พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 427 ไม่หยุด (2)
ท่านชายฉินสิบสามโยนเงินลงบนโต๊ะแล้วลุกยืนขึ้น มองดูท่านชายโจวหกที่ยังคงนั่งเหมอลอยราวกับไม่ได้ยินเสียงใด ก่อนจะเอื้อมมือไปสะกิดเขา
“ไปกันเถิด” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ
“เจ้าไปเถิด” เขาเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ วางใจเถิด” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกเมินเฉยเขาพลางยกถ้วยชาขึ้น ท่านชายฉินสิบสามก้าวเท้าเดินออกไป ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถอยกลับมา
“ข้ารู้ ยามเจ้าฟังผู้อื่นพูดถึงนาง ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อใช่หรือไม่…” เอ่ยกระซิบด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด
“ข้าจะไปหานางน่ะ เจ้าไม่ไปด้วยกันหรือ” ท่านชายฉินสามยิ้มเอ่ย
“บ่าว เติมน้ำชาหน่อย!” ท่านชายโจวหกชูถ้วยชาขึ้นแล้วตะโกน
บ่าวประจำร้านเอนกายพิงโต๊ะคิดเงินหน้าร้าน พลางฟังคนเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ กว่าเขาจะรู้ตัวก็ถูกตะโกนเรียกไปสองสามหน ก่อนจะขานรับแล้วรีบหิ้วกาน้ำชาเข้ามา
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มแล้วเดินจากไป
ถนนด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ห่างออกไปไม่ไกลนักก็มีกลุ่มคนยืนล้อมวงกัน หนึ่งในนั้นเล่าเรื่องเป็นฉากฉาก ส่วนคนอื่นที่ฟังอยู่ก็สีหน้าประหลาดใจ แม้จะได้ยินไม่ชัดนัก แต่พอเห็นคนผู้นั้นออกท่าออกทางชี้นิ้วไปยังถนนก็พอเดาได้ว่าคงพูดเรื่องของเขาเม่าหยวนซาน
ท่านชายฉินสิบสามอมยิ้มแล้วรับแส้ม้าที่บ่าวยื่นให้พลางพลิกตัวขึ้นหลังม้า ก่อนจะไปก็มิวายเหลียวกลับมามองที่โรงน้ำชาอีกครั้ง เขามองลอดผ่านม่านก็เห็นท่านชายโจวหกที่อยู่ภายในยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ
ท่านชายหนุ่มน้อยยังคงจับจ้องไปที่เหล่าลูกค้าโรงน้ำชาที่ยกมือยกไม้คุยกันอย่างครื้นเครง สีหน้าของเขาก็เหมือนกับคนอื่นที่ได้ฟัง ประเดี๋ยวก็ยิ้มออกมา ประเดี๋ยวก็ตื่นตระหนก ประเดี๋ยวก็ดูโศกเศร้า ท่าทีตื่นเต้นราวกับตนเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม ขณะกำลังกระตุกแส้ให้มาควบออกไป ก็มีบ่าวผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาแต่ไกล
“ท่านชาย ท่านชาย” บ่าวผู้นั้นวิ่งเข้ามาใกล้ หายใจกระหืดหอบพลางเล่าเรื่องด้วยเสียงแผ่วเบา
ท่านชายฉินสิบสามสีหน้าตกตะลึกไปไม่น้อยก่อนจะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม
“เร็วยิ่งนัก” เขาเอ่ยรำพัน “มิน่าละนางถึงได้บอกว่านางจะทำเพียงเรื่องที่นางควรทำเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น คนอื่นคงแย่งไปจัดการเอง”
พิธีศพในวันนั้นกลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนมากมาย แต่ฝั่งเฉิงเจียวเหนียงดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด หลังจากทำพิธีฝังศพให้แก่เหล่าพี่ชายแล้ว นางก็กลับมาที่เรือนสะพานอวี้ไต้ ใช้ชีวิตปกติเหมือนดังเดิม
ยามย่ำรุ่งฟ้าเริ่มสาง ภายในเรือนก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังขึ้น
“เขาหิวหรือ” สาวใช้ถามอย่างสงสัย
ภรรยาของฟ่านเจียงหลินนั้นมาจากตระกูลหวง นางกล่อมทารกน้อยพลางส่ายหน้าตอบ
“เปล่าหรอก แค่นอนไม่อิ่มถึงได้งอแง” นางเอ่ย
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน
“นายหญิง” สาวใช้เหลียวไปมองก่อนจะร้องออกมาอย่างดีใจ
แม่นางหวงเองก็รีบเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นหญิงสาวในชุดสีล้วนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูกำลังมองมา นางจึงรีบก้มหน้าในทันใด ยังคงไม่กล้ามองรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย
“เสียงดังรบกวน… รบกวนแม่นางหรือ…” นางเอ่ยอย่างร้อนรน พลางรีบโยกตัวไปมาเพื่อกล่อมเด็กน้อยให้สงบ
ทว่าท่วงท่านั้นกลับทำให้เด็กน้อยร้องไห้หนักเสียยิ่งกว่าเดิม
แม่นางหวงเหงื่อซึมไปทั่วหน้า จนนางเองก็อยากจะร้องไห้เหมือนกัน
“เด็กน้อยก็ชอบร้องไห้เช่นนี้แล รบกวนอันใดกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วเดินจากไป
“แม่นางใหญ่ ท่านอย่าได้กลัวไปเลย” สาวใช้เหลียวกลับมา พอเห็นแม่นางหวงมือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูกก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “นายหญิงของข้าไม่ใช่คนเรื่องมากเช่นนั้น ท่านวางใจเถิด ที่นี่ก็คือบ้านของท่านเช่นกัน”
แม่นางหวงได้แต่ยิ้มเจื่อนก่อนจะหันไปมองรอบกาย
หญิงสาวที่เติบโตในเมืองถุนเป่าแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ติดตามคนเป็นพ่อที่ทำบัญชีจึงพอรู้หนังสือบ้าง นับว่าเคยพบเจอโลกภายนอกมาไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องราวอันใดมา นางเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะมีบ้านอยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังมีน้องสาวของสามีอีก...
ทั้งยังเป็นน้องสาวที่ทำให้คนทั้งเมืองหลวงออกจากเรือนมาร่วมพิธีศพได้
แม่นางหวงยกมือขึ้นกุมอก ก่อนจะลูบเด็กน้อยในอ้อมอกอย่างเบามือ
นางกลัวจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องสาวของสามีนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร
“ตอนนั้นข้าเพิ่งแต่งงานกับชายใหญ่ ข้ากับน้องสะใภ้เจ็ดคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าน้องสาวเป็นคนเช่นไร พวกข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ชายเจ็ดบอกว่าน้องสาวของเขาเหมือนนางฟ้า…” แม่นางหวงเอ่ยพลางโยกกล่อมเด็กน้อยในอก “ตอนนั้นข้าก็เอาแต่คิดว่าเมื่อใดจะได้พบนาง ตั้งใจว่าจะได้มาเจอพร้อมกับสะใภ้เจ็ด นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วข้าจะได้มาแค่คนเดียว…”
สาวใช้น้ำตาคลอ ก่อนจะคิดอะไรได้บางอย่างแล้วลุกขึ้น
“แม่นางใหญ่ นี่ก็บ้านท่านเอง มิต้องมีพิธีรีตองอันใด ข้าจะพาท่านไปดูห้องที่พวกท่านชายอยู่ ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่พวกเขาไป จัดวางทุกอย่างดังเดิม เสื้อผ้าก็ยังเก็บไว้ที่เดิม” นางเอ่ย
แม่นางหวงลุกยืนขึ้นตามพลางโยกเยกเด็กน้อยในอ้อมอก
“ไปกัน ไปดูห้องของพ่อเจ้ากัน” นางเอ่ย
เสียงพรึ่บดังขึ้นจากลานท้ายเรือน ศรธนูสั่นไหวยามปักลงกลางเป้า
เฉิงเจียวเหนียงยกคันธนูในมือเล็งไปที่เป้าฟาง
“น้องสาวยังคงซ้อมธนูอยู่ทุกวันหรือ” ฟ่านเจียงหลินลดธนูในมือลงแล้วเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าก่อนเสียงธนูในมือจะดังขึ้นตาม
“เยี่ยม” ฟ่างเจียงหลินปรบมือชมเชย
เฉิงเจียวเหนียงแกว่งธนูในมือให้เขาดู
ฟ่านเจียงหลินมองนางอย่างสงสัย
“หนึ่งสือ ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใส
ฟ่านเจียงหลินจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“เยี่ยม เยี่ยม” เขาพยักหน้าเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยืนขึ้นอีกครั้งแล้วง้างธนู ศรธนูพุ่งออกไปดอกแล้วดอกเล่า
ฟ่านเจียงหลิงยืนมองอย่างเงียบเชียบอยู่ข้างกัน
เยี่ยม เยี่ยม มีบางครั้งที่สายตาของเขาพร่ามัวไป ราวกับเห็นว่าสวีเม่าซิวและพวกพ้องยืนอยู่ข้างกายทั้งยังเอ่ยชมไปพร้อมกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“เยี่ยม” เขาตะโกนดังลั่นแล้วปรมมือรัว “เพียงแต่ยังไม่นิ่งพอ”
เฉิงเจียวเหนียงหันมามองเขา นางยิ้มบางแล้วพยักหน้าให้ ก่อนจะหันกลับไปง้างธนูยิงต่อ
ท่านชายฉินสิบสามมาถึงยามเฉิงเจียวเหนียงกำลังเขียนพู่กันอยู่
“ท่านชายรอสักครู่ ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย ก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดประตูเชื้อเชิญให้เข้าไป
“ช่วงนี้เจ้ามาพักอยู่ที่เรือนแล้วหรือ ผู้ดูแลใหญ่ไม่ยุ่งจนหัวปั่นหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถามหยอกล้อ
“นายหญิงให้ข้าพักสักสองสามวันเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มตอบ
ท่านชายฉินสิบสามจัดแจงเสื้อผ้า
“ชายใหญ่อยู่ที่นี่พอดี ข้าจะไปทักทายเขาเสียหน่อย” เขาปรับหน้านิ่งแล้วเอ่ยขึ้น
หากมองเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่ก็จะเห็นฟ่านเจียงหลินกับท่านชายฉินสิบสามกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างใน พอเห็นว่าเป็นคนไม่คุ้นหน้า แม่นางหวงก็สงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านชายผู้นี้เป็นใครหรือ” นางถามออกไปอย่างอดไม่ได้
“ท่านชายจากตระกูลองค์หญิงฉินเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
องค์หญิงอย่างนั้นหรือ
แม่นางหวงแทบจะเป็นลม พลันยกมือขึ้นกุมอก
เมื่อครู่ท่านชายผู้นั้นคำนับให้กับสามีของนางอย่างเสมอภาคด้วยมิใช่หรือ นางอยากจะบ้าตาย
ขณะที่ยังตกตะลึงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงประตูห้องหนังสือเปิดออก ก่อนเฉิงเจียวเหนียงจะเดินออกมา
“น้องสาว ข้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทัพตะวันตกเฉียงเหนือให้ท่านชายฉินฟังโดยละเอียดแล้ว”
ฟ่านเจียงหลินเอ่ย ท่าทางดูสงบนิ่งยิ่งนัก
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วนั่งลง
“เรื่องของพวกเราไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังผู้ใด” นางเอ่ย
“เช่นนั้นแล้วเกรงว่าแม่นางคงจะต้องพูดถึงเรื่องของเหล่าท่านชายให้ผู้อื่นฟังอีกหลายต่อหลายหน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงและฟ่านเจียงหลินเหลียวไปมองเขา คนหนึ่งสีหน้าเรียบเฉย คนหนึ่งกลับดูสงสัย
“เมื่อคืนนี้มีผู้ยื่นคำร้องให้ไต่สวนความผิดเจียงเหวินหยวน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
….
เกาหลิงปอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมายามกำลังกกกอดอยู่กับอนุภรรยาในห้อง ท่าทางจึงดูไม่สบอารมณ์นัก
วันนี้มิได้มีประชุมใหญ่ราชสำนักเสียหน่อย เขายิ่งคร้านจะเห็นสีหน้าของเฉินเซ่าและพวกพ้องที่เป็นคนดำเนินการประชุม แม้ช่วงนี้ยามได้เห็นสีหน้าของเฉินเซ่าจะทำให้เขาชอบใจไม่น้อย แต่ถึงจะสนุกเพียงใดสุดท้ายเริ่มกร่อยไปอยู่ดี วันนี้เขาจึงได้ขอตัวลาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
“มีคนยื่นคำร้องก็ปล่อยให้ยื่นไปสิ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเสียหน่อย หากไม่เคยถูกยื่นคำร้องให้ไต่สวนความผิด ยังจะกล้าเรียกตนเองว่าขุนนางอีกหรือ พวกเจ้าเอาคำพูดของคนบ้าน้ำลายเช่นนี้มาทำเป็นเรื่องราวใหญ่โต เป็นเด็กเมื่อวานซืนหรืออย่างไร”
เกาหลิงปอตบโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
ขุนนางสองคนที่นั่งคุกเข้าอยู่เบื้องหน้าขมวดคิ้วแน่น สีหน้าดูร้อนรนนัก
“ใต้เท้า คราวนี้ไม่เหมือนกันนะขอรับ” พวกเขาเอ่ย
“ไม่เหมือนอย่างไร ผู้ใดกัน ใครสักคนในพวกเฉินเซ่าอีกล่ะสิท่า พวกเจ้าถึงได้ตกใจกลัวเสียขนาดนี้
ไต่สวนเรื่องใดกัน ก่อกบฏหรือว่าสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูล่ะ” เกาหลิงปอตะวาดลั่น
“หลูซืออันขอรับ” ทั้งสองกัดฟันเอ่ยง
“หลูซืออันอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าสวะนั่นยังไม่ไสหัวออกไปจากเมืองหลวงอีกหรือ” เกาหลิงปอชะงักไปก่อนจะถามต่อ
“เดิมทีจะไปแล้วขอรับ…” ขุนนางผู้หนึ่งตอบ “พวกข้าสั่งให้กรมขุนนางเร่งเขาแล้ว…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ คนที่ชะตาใกล้จะขาดแบบนั้น พวกเจ้าจะกลัวไปทำไม” เกาหลิงปอเอ่ยขัดพวกเขาก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่สิ เขาจะยื่นคำร้องให้ไต่สวนได้อย่างไร ยามนี้เขาเป็นขุนนางที่ถูกส่งไปประจำหัวเมืองแล้ว เป็นฝีมือของเฉินเซ่าอย่างนั้นหรือ”
ไม่รอให้สองคนนั้นตอบ เขาก็แค่นหัวเราะออกมากก่อนยกมือขึ้นรวบแขนเสื้อ
“ทำได้ดีนี่ แหกกฎเพื่อยื่นคำร้องเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ เห็นทีข้าคงต้องส่งพวกเขาไปอยู่ด้วยกันที่หนานเจียงเสียแล้ว” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้า ใต้เท้า เฉินเซ่าไม่ได้เป็นคนยื่นขอรับ หลูซืออันมีสายอยู่ที่ศาลาพักม้า” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นในทันใด “อ้างว่าเป็นรายงานข่าวจากชายแดนที่ต้องส่งถึงมือฮ่องเต้เท่านั้น”
เกาหลิงปอเปลี่ยนท่านั่ง สีหน้าดูสงสัย
“เจ้าหมอนั่นอยู่ดีไม่ว่าดี อย่าตายหรืออย่างไร” เขาเอ่ย “มีข่าวใหม่อันใดให้เขาพูดถึงหรือ”
“วงในเล่าลือกันว่า ในคำร้องนั้นบอกว่าเจียงเหวินหยวนประเมินศัตรูผิดพลาด หลอกลวงราชสำนัก เป็นผลให้ฮ่องเต้ว่าราชการไม่เที่ยงธรรม ตบรางวัลและสำเร็จโทษไม่เหมาะสม ทำให้เหล่าทหารแล้วชาวเมืองไม่พอใจ…” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ย
“พอ พอ พอ” เกาหลิงปอขัดจังหวะเขา เอียงคอมองทั้งสองคน “หลูซืออันบ้าไปแล้วหรือ”
ขุนนางทั้งสองสบตากันแล้วส่ายหน้า
เกาหลิงปอตบโต๊ะอย่างแรงในทันใด จนขุนนางทั้งสองสะดุ้งตกใจ
“เขาไม่ได้บ้า เช่นนั้นพวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ” เขาตวาดลั่น ความเกรี้ยวโกรธที่ถูกขัดจังหวะยามกำลังรื่นรมย์อยู่กับสาวงามก็ระเบิดออกมา “เพราะไปสืบเรื่องที่มีคนไม่พอใจรางวัลที่ทัพตะวันเฉียงเหนือ เขาถึงได้ถูกฝ่าบาทเฉดหัวออกจากเมืองหลวง ยามนี้ยังกล้าเขียนคำร้องให้ไต่สวนความผิด ทั้งยังพูดเรื่องของรางวัลในทัพตะวันตกเฉียงเหนืออีก ทำเรื่องงามหน้าเสียขนาดนี้ ก็เท่ากับว่าเจ้านั่นกำลังรนหาที่ตายเอง พวกเจ้าจะตื่นกลัวไปทำไมกัน”
ขุนนางทั้งสองทอดถอนใจแล้วโน้มตัวเข้าไปข้างหน้า
“ใต้เท้า คราวนี้ไม่ใช่แค่คำร้องขอให้ไต่สวน แต่ยังมีพิธีส่งศพด้วยขอรับ” พวกเขาเอ่ย “คนทั้งเมืองน้อมใจส่งดวงวิญญาณของเหล่าผู้กล้า ชาวเมืองนับหมื่นร้องไห้ระงมในพิธีส่งศพ”