พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 427 ไม่หยุด (1)
เดิมทีความคึกคักบนถนนก็มีเพียงแค่คนบนถนนเท่านั้นที่รู้ เรือนหลังใหญ่โตโอ่อ่าในถนนที่ลึกเข้าไปมักจะไม่รู้ข่าว ทว่าข่าวคราวในครั้งนี้กลับมาถึงหูพวกเขาไวนัก
ดอกไม้ไฟดอกสุดท้ายจางหายไปจากท้องฟ้าตั้งนานแล้ว แต่คนมากมายในเรือนหลังใหญ่แห่งนี้ยังคงไม่ยอมละสายตา
“นายใหญ่ขอรับ นายใหญ่ขอรับ ถามได้ความมาแล้วขอรับ ถามได้ความมาแล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ทันใดนั้นคนในเรือนก็หันไปมองตามเรียกร้องตะโกนของบ่าวหนุ่ม
“คือนางของรับ…”
เฉินเซ่าฟังเรื่องราวจากบ่าวผู้นั้นจบ เดิมทีก็ตกใจจากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวจนสุดท้ายก็ยิ้มเจื่อนออกมา สีหน้าของดูสับสนปนเปไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ ท้ายที่สุดก็เอ่ยเพียงไม่กี่คำก่อนจะนั่งนิ่งไม่ขยับไหว
ทว่าตั้งแต่ต้นจบฮูหยินเฉินยังคงมีสีหน้าดังเดิม
“นางมาถึงแล้วจริงๆ เสียด้วย นายใหญ่ ท่านเห็นไหมเจ้าคะ แม่นางเฉิงกลับมาแล้วจริงๆ” นางเอ่ยซ้ำไปมาด้วยความตื่นเต้น
“นั่นสินะ นางกลับมาแล้วจริงๆ” เฉินเซ่าเอ่ย
เขารู้ดีอยู่แล้วว่านางต้องกลับมา
หากไม่เกิดเรื่องอันใดก็ดี แต่หากมีเรื่องขึ้นมา แม่นางผู้นี้ยอมถอยเสียที่ไหน นางไม่เคยแม้แต่จะลังเลและจะก้าวข้ามผ่านมันไปได้อย่างเช่นเคย
“ว่าแต่ นายใหญ่ ท่านเห็นหรือไม่ ท่านคิดมากไปเอง เตรียมการได้ถึงขนาดนี้แสดงว่านางคงมาถึงตั้งนานแล้ว แต่นางก็ไม่ได้บอกผู้ใด ได้แต่กล้ำกลืนความเศร้าโศก จัดพิธีศพให้พวกเขาเหล่านั้นอย่างเงียบๆ” ฮูหยินเฉินพูดต่อพลางทอดถอนใจ
เฉินเซ่าเหลียวไปมองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“เงียบๆ อย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย
เช่นนี้เรียกว่าเงียบๆ อย่างนั้นหรือ
นี่ขนาดจัดงานเงียบๆ ยังทำผู้คนแตกตื่นถึงเพียงนี้!
เขาเองนี่แหละที่จะขาดใจตายไปอีกคน!
เฉินเซ่าพ่นลมหายใจออกมา เขารู้ว่าหากหญิงผู้นี้ลงมือแล้วละก็ ต้องเล่นงานถึงตายแน่นอน
ใช่แล้ว นางไม่ได้ไปพบผู้ใด ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ใด แต่ในยามนี้กลับกลายเป็นว่ามีผู้คนมากมายคอยช่วยเหลือนาง ทั้งยังเห็นใจนางอีกต่างหาก
ฮูหยินเฉินยังคงพร่ำเอ่ยเรื่องว่าควรเตรียมสิ่งใดเพื่อแสดงน้ำใจในพิธีศพดี ทว่าเฉินเซ่ากลับไม่ได้ฟังเลยสักคำ เขาเงยหน้าแล้วมองไปทางนอกประตู ราวกับได้ยินเสียงจากนอกถนนดังลอดเข้ามา
นี่เพียงแค่วันนี้ คอยดูวันพรุ่ง วันมะรืน คอยดูข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ส่งกันปากต่อปาก ใส่สีตีไข่กันจนปานปลายใหญ่โต…
“ใครก็ได้เข้ามาที” เขาแหงนหน้าตะโกน ขัดจังหวะฮูหยินเฉินที่กำลังพูดอยู่
บ่าวที่ยืนอยู่ด้านนอกขานรับแล้วเดินเข้ามา
“ไปดูทีว่าหลูซืออันออกเดินทางแล้วหรือยัง” เขาเอ่ย
อีกฟากหนึ่ง นายท่านเฉินก็เอื้อมมือไปสะกิดเฉินตันเหนียงที่ยังคงเหม่อมองดูท้องฟ้า
“พอแล้ว พอแล้ว ตันเหนียง ประเดี๋ยวจะคอเคล็ดเอา” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
เฉินตันเหนียงละสายตากลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์
“ท่านปู่ ท่านปู่ พวกเรารีบไปซื้อกัน ไปซื้อดอกไม้ไฟแบบนั้นกันเจ้าค่ะ” เฉินตันเหนียงร้องตะโกนในทันใด
นายท่านเฉินหัวเราะยกใหญ่แล้วส่ายหน้าไปมา
“บนโลกนี้ใช่ว่าจะมีขายไปเสียทุกสิ่ง” เขาเอ่ย
เฉินตันเหนียงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“บางสิ่งเจ้านั้นครอบครองได้ แต่มิใช่จากการซื้อขาย” นายท่านเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางลูบหัวเฉินตันเหนียง “รอสักหน่อย ปู่จะพาเจ้าไปคว้าสิ่งนั้นมา”
แม้เฉินตันเหนียงจะไม่เข้าใจประโยคแรกสักเท่าไหร่นัก แต่พอจะเข้าใจความหมายของประโยคหลัง
ก็พลันพยักหน้าอย่างดีใจ
“ข้าจะไปบอกพวกพี่ๆ” นางเอ่ยก่อนจะวิ่งออกไปอย่างลิงโลด
นายท่านเฉินมองหลานสาววิ่งจากไปด้วยรอยยิ้ม เขาเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้งก่อนจะหันกลับมองเข้าไปในเรือนอีกหน จุดวงกลมสีจางบนฉากกั้นลมที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นเด่นชัด แทบไม่เหลือเค้าเดิมของภาพน้ำตกอันงดงามจากฝีมือของจางเผิงไหลบนฉากกั้น
“คราวนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องแต้มเพิ่มอีกกี่จุด” เขาเอ่ยแล้วยิ้มบาง
ในคืนนั้นเมืองหลวงฝนตกหนัก บรรยากาศหลังฝนของเมืองหลวงสดชื่นขึ้นเป็นเท่าตัว
เงินกระดาษบนท้องถนนเมื่อวานถูกเก็บกวาดไปจนหมดแล้ว ทั้งยังมีสายฝนที่โหมกระหน่ำยามค่ำคืนช่วยชะล้าง ท้องถนนจึงกลับสู่สภาพเดิมเหมือนดั่งเมื่อวานไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาก่อน
แต่ก็แค่เหมือน
ไม่นานผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนก็เห็นความแตกต่าง
“คนพวกนั้นทำอะไรน่ะ” กลุ่มคนที่เดินผ่านเอ่ยถามอย่างสงสัย พลางชี้นิ้วไปอีกฝั่ง “เซ่นไหว้หรือ”
สิ่งนั้นคือหลุมศพ ขนาดใหญ่ไม่เบา แต่ช่างดูเรียบงานนัก หลุมศพเหล่านั้นถูกล้อมรอบไปด้วยป้ายหินแล้ะกล้าไม้ที่ลงปลูกใหม่ แต่ที่น่าแปลกใจคือมีผู้คนมากมายกำลังยืนรุมล้อมหลุมศพนั้น บางคนถึงขนาดนอนทิ้งตัวลงบนพื้นก็มี
“อ๋อ พวกเขาไม่ได้เซ่นไหว้หรอก แต่ดื่มเหล้าต่างหาก” มีคนเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ
เหล่าคนเดินถนนยิ่งตกใจ ดื่มเหล้า ใช้จมูกดื่มอย่างนั้นหรือ
พวกเขาเงยหน้าหันมองไปรอบกาย
“มีเหล้าที่ไหนกัน” พวกเขาถาม
คนหนึ่งวาดนิ้วชี้ไปทั่ว
“ที่นี่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเหล้าทั้งนั้น” เขาเอ่ย
คราวนี้เหล่าคนที่ผ่านทางมางุนงงเสียยิ่งกว่าเดิม คนเมืองหลวงนั้นเพ้อเจ้อไปเสียหมดทุกคนเลยหรือ
“เจ้าไม่รู้สินะ”
“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลวง…”
“เรื่องใหญ่อันใดหรือ” ผู้คนที่เดินผ่านมาพากันกรูเข้ามาพลางถามด้วยความสงสัย
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคือหลุมศพของผู้ใด”
“…แล้วเกี่ยวอันใดกับเหล้าเล่า…”
“…รีบเล่าเรื่องเหล้าเสียที…”
ขณะเดียวกันที่เรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า หรือแม้แต่ร้านยาอี๋ชุนถังก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกันเพื่อซื้อเหล้า
“อย่าว่าแต่ไม่มีเหล้าขายเลย พวกเจ้าคิดอย่างไรถึงวิ่งโร่มาซื้อเหล้าที่ร้านยาเช่นนี้” ผู้ดูแลร้านอี๋ชุนถังขำจนแทบน้ำตาเล็ด
“เช่นนั้นที่ใดมีขายเล่า”
“เมื่อวานข้าได้ดื่มแค่จอกเดียว แค่จอกเดียวเท่านั้น จากนี้ไปข้าคงดื่มเหล้าอื่นบนโลกหล้านี้มิได้แล้ว ดื่มอย่างไรก็รู้สึกจืดชืดนัก…”
“เจ้ายังได้ดื่มตั้งจอกหนึ่ง ข้าได้เลียแค่หยดเดียวด้วยซ้ำ…”
บทสนทนาแบบเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นที่เรือนนางฟ้าและเรือนไท่ผิง เสียงดังโหวกเหวกโวยวายจนแทบไม่อันเป็นทำมาค้าขาย
ผู้ดูแลประจำทั้งสองร้านไม่วายต้องออกมาคลี่คลายสถานการณ์
“ท่านทั้งหลาย ข้าจะขอพูดอีกครั้ง เหล้านั้นพวกข้าไม่ได้เป็นคนบ่ม พวกเราไม่มีขาย”
“ไม่ได้บอกว่าเถ้าแก่ของพวกเจ้าเป็นคนบ่มหรอกหรือ”
“เถ้าแก่ของพวกข้าเป็นคนบ่มเอง แต่พวกข้าไม่มีขาย”
“เหตุใดถึงไม่ขาย”
“เหล้านั่นไม่ได้มีไว้ขาย เถ้าแก่ของพวกเราตั้งใจบ่มขึ้นมาเพื่อเหล้าเถ้าแก่ผู้ล่วงลับเท่านั้น”
“แล้วเกี่ยวอันใดกับขายไม่ขายกันเล่า”
ผู้ดูแลร้านยิ้มพลางส่ายหน้า มองดูผู้คนที่พากันถามไม่หยุดปากก่อนจะยกมือไม้อธิบาย
“ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย” เขายิ้มพลางรอให้ฝูงชนเงียบลงก่อนจะพูดต่อ “ตั้งใจทำขึ้นมาให้มีเพียงหนึ่งเดียว เพื่อเหล่าเถ้าแก่โดยเฉพาะ หากมีขาย แล้วจะเรียกว่ามีเพียงหนึ่งเดียวได้อย่างไร”
ผู้คน ณ ที่นั้นมองเขาตาค้าง
“เพราะอย่างนั้นน่ะหรือ ไม่ขายจริงๆ หรือ”
ฮูหยินโจวถาม
เหล่าสาวใช้และแม่นมที่อยู่เบื้องหน้าพาหันผงกหัว
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ คนมากมายที่ยืนออถามที่หน้าประตูก็ได้รับคำตอบเช่นนี้ทั้งนั้น”
“ทั้งยังมีร้านอาหารอีกหลายเจ้าที่มาขอสั่งจองเหล้าจากร้านของพวกเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโจวที่ถือถ้วยชาอยู่นิ่งไปก่อนจะเผลอยิ้มออกมา
“เหล้านั่นดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” นางถาม
“ดี ดีมากเจ้าค่ะ คนพวกนั้นเสนอราคาถึงหมื่นก้วนเชียวนะเจ้าคะ” สาวใช้ตอบในทันใด
“ไม่ใช่เสียหน่อย ที่เจ้าพูดน่ะเป็นราคาของเมื่อวาน วันนี้ขึ้นราคาเป็นสองหมื่นก้วนแล้ว” สาวใช้อีกคนเอ่ยขึ้นในทันใด
ฮูหยินโจวพ่นสำลักน้ำชาออกมา
สองหมื่นก้วนอย่างนั้นหรือ!
“นางกล้าตั้งราคาสูงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ! คิดจะขูดรีดกันให้ตายเลยหรืออย่างไร” นางเอ่ย
“ฮูหยินเจ้าคะ นางไม่ได้เป็นผู้ตั้งราคาเจ้าค่ะ พวกคนที่ไปแย่งซื่อเป็นคนเสนอราคาเจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้ตอบ
เช่นนี้ต่างจากขูดรีดอย่างไร นางไม่ตั้งราคา แต่ผู้คนกลับพากันร่ำร้องจะให้เงินนาง…
สองหมื่นก้วนเชียวนะ!
สองหมื่นก้วนเชียวนะ!
ในหูของฮูหยินโจวราวกับได้ยินเสียงร้องตะโกนจากลานบ้านในตอนนั้น
นางยกมือขึ้นกุมอก
บ้าไปแล้ว ยิ่งพอนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่เหล่าสาวใช้เล่าให้ฟัง… ยังไม่ต้องพูดถึงที่แจกเหล้าริมถนน แค่ไหเหล้าที่แตกหน้าหลุมศพก็ปาไม่รู้ตั้งกี่สิบไห…
หนึ่งไหสองหมื่นก้วน...
ฮูหยินโจวหลับตาลง
เหตุใดพอเป็นหญิงผู้นี้ เงินทองถึงได้หาง่ายนัก แถมนางยังไม่สนใจใยดีเงินพวกนั้นอีก...
ก็แค่คนบ้านป่าเมืองเถื่อนไม่กี่คน ยังจะมานับหน้าถือตาเป็นพี่ชายอีก อยากจะนับถือก็นับถือไปเถิด แต่ยังให้พวกเขาเป็นเถ้าแก่ร้านอีก ทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว แต่ยังจัดพิธีศพเสียใหญ่โต…
มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่ทำเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร
“แล้วคราวนี้ นางขายหรือไม่” นางถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
หากนางขายก็นับว่าที่จัดพิธีเสียใหญ่โตนั้นก็ไม่สูญเปล่า เพราะเหล้านั้นก็กลายเป็นที่เลื่องชื่อไปแล้ว…
เหล้าสาวใช้ส่ายหน้า
“ฮูหยินเจ้าคะ พวกเขายืนยันคำเดิมเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะให้เงินเท่าไหร่ ให้ทองพันชั่งก็ไม่ขาย บอกว่าอย่างไรก็ไม่ขายเจ้าค่ะ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น
บอกว่าไม่รักษาก็คือไม่รักษา
ฮูหยินโจวทอดถอนใจ
“กระนั้นแล้ว ถึงจะไม่ขาย แต่ก็ใช่ว่าวันหน้าทุกคนจะไม่มีโอกาสได้กิน” สาวใช้นางหนึ่งคิดอะไรบางอย่างออกจึงเอ่ยขึ้นในทันใด
ทุกคนเหลียวไปมองนาง
“ผู้ดูแลร้านบอกว่า ตอนวันครบรอบของเหล่าเถ้าแก่จะแจกเหล้าอีกเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
…
“เช่นนั้นแปลว่าต้องรอให้ถึงวันครบรอบของเหล่าเถ้าแก่ถึงจะได้กินเหล้านี้อีกอย่างนั้นหรือ”
ภายในห้องหนึ่งของโรงน้ำชา คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว คงต้องรอถึงช่วงนี้ของปีหน้า”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ไม่ใช่เสียหน่อย เหล่านักรบเขาเม่าหยวนซานทั้งห้าจากโลกนี้ไปตอนเดือนห้าต่างหาก ถึงเพิ่งจะทำพิธีศพตอนนี้ แต่วันครบรอบต้องเป็นเดือนห้า”
“เจ้านี่ความจำดีเสียจริง”
“ข้าย่อมจำได้อยู่แล้ว ข้ากลับไปก็ท่องจำขึ้นใจเชียวล่ะ!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“หลานชายของลุงของน้องเมียของหลานชายของลุงข้าทำงานที่เรือนไท่ผิงน่ะสิ…”
“แปลกคนนัก มีคนเอาเงินมากองให้ตรงหน้าเช่นนี้เหตุใดถึงไม่รับไว้”
“คนเขาขาดเงินหรือ เจ้าไม่เห็นหรือไร มีทั้งเรือนไท่ผิง! อี๋ชุนถัง! เรือนนางฟ้า!”
“แล้วก็มีหมอเทวดาด้วย หนึ่งชีวิตหนึ่งหมื่นก้วน...”
“ช้าก่อน พูดกันเรื่องเหล้าอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดกลายเป็นเรื่องหมอเทวดาไปได้”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ… หลังเขาคงไม่รู้ข่าวสินะ พอพูดถึงหมอเทวดา นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วเหมือนกัน…”
“ช้าก่อน พูดถึงหมอเทวดาอยู่มิใช่หรือ แล้วเขาเม่าหยวนซานเกี่ยวอันใดด้วย เขาเม่าหยวนซานคือสิ่งใดกัน”
“นักรบทั้งห้ามาจากเขาเม่าหยวนซานน่ะสิ ก่อนจะตายในศึกตะวันตกเฉียงเหนือ…”
“… สับสนวุ่นวายไปหมด ใครก็ได้เล่าให้ชัดเจนที วันนี้ข้าจะเลี้ยงน้ำชาให้เอง”
“ข้าเอง! ข้าเอง!”
ทันใดนั้นทั้งโถงก็โกลาหลขึ้นมาในทันที