซ่าแก้ต่างอะไรออกมาก็คงเป็นการพูดเข้าตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้น การที่เขามีท่าทีเมินเฉย ก็เพื่อไม่ให้เกิดความน่าสงสัย
เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้น คงทำให้เขาเป็นที่จดจำของฮ่องเต้อยู่บ้าง
ท่าทางอันนิ่งเฉยของเฉินเซ่าเช่นนี้ เป็นภาพที่เกาหลิงปอไม่เคยเห็นมาก่อน จึงกระตุกมุมปากยิ้มอย่างอดไม่ได้
“ฝ่าบาท มีเหตุผลอันใดที่จะไม่ตบรางวัลให้พวกเขาพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่เฉินเซ่ากำลังเอ่ยถามฮ่องเต้อยู่นั้น นายตรวจหลูได้ยินเข้าจึงกัดฟันรีบแย้งกะทันหัน “ฝ่าบาท การกระทำของข้าไม่เหมาะสมยิ่งหนัก โปรดอภัยข้าด้วย ดังนั้น ข้าจะรีบนำรางวัลไปมอบให้แก่ท่านเจียงและพรรคพวกด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
นายตรวจหลูออกตัวจนได้กลิ่นพิรุธ!
ฮ่องเต้ฉีกยิ้มอย่างเย็นชา
เห็นแล้วหรือไม่ อย่างนี้สิถึงเรียกว่าปั้นน้ำให้เป็นตัว ถ้าพวกเขาอยากได้เกียรติได้ยศก็จงให้ไปเสีย แล้วให้เจ้าตัวเข้ามาเอ่ยปากเอง คิดว่าราชสำนักจะสนใจเรื่องเช่นนี้หรืออย่างไรกันนะ
“เราเองก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครไม่พอใจ ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไปช่วยเราสืบข้อมูลมาให้ที แล้วดูว่าใครกันแน่ที่ไม่พอใจ แล้วมีจำนวนกี่คน” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
พอพวกขุนนางทยอยกลับกันไปแล้ว ฮ่องเต้ก็นอนเอนกายบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า
องค์ชายใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง พอเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาดูแลฮ่องเต้
“เสด็จพ่อ กลับไปพักที่ตำหนักเถิด” เขาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
ฮ่องเต้ยังคงเอนกายอยู่ที่เดิม ใช้นิ้วมือกดนวดๆ ที่หน้าผากของตน
“เหตุการณ์วันนี้ เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้เอ่ยถามองค์ชายใหญ่
“ข้าว่าเป็นเรื่องของความไม่พอใจ” องค์ชายใหญ่รีบตอบ “พวกขุนนางต่างก็มีความรู้สึกขุ่นเคืองต่อกัน ช่างไม่เอาไหนกันเลยจริงๆ คุณงามความดีของแม่ทัพเจียงก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว พวกขุนนางที่นั่งอยู่แต่ในวังจะไปรู้เห็นอันใดกัน ดีแต่ฟังเรื่องราวเพียงแค่ผิวเผินแล้วทำเป็นตีโพยตีพาย มันน่าจับลงโทษเสียให้หมด ข้าว่า ถ้าหากไม่สั่งสอนพวกเขาดีๆ ในวันข้างหน้า พวกทหารอาจพบเจอกับความลำบากก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า องค์ชายใหญ่อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีพึงพอใจ จากนั้นฮ่องเต้จึงหันหน้าไปยังอีกด้านหนึ่ง
“เหว่ยหลัง เจ้ามีความเห็นอย่างไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามองค์ชายรอง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโค้งคำนับ
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” เขาเอ่ย “หลูซืออันท่าทางมีพิรุธ เรื่องที่เจียงเหวินหยวนปฏิเสธรางวัลไม่มีมูลเลยสักนิด ส่วนคำพูดของขุนนางเฉินเองก็ประหลาดๆ อยู่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความไม่พอใจแต่อย่างใด” ฮ่องเต้อธิบาย พลางเอามือกดนวดที่หน้าผากตามเดิม พร้อมทั้งพยักหัวแล้วยิ้มออกมาอย่างจนใจ “เห็นแล้วหรือไม่ ไม่ว่าจะเรื่องน่ายินดี หรือเรื่องน่าผิดหวังก็ตามแต่ เหล่าขุนนางพวกนี้มักจะหาโอกาสโจมตีกันเอง เรื่องเล็กนิดเดียวก็ยังจะหาเรื่องมาลับฝีปากกันได้ ชอบทะเลาะกันเองเสียจนถามหาความเงียบสงบไม่ได้เลย”
“ฝ่าบาทใจกว้างนัก ไม่แปลกใจที่ท่านต้องคอยรักษาสมดุลเอาไว้ ขอเพียงแค่พวกเขามีบุญคุณต่อแผ่นดิน เรื่องพวกนี้ก็น่าจะปล่อยวางได้พ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ฮ่องเต้พยักหน้ามองไปที่เขาแล้วหัวเราะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ เหนื่อยกันแล้วสินะ กลับตำหนักไปเถิด” เขาบอก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโค้งคำนับพร้อมขานรับ
ขณะที่มองดูฮ่องเต้กำลังเดินออกจากตำหนักนั้น องค์ชายใหญ่ที่กำลังลุกยืนขึ้นกลับมีสีหน้าขุ่นเคือง
“ฝ่าบาท จะเดินไปที่ตำหนักของไทเฮาหรือพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม “ข้าขอไปด้วยคน”
องค์ชายใหญ่ถอนหายใจ เขาไม่สนใจแล้วหันหลังเดินจากไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างใด เขาหัวเราะเบาๆ แล้วค่อยๆ ย่างเท้าไปข้างหน้า
อีกด้านหนึ่ง นายตรวจหลูกำลังโค้งคำนับให้เฉินเซ่า
“นายท่าน ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของข้าเอง ท่านเลยต้องมาเดือดร้อนเพราะข้า” เสียงของเขาแหบแห้ง “ข้าละอายใจยิ่งนักกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังทำให้นายท่านตกที่นั่งลำบาก…”
“ซืออัน เจ้านี่จริงๆ เลยนะ เจ้า เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” คนด้านข้างอดไม่ไหวที่จะสวนเข้าให้ “ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย พูดออกไปแบบนั้นเจ้าจะไม่ไว้หน้าฮ่องเต้เลยเลยหรือ”
“ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรเอ่ยถึงผู้ตรวจการโจวแต่แรก” เฉินเซ่ากล่าว
ท่าทีของนายตรวจหลูเริ่มเปลี่ยนเป็นเศร้าโศก
“นายท่าน เป็นความผิดข้าที่พูดจากำเริบเสิบสาน ทำให้นายท่านต้องเป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงแหบ
“เจ้าแค่ระวังไม่พอเอง เจ้าไม่รู้หรือว่าที่แห่งนี้มีคนของเกาหลิงปอคอยสืบอยู่ตั้งกี่คน” เฉินเซ่าถอนหายใจ
เขาพยักหน้า
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่าคิดมากไปเลย” เฉินเซ่ากล่าว “ไปข้างนอกให้พ้นสายตาผู้คนหน่อยก็ดี”
นี่คงเป็นสิ่งที่เขาพอจะทำได้ นายตรวจหลูโค้งคำนับเฉินเซ่าด้วยความรู้สึกผิด
เรื่องที่เกิดขึ้นดันผิดคาดไปเสียหมด เกาหลิงปอดันได้โอกาสใส่สีใส่ไข่เรื่องราวเสียจนฝ่าบาทถึงกับบันดาลโทสะ เฉินเซ่ากับพวกจึงพลอยซวยไปด้วย เห็นเห็นกันอยู่ว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่กลับโดนด่าจนเสียหายกันถ้วนหน้า
เรื่องนี้ดูท่าคงจบไม่สวย และถ้าหากหญิงผู้นั้นจะมาหาเขาอีกล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่แรงที่จะเอ่ยปากปฏิเสธนางก็คงไม่เหลือ คงทำได้แค่โน้มน้าวนางก็เท่านั้น
เหมือนกับเรื่องหนีทหารครั้งก่อน
จู่ๆ เฉินเซ่ายิ้มเจื่อนออกมา
บางทีหญิงผู้นั้นอาจไม่มาหาเขาแล้วก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร คงจะดีถ้าเป็นอย่างที่ฮูหยินว่าไว้ เขาคงคิดมากไปเอง
หญิงผู้นั้นคงไม่มาหาเขาถึงเมืองหลวงหรอก ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ออกตัวกับแค่เรื่องทหารผู้น้อย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นช่างบ้าบอยิ่งนัก ต่อให้ไม่มีเกาหลิงปอเข้ามาจุ้นจ้านก็ตาม
ถ้าหากทหารพวกนั้นยังมีชีวิตรอดอยู่ ก็คงต้องว่ากันไปตามนั้น แต่ว่าพวกเขาดันตายแล้วนี่สิ ก็น่าจะไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีก ไม่มีประโยชน์เลย ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ง่ายเลย ชีวิตคนเรามีเรื่องต้องให้ทำเยอะแยะมากมาย คงไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องนี้กระมัง
“ข้าจะหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้ได้” เฉินเซ่าเอ่ย “นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป ยังตัดสินไม่ได้ว่าใครชนะหรือแพ้”
…
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่จุดจบจะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครตอบได้ ดังนั้นแม่นางไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”
ไม่กี่วันต่อมา ท่านชายฉินสิบสามก็ยังคงเอ่ยประโยคเดิม เขาเอ่ยขึ้นในขณะถือถ้วยชาอยู่ในมือ พร้อมทั้งนั่งลงในห้องสภาพเก่าทรุดโทรม
“เจ้าบอกว่า ฮ่องเต้ไม่รู้เรื่องที่มีคนไม่พอใจก็เลยส่งคนไปสืบ ว่าผู้ใดที่ไม่พอใจ รวมถึงให้นับจำนวนคนมาด้วยอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถามไถ่
“ใช่แล้ว ช่างน่าเสียดายนัก เดิมทีข้าจะหาโอกาสให้ท่านพ่อเข้าไปพูดถึงประเด็นนี้อยู่แล้วเชียว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนตัดหน้าไปเสียก่อน เรื่องเลยแดงขึ้น ประเด็นนี้เลยกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในวังไปเสียแล้ว” ท่านฉินสิบสามอธิบาย “แม่นางอย่าเพิ่งเป็นร้อนรนไป เดี๋ยวค่อยหาทางออกกันอีกที”
เฉิงเจียวเหนียงคลี่ยิ้ม แล้วพยักหน้าตอบรับ
“ข้าก็มิได้ร้อนรนอันใดหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ท่านชายฉินสิบสามวางถ้วยน้ำชาในมือลง พลางมองไปยังหญิงที่อยู่เบื้องหน้า
ด้วยนิสัยของนางแล้ว แม้จะดูเรียบเฉยไร้พิษสงอันใด แต่ถ้าลองได้ลงมือทำอะไรแล้วละก็ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก
เขาหันมองรอบทิศ ที่แห่งนี้คือโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่นอกเมือง สภาพทรุดโทรมและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า นางจะให้เขามาพักในที่แบบนี้จริงหรือ
ตอนที่ปั้นฉินบอกเขาล่วงหน้า ตอนนั้นเขายังนึกอยู่เลยว่าหรือนางจะล้อเขาเล่น
“ใช่แล้ว เรื่องในวังไม่เกี่ยวกับข้าหรือเจ้าหรอก กองไว้ตรงนั้นเถอะ” เขาเอ่ย พลางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง “ว่าแต่ แม่นางมีแผนอะไรบ้างล่ะ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา
“ข้าไม่บอกแผนของข้าให้ใครฟังก่อนอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบ “ข้าก็จะทำพิธีเชิญดวงวิญญาณของเหล่าพี่ชายข้าให้ไปสู่สุขคติน่ะสิ”
“ที่ฝังศพได้ถูกเลือกไว้แล้ว ไม่แน่ใจว่าแม่นางพร้อมแล้วหรือยัง” ท่านชายฉินสิบสามถามนาง
“ใกล้พร้อมแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตอบเสียงเนิบ
ท่านชายฉินสิบสามจ้องมองเฉิงเจียวเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ายิ้ม
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้น ข้าจะรอดูแผนการของเจ้านะ” เขาบอก
เขาตั้งหน้าตั้งตารอดู
ยามเหล่านกบินทะยานขึ้นฟ้า ก็ต้องบินให้ต่ำไว้เสียก่อน ยามสัตว์ป่าออกล่า ก็ต้องเปิดหูและก้มตัวลงเพื่อเตรียมตัวล่าเหยื่อ
เขาตั้งหน้าตั้งตารอดู รอดูว่านางจะทำอะไรกันแน่
สองปีมาแล้วสินะ เมืองหลวงที่เคยทิ้งรอยแผลลึกจนเกือบจางไว้ให้กับนาง เมืองที่นางเคยทำวีรกรรมครั้งใหญ่ไว้แต่ไม่มีผู้ใดรับรู้ มารอดูกันว่า ครั้งนี้นางจะมีแผนอะไร จะทำให้เป็นที่พูดถึงกันไปทั่วอีกครั้งหรือไม่ แล้วจะกลับมาทำให้ชะตาของใครหลายๆ คนนั้นเปลี่ยนไปหรือไม่ หรือว่าจะทำให้ผู้คนต้องเอ่ยปากต่อว่านางอีกครั้งกันแน่